ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
 
(ไม่แตกต่าง)

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 16:46, 6 พฤษภาคม 2563

ผู้เรียบเรียง : ดร.บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :  รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ

        นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีลำดับที่ 27 อดีตผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ลำดับที่ 7   

 

ประวัติ

          นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ เกิดเมื่อวันที่  3  สิงหาคม  พ.ศ.2507 ณ เมืองนิวคาสเซิล  ประเทศอังกฤษ  เป็นบุตรชายคนเดียวของ ศาสตราจารย์ นายแพทย์อรรถสิทธิ์  เวชชาชีวะ กับศาสตราจารย์ แพทย์หญิงสดใส  เวชชาชีวะ[1]

           เมื่ออายุได้ 1 ขวบนายอภิสิทธิ์และครอบครัวเดินทางกลับประเทศไทย  นายอภิสิทธิ์เริ่มเข้าศึกษาในระดับอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลยุคลธรและระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ โดยเข้าเรียนที่ Scaitliffe School และระดับมัธยมที่ Eton College จากนั้นได้ศึกษาในระดับปริญญาตรีสาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ (Philosophy Politics and Economics – PPE)  ที่ Oxford University จนจบการศึกษาได้รับปริญญาเกียรตินิยมอันดับ 1 ภายในระยะเวลา 3 ปี นับเป็นคนไทยคนที่สองที่ได้รับต่อจากพระยาศรีวิศาลวาจา[2] นอกจากนี้ระหว่างศึกษาชั้นปีที่สอง นายอภิสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นประธานนักศึกษา ด้วยชื่อเสียงในการเรียน ความสามารถและเป็นนักกิจกรรม[3] จบปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์เกียรตินิยม จาก Oxford University ประเทศอังกฤษ[4] นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ยังจบปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์  จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง 

          ด้านชีวิตสมรส นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  สมรสกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทันตแพทย์หญิง ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ อาจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบุตร-ธิดาด้วยกัน 2 คน คือ นางสาวปราง เวชชาชีวะ และนายปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ[5]  

 

ผลงานที่สำคัญ

         พ.ศ.2530 นายอภิสิทธิ์ ได้รับการบรรจุเป็นนายทหารยศร้อยตรีในตำแหน่งอาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ก่อนไปศึกษาต่อและเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด  ประเทศอังกฤษ  จนถึงปี พ.ศ.2533 กลับมาเป็นอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[6]

          นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ มีความสนใจการเมืองตั้งแต่อายุเพียง  9-10 ขวบ โดยบันทึกเหตุการณ์ที่สำคัญในครั้งนั้นไว้ว่า  “ผมสนใจการเมือง เมื่อครั้งที่มีอายุ 9-10 ขวบ ที่ระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม และได้เห็นคนนับหมื่นนับแสนออกมาชุมนุมกันตามท้องถนนและต่อสู้โดยยอมเอาชีวิตเข้าแลก คุณพ่อได้อธิบายว่าออกมาเรียกร้องสิทธิ ทำให้ผมรู้สึกว่าทุกคนเป็นเจ้าของประเทศเหมือนกัน จึงตัดสินใจตั้งแต่ครั้งนั้นว่าจะเป็นนักการเมือง[7] จากนั้นนายอภิสิทธิ์  ติดตามข่าวสารทางการเมืองโดยเฉพาะการอภิปรายในสภาและมีความประทับใจลีลาการอภิปรายของอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  ไม่ว่าจะเป็น หม่อมราชวงศ์เสนีย์ _ปราโมช หรือนายชวน _หลีกภัย[8]  นายอภิสิทธิ์เริ่มต้นเรียนรู้งานทางการเมืองโดยเป็นอาสาสมัครในทีมช่วยหาเสียงให้นายพิชัย_รัตตกุล หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาที่อีตันแล้วกลับมาประเทศไทย ได้เดินรณรงค์ในแถบชุมชนแออัดคลองเตย หลังจากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้ทำงานให้กับพรรคประชาธิปัตย์อย่างต่อเนื่อง เช่นได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านวิชาการให้กับนายชวน หลีกภัย ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และได้มีโอกาสตามไปเป็นล่ามให้นายชวน หลีกภัยเมื่อเดินทางไปเยือนปากีสถาน บังคลาเทศและเนปาล [9] และได้ช่วยงานเกี่ยวกับเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจให้กับนายชวน  หลีกภัย ขณะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์[10]

          22 มีนาคม พ.ศ. 2535  นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะได้ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในนามพรรคประชาธิปัตย์และได้รับเลือกตั้งในขณะที่อายุเพียง  27 ปี เป็นสมาชิกฯที่มีอายุน้อยที่สุดในสภาผู้แทนราษฎรชุดนั้นและเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร[11]      

          22 กันยายน พ.ศ.2535 นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 และพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงมากที่สุด ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลจนทำให้นายชวน หลีกภัยได้เป็นนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2537 ระหว่างการพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2535 ในวาระที่ 2 พลเอกชวลิต_ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ขอให้กลับไปใช้มาตรา 198 และ 199 ที่รัฐสภาได้รับหลักการในวาระแรกแทนที่จะใช้ร่างที่ผ่านการพิจารณาของกรรมาธิการวิสามัญฯที่กำหนดให้เลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นในทุกระดับ พรรคประชาธิปัตย์ได้เห็นด้วยกับร่างของกรรมาธิการฯเนื่องจากสอดคล้องกับนโยบายพรรคฯในเรื่องการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทำให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านออกมาชุมนุมเพื่อกดดันรัฐบาล พรรคความหวังใหม่ได้ลงคะแนนเสียงไม่เป็นไปตามมติของคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล นายชวน หลีกภัยได้ขอให้พลเอกชวลิต ยงใจยุทธถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล[12] นายอภิสิทธิ์ได้แสดงจุดยืนทางการเมือง โดยการลาออกจากตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเห็นว่าควรยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชนเป็นผู้ตัดสิน “ท่านหัวหน้าชวนควรจะยุบสภาแล้วให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่สุดท้ายจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่ได้ยุบสภา ก็ได้มีการดึงเอาพรรคชาติพัฒนาเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งผมไม่เห็นด้วยเพราะผมว่าการแบ่งขั้วทางการเมืองได้เกิดขึ้น หลังเหตุการณ์พฤษภา และถ้าเมื่อรัฐบาลมีปัญหาอย่างนี้ ควรคืนอำนาจให้กับประชาชน” เมื่อเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าควรให้พรรคชาติพัฒนาเข้าร่วมรัฐบาลแทนพรรคความหวังใหม่ นายอภิสิทธิ์จึงแสดงสปิริตด้วยการลาออกจากตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี[13]แต่ได้รับการแต่งตั้งให้กลับมาเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง 

          2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 ได้รับการเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร และพรรคประชาธิปัตย์ได้แต่งตั้งให้เป็นโฆษกพรรคประชาธิปัตย์

          17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 เมื่อพลเอกชวลิต_ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและนายชวน_หลีกภัย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 นายอภิสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ พร้อมกับการดูแลงานด้านนโยบายเกี่ยวกับการปฎิรูประบบราชการ งานกระจายอำนาจ[14] โดยมีผลงานที่สำคัญคือเป็นประธานกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542

          พ.ศ.2542 นายอภิสิทธิ์ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 

          การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปใน พ.ศ.2544 และ พ.ศ.2548 นายอภิสิทธิ์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์  ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ให้กับพรรคไทยรักไทยโดยได้จำนวนที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเพียง 96 ที่นั่ง[15]  นายบัญญัติ_บรรทัดฐานได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคโดยนายอภิสิทธิ์ขึ้นรักษาการหัวหน้าพรรคแทน และในที่สุดนายอภิสิทธิ์ได้รับการเลือกตั้งจากที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2548 ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยเป็นหัวหน้าพรรคลำดับที่ 7[16]  และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎ[17]

                    วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ดร.ทักษิณ_ชินวัตรนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2_เมษายน_พ.ศ._2549 นายอภิสิทธิ์ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ประกาศร่วมกับอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านคือพรรคชาติไทยและพรรคมหาชน ว่าจะไม่ส่งผู้สมัครรับเรื่องตั้ง เพราะเห็นว่าการยุบสภาขาดความชอบธรรมและเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาบ้านเมือง แต่เป็นการแก้ปัญหาให้กับ ดร.ทักษิณ แต่เพียงผู้เดียว พร้อมกันนี้ได้เรียกร้องให้มีการปฎิรูปการเมืองรวมถึงการหยุดระบอบทักษิณ[18] ทำให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยอุปสรรคปัญหา ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 6 เสียงว่าการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ[19] ทำให้เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองจนนำไปสู่การรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549

                การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2550 พรรคประชาธิปัตย์ที่นายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคได้รับการเลือกตั้งจำนวน 165 ที่นั่ง[20]นายอภิสิทธิ์ได้เข้ารับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเป็นสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 จนกระทั่งวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชน[21] เป็นเหตุให้นายสมชาย_วงศ์สวัสดิ์หัวหน้าพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงทำให้มีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ กลุ่มการเมืองบางกลุ่มที่เคยสนับสนุนพรรคพลังประชาชนได้หันมาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์[22] ทำให้นายอภิสิทธิ์ได้รับคะแนนเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฏร ได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ในวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

          ในระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญคือการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553 มีเป้าหมายเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งรัฐบาลได้ใช้มาตรการทางทหารเข้ากดดันกลุ่มผู้ชุมนุม จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพและมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 2,100 คน[23]

           การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 พรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคได้รับการเลือกตั้งจำนวน 159 ที่นั่ง นายอภิสิทธิ์ได้เข้ารับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเป็นสมัยที่ 3 เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554จนกระทั่งวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ก็พ้นจากตำแหน่งไปเนื่องด้วย นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร

          การลงประชามติเพื่อรับร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2559 นายอภิสิทธิ์ได้แสดงจุดยืนในการไม่รับร่างโดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถตอบโจทย์ทิศทางการพัฒนาประเทศให้ก้าวพ้นสภาพปัญหาต่างๆและจะสร้างปัญหาทางการเมืองใหม่ๆในอนาคต[24]

          ผลงานสำคัญของนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะได้แก่นโยบายเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ  นโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การผลักดันนโยบายการปฏิรูประบบราชการของรัฐให้มีผลเป็นรูปธรรม โดยจัดตั้งคณะกรรมการที่สำคัญ  3 คณะได้แก่ คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ (ปรร.คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนของรัฐ (คปร.)  และคณะกรรมการว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชนของหน่วยงานของรัฐ  (ปปร.) [25]

 

ผลงานด้านอื่นๆ   

          นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะได้รับรางวัลเกียรติยศในระดับนานาชาติ  ในปี 2535  เป็น 1 ใน 100  ผู้นำสำหรับโลกวันพรุ่งนี้ที่จัดโดย World  Economic  Forum  (องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองของโลก)  ปี 2540 ได้รับการคัดเลือกให้ เป็น 1 ใน 6 นักการเมืองที่เป็นความหวังของเอเชียจัดโดยนิตยสารไทม์  และในปี 2542 เป็น 1 ใน 20  ผู้นำสำหรับสหัสวรรษด้านการเมืองจัดโดยนิตยสารเอเชียวีค[26]

  นายอภิสิทธิ์ ได้รับปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จากการใช้ความรู้ความสามารถด้านกฎหมายปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรี และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และ พ.ศ. 2554 ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฎีกิตติมศักดิ์ สาขาภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง

 

หนังสือแนะนำ

ถนอมศักดิ์  จิรายุสวัสดิ์, เส้นทางสู่ฝั่งฝัน...นายกรัฐมนตรีคนที่ '27  อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ',  (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ปัญญาชน, 2552).

พิชัยยุทธ์  สยามพันธกิจ, อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ “นายกรัฐมนตรีบนพื้นพรมแดง”, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์สยามมิส พับลิชชิ่ง เฮ้าส์, 2552).

ส.สุทธิพันธ์, อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  ผู้นำเลือดใหม่ หัวใจผู้กล้า, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท พิมพ์ดี จำกัด, 2552).

 

บรรณานุกรม

กองบรรณาธิการมติชน,บันทึกประเทศไทย ปี 2553, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2554), หน้า 199.

กองบรรณาธิการมติชน,289 ข่าวดัง 3 ทศวรรษสำนักพิมพ์มติชน, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน,2550),หน้า 226

ไทยรัฐออน์ไลน์,อภิสิทธิ์ ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ-คำถามพ่วง ชี้ไม่ตอบโจทย์ประเทศ, เข้าถึงจาก http://www.thairath.co.th/content/674381  เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

ถนอมศักดิ์  จิรายุสวัสดิ์,'เส้นทางสู่ฝั่งฝัน...นายกรัฐมนตรีคนที่ '27  อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ปัญญาชน, 2552), หน้า 16.

ผู้จัดการออนไลน์,'ศาล รธน.มีมติ '8 ต่อ 6 ชี้เลือกตั้ง 2 เมษาฯ มิชอบ – สั่งเลือกใหม่, เข้าถึงจาก http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000060310 วันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

พิชัยยุทธ์  สยามพันธกิจ, อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ “นายกรัฐมนตรีบนพื้นพรมแดง”, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์สยามมิส พับลิชชิ่ง เฮ้าส์, 2552), หน้า 32.

วิกิพีเดีย, การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548, เข้าถึงจากhttps://th.wikipedia .org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2548 ค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2559.

วิกิพีเดีย, การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2550, เข้าถึงจากhttps://th.wikipedia .org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2550 ค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2559.

วิกิพีเดีย, คดียุบพรรคการเมืองพ.ศ. 2551เข้าถึงจาก https://th.wikipedia.org/wiki/คดียุบพรรคการเมือง_พ.ศ._2551 ค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2559

สำนักข่าว บีบีซี,ข้อมูลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าถึงจาก http://news.bbc.co.uk/2/hi/7780309.stm, เมื่อวันที่  24  กรกฎาคม  2559.

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,วัยเด็กและการศึกษา,เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/book_2years_2.php, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,บนเส้นทางการเมือง, เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/360detail.php?cate_id=17, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

 

อ้างอิง

[1]อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,วัยเด็กและการศึกษา,เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/book_2years_2.php, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[2]สำนักข่าว บีบีซี,ข้อมูลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าถึงจาก http://news.bbc.co.uk/2/hi/7780309.stm, เมื่อวันที่  24  กรกฎาคม  2559.

[3] อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,บนเส้นทางการเมือง, เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/360detail.php?cate_id=17, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[4] อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,วัยเด็กและการศึกษา,เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/book_2years_2.php, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[5]พิชัยยุทธ์  สยามพันธกิจ, อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ “นายกรัฐมนตรีบนพื้นพรมแดง”, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์สยามมิส พับลิชชิ่ง เฮ้าส์, 2552), หน้า 32.

[6]อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,วัยเด็กและการศึกษา,เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/book_2years_2.php, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[7] อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,บนเส้นทางการเมือง, เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/360detail.php?cate_id=17, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[8]ถนอมศักดิ์  จิรายุสวัสดิ์,'เส้นทางสู่ฝั่งฝัน...นายกรัฐมนตรีคนที่ '27  อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ,

(กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ปัญญาชน, 2552), หน้า 16.

[9] อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,บนเส้นทางการเมือง, เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/360detail.php?cate_id=17, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[10]พิชัยยุทธ์  สยามพันธกิจ, หน้า 39

[11]อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,บนเส้นทางการเมือง, เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/360detail.php?cate_id=17, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[12] กองบรรณาธิการมติชน,289 ข่าวดัง 3 ทศวรรษสำนักพิมพ์มติชน, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน,2550),หน้า 226

[13] อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,บนเส้นทางการเมือง, เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/360detail.php?cate_id=17, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[14] อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,บนเส้นทางการเมือง, เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/360detail.php?cate_id=17, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[15] วิกิพีเดีย, การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548, เข้าถึงจากhttps://th.wikipedia .org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2548 ค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2559

[16] อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,บนเส้นทางการเมือง, เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/360detail.php?cate_id=17, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[17] พิชัยยุทธ์  สยามพันธกิจ, หน้า 39-41.

[18] อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,บนเส้นทางการเมือง, เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/360detail.php?cate_id=17, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[19] ผู้จัดการออนไลน์,'ศาล รธน.มีมติ '8 ต่อ 6 ชี้เลือกตั้ง 2 เมษาฯ มิชอบ – สั่งเลือกใหม่, เข้าถึงจาก http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000060310 วันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[20] วิกิพีเดีย, การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2550, เข้าถึงจากhttps://th.wikipedia .org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2550 ค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2559

[21] วิกิพีเดีย, คดียุบพรรคการเมืองพ.ศ. 2551เข้าถึงจาก https://th.wikipedia.org/wiki/คดียุบพรรคการเมือง_พ.ศ._2551 ค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2559

[22] อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,บนเส้นทางการเมือง, เข้าถึงจาก http://www.abhisit.org/360detail.php?cate_id=17, เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[23] กองบรรณาธิการมติชน,บันทึกประเทศไทย ปี 2553, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2554), หน้า 199.

[24] ไทยรัฐออน์ไลน์,อภิสิทธิ์ ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ-คำถามพ่วง ชี้ไม่ตอบโจทย์ประเทศ, เข้าถึงจาก http://www.thairath.co.th/content/674381  เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559.

[25] ถนอมศักดิ์  จิรายุสวัสดิ์, หน้า 89-90.

[26] พิชัยยุทธ์  สยามพันธกิจ, หน้า 42.