ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กลุ่มโดมแดง"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าด้วย " เรียบเรียงโดย : นายอิทธิพล  โคตะมี ผู้ทรงคุณวุฒิประจ..."
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:


เรียบเรียงโดย : นายอิทธิพล  โคตะมี
เรียบเรียงโดย : นายอิทธิพล  โคตะมี


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต


----
----
บรรทัดที่ 8: บรรทัดที่ 8:
'''กลุ่มโดมแดง'''
'''กลุ่มโดมแดง'''


          กลุ่มโดมแดง คือกลุ่มกิจกรรมทางการเมืองที่มีวัตถุประสงค์ต่อต้านการรัฐประหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) สมาชิกของกลุ่มโดมแดงประกอบไปด้วยศิษย์เก่าและนักศึกษาระดับปริญญาตรีและโทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ ที่เห็นพ้องต้องกันในการคัดค้านการรัฐประหาร โดยมีแนวทางไม่ให้ความร่วมมือ และไม่ร่วมสังฆกรรมกับคณะรัฐประหาร[[#_ftn1|[1]]] กลุ่มโดมแดงจงใจเลือกใช้สัญลักษณ์โดมเป็นชื่อนำที่แทนความหมายชาวธรรมศาสตร์ และ สีแดง ที่สื่อความหมายตรงข้ามกับสีเหลือง ซึ่งหมายถึงขบวนการเคลื่อนไหวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งสนับสนุนการยึดอำนาจของ คปค.[[#_ftn2|[2]]]
          กลุ่มโดมแดง คือกลุ่มกิจกรรมทางการเมืองที่มีวัตถุประสงค์ต่อต้านการ[[รัฐประหาร]]ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในวันที่ [[19_กันยายน_พ.ศ._2549]] โดยค[[ณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข]] ([[คปค.]]) สมาชิกของกลุ่มโดมแดงประกอบไปด้วยศิษย์เก่าและนักศึกษาระดับปริญญาตรีและโทของ[[มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์]] โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ ที่เห็นพ้องต้องกันในการคัดค้านการรัฐประหาร โดยมีแนวทางไม่ให้ความร่วมมือ และไม่ร่วมสังฆกรรมกับคณะรัฐประหาร[[#_ftn1|[1]]] กลุ่มโดมแดงจงใจเลือกใช้สัญลักษณ์โดมเป็นชื่อนำที่แทนความหมายชาวธรรมศาสตร์ และ สีแดง ที่สื่อความหมายตรงข้ามกับสีเหลือง ซึ่งหมายถึง[[ขบวนการเคลื่อนไหวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย]] ([[พธม.]]) ซึ่งสนับสนุนการยึดอำนาจของ คปค.[[#_ftn2|[2]]]


          กลุ่มโดมแดงปรากฏตัวครั้งแรกหลังการรัฐประหารเพียง 1 วัน ร่วมกับนักศึกษาและนักกิจกรรมจำนวนประมาณ 70 คน[[#_ftn3|[3]]] เพื่อออกแถลงการณ์เรื่อง "ขัดขืนภาคปฏิบัติ คัดค้านรัฐประหาร" และได้ร่วมกับหลายองค์กรที่ก่อตั้งมาเพื่อคัดค้านการรัฐประหาร เช่น กลุ่มพลเมืองภิวัฒน์ กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ฯลฯ ก่อตัวเป็น “เครือข่าย 19 กันยา ต้านรัฐประหาร” และได้ร่อนแถลงการณ์อย่างเป็นทางการตามมาในอีก 2 วันถัดมา โดยแสดงเจตจำนงต่อต้านคณะรัฐประหารอย่างสันติ และเรียกร้องให้ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ถอนตัวจากการร่วมร่างรัฐธรรมนูญและเข้าร่วมกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้น อันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมให้กับการยึดอำนาจ
          กลุ่มโดมแดงปรากฏตัวครั้งแรกหลังการรัฐประหารเพียง 1 วัน ร่วมกับนักศึกษาและนักกิจกรรมจำนวนประมาณ 70 คน[[#_ftn3|[3]]] เพื่อออกแถลงการณ์เรื่อง "ขัดขืนภาคปฏิบัติ คัดค้านรัฐประหาร" และได้ร่วมกับหลายองค์กรที่ก่อตั้งมาเพื่อคัดค้านการรัฐประหาร เช่น [[กลุ่มพลเมืองภิวัฒน์]] [[กลุ่ม_24_มิถุนาประชาธิปไตย]] [[กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ]] ฯลฯ ก่อตัวเป็น “[[เครือข่าย_19_กันยา_ต้านรัฐประหาร]]” และได้ร่อนแถลงการณ์อย่างเป็นทางการตามมาในอีก 2 วันถัดมา โดยแสดงเจตจำนงต่อต้านคณะรัฐประหารอย่างสันติ และเรียกร้องให้ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ถอนตัวจากการร่วมร่างรัฐธรรมนูญและเข้าร่วมกับ[[สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] ([[สนช.]]) ที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้น อันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง[[ความชอบธรรม]]ให้กับการยึดอำนาจ


          กล่าวได้ว่ากิจกรรมของกลุ่มโดมแดง ได้ดำเนินกิจกรรมร่วมไปกับองค์กรอื่นๆ ในนามเครือข่าย 19 กันยายน ต้านรัฐประหาร โดยมีรูปแบบเป็นการเคลื่อนไหวอย่างสันติ แต่ท้าทายคำสั่งคณะรัฐประหาร อาทิ การจัดปราศรัยย่อย การชุมนุมเกิน 5 คน การแจกเอกสาร ใบปลิว การจัดเสวนา ไปจนถึงการเดินขบวน  โดยเริ่มคัดค้านครั้งแรกที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าพารากอน ในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549 และจัดเวทีเสวนากลางแจ้งที่ลานหน้าตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ อีกครั้งในวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2549 ภายใต้ชื่อกิจกรรม “อารยะขัดขืนภาคปฏิบัติคัดค้านคณะรัฐประหาร” และยังทำกิจกรรมต้านรัฐประหารร่วมกับเครือข่ายอื่นๆ อย่างต่อเนื่องตลอด พ.ศ. 2549-2550
          กล่าวได้ว่ากิจกรรมของกลุ่มโดมแดง ได้ดำเนินกิจกรรมร่วมไปกับองค์กรอื่นๆ ในนามเครือข่าย 19 กันยายน ต้านรัฐประหาร โดยมีรูปแบบเป็นการเคลื่อนไหวอย่างสันติ แต่ท้าทายคำสั่งคณะรัฐประหาร อาทิ การจัดปราศรัยย่อย การชุมนุมเกิน 5 คน การแจกเอกสาร ใบปลิว การจัดเสวนา ไปจนถึงการเดินขบวน  โดยเริ่มคัดค้านครั้งแรกที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าพารากอน ในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549 และจัดเวทีเสวนากลางแจ้งที่ลานหน้าตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ อีกครั้งในวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2549 ภายใต้ชื่อกิจกรรม “อารยะขัดขืนภาคปฏิบัติคัดค้านคณะรัฐประหาร” และยังทำกิจกรรมต้านรัฐประหารร่วมกับเครือข่ายอื่นๆ อย่างต่อเนื่องตลอด พ.ศ. 2549-2550
บรรทัดที่ 18: บรรทัดที่ 18:
          - วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549
          - วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549


          มีข้อเรียกร้องต่อคณบดีคณะรัฐศาสตร์ และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถอนตัวจากการเป็น 'สมาชิกร่างธรรมนูญการปกครอง' อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้กับ "คณะรัฐประหาร" โดยมีข้อเรียกร้องดังนี้
          มีข้อเรียกร้องต่อคณบดีคณะรัฐศาสตร์ และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถอนตัวจากการเป็น '[[สมาชิกร่างธรรมนูญการปกครอง]]' อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้กับ "คณะรัฐประหาร" โดยมีข้อเรียกร้องดังนี้


          ประการแรก การเข้าร่วมสังฆกรรมในกระบวนการนี้ ย่อมเป็นการรับรองความชอบธรรมให้กับ 'การรัฐประหาร' ที่ปล้นชิงอำนาจจากมือประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
          ประการแรก การเข้าร่วมสังฆกรรมในกระบวนการนี้ ย่อมเป็นการรับรองความชอบธรรมให้กับ 'การรัฐประหาร' ที่ปล้นชิงอำนาจจากมือประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บรรทัดที่ 28: บรรทัดที่ 28:
          - วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2549
          - วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2549


          กลุ่มโดมแดงออกจดหมายเปิดผนึกถึง ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง ขอเสนอและเรียกร้องให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือตำแหน่งอธิการบดีอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีรายละเอียดดังนี้
          กลุ่มโดมแดงออกจดหมายเปิดผนึกถึง [[สุรพล_นิติไกรพจน์|ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์]] อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง ขอเสนอและเรียกร้องให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือตำแหน่งอธิการบดีอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีรายละเอียดดังนี้


          1. แม้ว่าการได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของท่าน ไม่ได้รับการแต่งตั้งโดยอิงกับ ตำแหน่งอธิการบดี แต่ได้รับการแต่งตั้งในนามของ ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ ก็ตาม แต่พึงตระหนักว่า การรับรู้ของสาธารณชน อาจจะไม่สามารถแยกแยะหรือรับรู้ข้อมูลส่วนนี้ได้ เนื่องจากท่านยังดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งตำแหน่งนี้ก็จะคงยังติดตัวท่านไปตลอดการทำหน้าที่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างเลี่ยงมิได้
          1. แม้ว่าการได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของท่าน ไม่ได้รับการแต่งตั้งโดยอิงกับ ตำแหน่งอธิการบดี แต่ได้รับการแต่งตั้งในนามของ ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ ก็ตาม แต่พึงตระหนักว่า การรับรู้ของสาธารณชน อาจจะไม่สามารถแยกแยะหรือรับรู้ข้อมูลส่วนนี้ได้ เนื่องจากท่านยังดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งตำแหน่งนี้ก็จะคงยังติดตัวท่านไปตลอดการทำหน้าที่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างเลี่ยงมิได้


          2. ตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีพันธกิจและความรับผิดชอบในด้านการบริหารตามที่ให้สัญญาไว้ตอนเสนอตัวเองต่อประชาคมมหาวิทยาลัยซึ่งมีมากพอสมควร ตามที่ท่านเคยให้สัมภาษณ์ไว้กรณีการปฏิเสธการถูกเสนอชื่อเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของท่านย่อมมีผลกระทบต่อการบริหาร และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในประการสำคัญคือ
          2. ตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีพันธกิจและความรับผิดชอบในด้านการบริหารตามที่ให้สัญญาไว้ตอนเสนอตัวเองต่อประชาคมมหาวิทยาลัยซึ่งมีมากพอสมควร ตามที่ท่านเคยให้สัมภาษณ์ไว้กรณีการปฏิเสธการถูกเสนอชื่อเป็น[[ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ|ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของท่านย่อมมีผลกระทบต่อการบริหาร และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในประการสำคัญคือ


          2.1 กระทบต่อการบริหารงานของมหาวิทยาลัยตามที่ได้ให้สัญญาไว้
          2.1 กระทบต่อการบริหารงานของมหาวิทยาลัยตามที่ได้ให้สัญญาไว้


          2.2 การตัดสินใจรับตำแหน่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น ซึ่งนำตำแหน่งอธิการบดีติดตัวไปด้วย ไม่ได้เป็นตามเจตจำนงค์และได้รับความยินยอมจากประชาคม แม้ว่าในประชาคมจะมีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นนี้ก็ตาม ดังนั้น เพื่อความโปร่งใสและแสดงความบริสุทธิ์ใจ ท่านควรที่จะเลือกรับตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งกรณีนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในส่วนของสื่อมวลชน
          2.2 การตัดสินใจรับตำแหน่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น ซึ่งนำตำแหน่งอธิการบดีติดตัวไปด้วย ไม่ได้เป็นตามเจตจำนงค์และได้รับความยินยอมจากประชาคม แม้ว่าในประชาคมจะมีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นนี้ก็ตาม ดังนั้น เพื่อ[[ความโปร่งใส]]และแสดงความบริสุทธิ์ใจ ท่านควรที่จะเลือกรับตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งกรณีนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในส่วนของสื่อมวลชน


          2.3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีประวัติศาสตร์ เป็นพื้นที่ทางการเมืองและสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตย มาตั้งแต่สมัย ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การ การเข้าร่วมสังฆกรรมกับคณะรัฐประหารไม่ทางใดก็ทางหนึ่งของอธิการบดี ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกพิจารณาได้ว่า มีส่วนสนับสนุนและเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาอำนาจของคณะรัฐประหาร ไม่ว่าท่านจะอธิบายว่า "มันเกิดขึ้นแล้ว" ก็ตาม ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ ชื่อเสียง เกียรติภูมิ และความภาคภูมิใจของประชาคมมหาวิทยาลัย
          2.3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีประวัติศาสตร์ เป็นพื้นที่ทางการเมืองและสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตย มาตั้งแต่สมัย [[ปรีดี_พนมยงค์|ดร.ปรีดี พนมยงค์]] ผู้ประศาสน์การ การเข้าร่วมสังฆกรรมกับคณะรัฐประหารไม่ทางใดก็ทางหนึ่งของอธิการบดี ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกพิจารณาได้ว่า มีส่วนสนับสนุนและเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาอำนาจของคณะรัฐประหาร ไม่ว่าท่านจะอธิบายว่า "มันเกิดขึ้นแล้ว" ก็ตาม ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ ชื่อเสียง เกียรติภูมิ และความภาคภูมิใจของประชาคมมหาวิทยาลัย


          3. ดังนั้นในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องต่อท่านในฐานะอธิการบดีให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างไม่มีเงื่อนไข หากท่านเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า สิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง "สอดคล้องกับมโนสำนึก" ของท่าน ในฐานะ ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ เราขอเคารพในการตัดสินใจของท่านในฐานะปัจเจกบุคล แต่ขอเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดี เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อรองรับต่อระบอบประชาธิปไตย[[#_ftn4|[4]]]
          3. ดังนั้นในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องต่อท่านในฐานะอธิการบดีให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างไม่มีเงื่อนไข หากท่านเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า สิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง "สอดคล้องกับมโนสำนึก" ของท่าน ในฐานะ ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ เราขอเคารพในการตัดสินใจของท่านในฐานะปัจเจกบุคล แต่ขอเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดี เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อรองรับต่อระบอบประชาธิปไตย[[#_ftn4|[4]]]
บรรทัดที่ 58: บรรทัดที่ 58:
          “…หนึ่งเราวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการจัดประชามติที่ไม่ยุติธรรม มัดมือชกแบบนี้ไม่พร้อมกันด้วย สองเรายังเห็นว่ามันเป็นช่องที่ประชาชนจะแสดงเจตจำนงปฏิเสธรัฐประหารได้ ก่อนหน้านั้นช่วงที่เราทะเลาะกันไปพักหนึ่งแล้วกลับมาคิดงาน[[#_ftn6|[6]]] เราพบข้อถกเถียงในเว็บ บางคนเสนอให้ฉีกบัตรทำลายบัตร ถ้าอธิบายแบบอาจารย์สมศักดิ์ เราก็คิดว่ามันตรงหลักการที่สุด[[#_ftn7|[7]]] แต่ว่าเราไม่กล้ารณรงค์ให้คนทำอย่างนั้น เพราะมันอาจติดคุกและเกิดปัญหายุ่งเหยิงได้ นอกจากนั้นการทำอย่างนั้นก็ไม่ถูกนับคะแนน เป็นบัตรเสีย ถ้ามันแสดงว่าเขียนอะไรบ้างมันก็โอเค แต่ประเมินแล้วคงยาก
          “…หนึ่งเราวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการจัดประชามติที่ไม่ยุติธรรม มัดมือชกแบบนี้ไม่พร้อมกันด้วย สองเรายังเห็นว่ามันเป็นช่องที่ประชาชนจะแสดงเจตจำนงปฏิเสธรัฐประหารได้ ก่อนหน้านั้นช่วงที่เราทะเลาะกันไปพักหนึ่งแล้วกลับมาคิดงาน[[#_ftn6|[6]]] เราพบข้อถกเถียงในเว็บ บางคนเสนอให้ฉีกบัตรทำลายบัตร ถ้าอธิบายแบบอาจารย์สมศักดิ์ เราก็คิดว่ามันตรงหลักการที่สุด[[#_ftn7|[7]]] แต่ว่าเราไม่กล้ารณรงค์ให้คนทำอย่างนั้น เพราะมันอาจติดคุกและเกิดปัญหายุ่งเหยิงได้ นอกจากนั้นการทำอย่างนั้นก็ไม่ถูกนับคะแนน เป็นบัตรเสีย ถ้ามันแสดงว่าเขียนอะไรบ้างมันก็โอเค แต่ประเมินแล้วคงยาก


          เหมือนกันกับข้อเสนอสมศักดิ์ที่ไม่ให้ไปลงประชามติเลยมันก็ไม่ถูกนับเป็นคะแนนเช่นกัน อาจารย์สมศักดิ์มองว่าการณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแบบเราจะเจอปัญหา 2 ประเด็น คือ 1 คุณแพ้แน่ๆ 2.ถ้าคุณแพ้มันจะบีบให้คุณต้องยอมรับผลของการตัดสินนี้ นี่เป็นโจทย์ที่หนักมากๆ เป็นราคาที่ต้องจ่าย แต่เราไม่คิดแบบอาจารย์สมศักดิ์ว่ามันจะแพ้อย่างสิ้นเชิง คนอาจจะโหวตไม่รับด้วยเหตุผลหลายอย่าง เราขอให้เหตุผลของเราเป็นเหตุผลต้นๆ เหตุผลหนึ่งในการไม่รับ และคนทำรณรงค์มันต้องเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่เสียงที่ไม่รับจะชนะ ถ้าประชาชนไม่รับเท่ากับประชาชนปฏิเสธ คมช. ไปในตัวด้วย”[[#_ftn8|[8]]]  
          เหมือนกันกับข้อเสนอสมศักดิ์ที่ไม่ให้ไปลง[[ประชามติ]]เลยมันก็ไม่ถูกนับเป็นคะแนนเช่นกัน อาจารย์สมศักดิ์มองว่าการณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแบบเราจะเจอปัญหา 2 ประเด็น คือ 1 คุณแพ้แน่ๆ 2.ถ้าคุณแพ้มันจะบีบให้คุณต้องยอมรับผลของการตัดสินนี้ นี่เป็นโจทย์ที่หนักมากๆ เป็นราคาที่ต้องจ่าย แต่เราไม่คิดแบบอาจารย์สมศักดิ์ว่ามันจะแพ้อย่างสิ้นเชิง คนอาจจะโหวตไม่รับด้วยเหตุผลหลายอย่าง เราขอให้เหตุผลของเราเป็นเหตุผลต้นๆ เหตุผลหนึ่งในการไม่รับ และคนทำรณรงค์มันต้องเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่เสียงที่ไม่รับจะชนะ ถ้าประชาชนไม่รับเท่ากับประชาชนปฏิเสธ คมช. ไปในตัวด้วย”[[#_ftn8|[8]]]  


          หลังการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2550 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ภายใต้การประกาศกฎอัยการศึกใน 35 จังหวัดหรือเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ ที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกทั้งจังหวัด อีก 14 จังหวัด มีพื้นที่บางส่วนอยู่ใต้กฎอัยการศึก กลุ่มโดมแดงได้ยุติบทบาทไปพร้อมๆ กับกลุ่มต่อต้านรัฐประหารบางกลุ่มก่อนที่กลับมาปรากฏตัวอย่างเป็นเอกเทศอีกครั้งใน พ.ศ. 2551 โดยเป็นการออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้แนวทางอารยะขัดขืน ระหว่างวิกฤตการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลพรรคพลังประชาชนกับขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเห็นว่าความรุนแรงในการเผชิญหน้าจะนำไปสู่การทำลายหลักการและระบอบประชาธิปไตย มีความเห็นและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้
          หลัง[[การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ_2550]] เมื่อวันที่ [[19_สิงหาคม_พ.ศ._2550]] ภายใต้การประกาศ[[กฎอัยการศึก]]ใน 35 จังหวัดหรือเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ ที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกทั้งจังหวัด อีก 14 จังหวัด มีพื้นที่บางส่วนอยู่ใต้กฎอัยการศึก กลุ่มโดมแดงได้ยุติบทบาทไปพร้อมๆ กับกลุ่มต่อต้านรัฐประหารบางกลุ่มก่อนที่กลับมาปรากฏตัวอย่างเป็นเอกเทศอีกครั้งใน พ.ศ. 2551 โดยเป็นการออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้แนวทาง[[อารยะขัดขืน]] ระหว่างวิกฤตการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาล[[พรรคพลังประชาชน]]กับ[[พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย|ขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย]] โดยเห็นว่า[[ความรุนแรง]]ในการเผชิญหน้าจะนำไปสู่การทำลายหลักการและระบอบประชาธิปไตย มีความเห็นและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้


          1. ต่อความขัดแย้งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย  ความเห็นที่แตกต่างและความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย และสามารถที่จะแสดงออกได้ด้วยวิธีการต่างๆ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผู้ที่มีส่วนในความขัดแย้งใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ/วิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรงโดยตรงหรือสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมาย
          1. ต่อ[[ความขัดแย้ง]]ทางการเมืองใน[[ระบอบประชาธิปไตย]] ความเห็นที่แตกต่างและความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย และสามารถที่จะแสดงออกได้ด้วยวิธีการต่างๆ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผู้ที่มีส่วนในความขัดแย้งใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ/วิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรงโดยตรงหรือสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมาย


          2. ต่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การแสดงออก การชุมนุมทางการเมืองเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้ แต่ต้องเป็นไปโดยสันติและปราศจากอาวุธเท่านั้น ดังนั้น หากพันธมิตรฯ มีความบริสุทธิ์ใจ ต้องปลดอาวุธกองกำลัง/ผู้เข้าร่วมชุมนุมของตนเอง หรืออนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐทำการปลดอาวุธในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมหรือจัดการเองได้
          2. ต่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การแสดงออก การชุมนุมทางการเมืองเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้ แต่ต้องเป็นไปโดยสันติและปราศจากอาวุธเท่านั้น ดังนั้น หากพันธมิตรฯ มีความบริสุทธิ์ใจ ต้องปลดอาวุธกองกำลัง/ผู้เข้าร่วมชุมนุมของตนเอง หรืออนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐทำการปลดอาวุธในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมหรือจัดการเองได้
บรรทัดที่ 68: บรรทัดที่ 68:
          นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลการชุมนุม ต้องปลดอาวุธของตนเอง และกลุ่มอื่นๆ ทุกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้อาวุธมาห้ำหั่น/เข่นฆ่ากันอย่างที่เกิดขึ้น
          นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลการชุมนุม ต้องปลดอาวุธของตนเอง และกลุ่มอื่นๆ ทุกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้อาวุธมาห้ำหั่น/เข่นฆ่ากันอย่างที่เกิดขึ้น


          ทั้งนี้ เนื่องจากพันธมิตรฯ ระบุว่าการกระทำของตน ไม่ว่าจะเป็นการยึดทำเนียบรัฐบาลหรือสถานีโทรทัศน์ เป็นอารยะขัดขืน อันเป็นการกระทำทางการเมืองซึ่งมีลักษณะเป็นสาธารณะ (public) สันติวิธี (nonviolent) และมีมโนธรรมสำนึก (conscientious) ที่ขัดต่อกฎหมาย (contrary to law) ปกติเป็นสิ่งที่ทำโดยมุ่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย (in the law) หรือนโยบายของรัฐบาล ซึ่ง ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นจากการละเมิดกฎหมายนั้น ด้วย
          ทั้งนี้ เนื่องจากพันธมิตรฯ ระบุว่าการกระทำของตน ไม่ว่าจะเป็นการยึด[[ทำเนียบรัฐบาล]]หรือสถานีโทรทัศน์ เป็นอารยะขัดขืน อันเป็นการกระทำทางการเมืองซึ่งมีลักษณะเป็นสาธารณะ (public) [[สันติวิธี]] (nonviolent) และมีมโนธรรมสำนึก (conscientious) ที่ขัดต่อ[[กฎหมาย]] (contrary to law) ปกติเป็นสิ่งที่ทำโดยมุ่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย (in the law) หรือนโยบายของรัฐบาล ซึ่ง ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นจากการละเมิดกฎหมายนั้น ด้วย


          ดังนั้น เราขอเรียกร้องให้ผู้นำพันธมิตรฯ หยุดการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ เอาชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนเป็นตัวประกัน เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ด้วยการแสดงความกล้าหาญและมีอารยะ ตามคำกล่าวอ้าง โดยการมอบตัวแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมายศาล เพื่อเผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรมตามปกติ ตามหลัก กล้าทำ ต้องกล้ารับ ส่วนการชุมนุมประท้วงรัฐบาลยังคงดำเนินต่อไปได้ในที่อื่นที่เหมาะสมกับการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ไม่เช่นนั้นการกระทำของพันธมิตรฯ ก็ไม่แตกต่างจากการกระทำของอันธพาลการเมืองที่วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่เหนือกฎหมาย
          ดังนั้น เราขอเรียกร้องให้ผู้นำพันธมิตรฯ หยุดการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ เอาชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนเป็นตัวประกัน เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ด้วยการแสดงความกล้าหาญและมีอารยะ ตามคำกล่าวอ้าง โดยการมอบตัวแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมายศาล เพื่อเผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรมตามปกติ ตามหลัก กล้าทำ ต้องกล้ารับ ส่วน[[การชุมนุมประท้วง]][[รัฐบาล]]ยังคงดำเนินต่อไปได้ในที่อื่นที่เหมาะสมกับการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ไม่เช่นนั้นการกระทำของพันธมิตรฯ ก็ไม่แตกต่างจากการกระทำของอันธพาลการเมืองที่วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่เหนือกฎหมาย


          3. ต่อประชาชน  ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข รวมทั้งการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ เอาชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนเป็นตัวประกัน ข่มขู่ กดดัน เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ของพันธมิตรฯ และเครือข่ายไม่ว่าจะในนามใด เป็นข้อเรียกร้องและการกระทำที่ขาดความชอบธรรมและฉวยโอกาส แม้ว่าผู้คนอาจจะมีท่าทีต่อรัฐบาลที่แตกต่างกัน แต่การยินยอมให้พันธมิตรฯ ใช้ กฎหมู่ บีบบังคับรัฐบาล และผู้คนในสังคมให้ยอมรับข้อเรียกร้องของตน เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เป็นการยึด ลิดรอน สิทธิ เสรีภาพ และอำนาจอธิปไตยที่เป็นของเราทุกคนไปพร้อมกันด้วย ดังนั้น  หากใครไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพันธมิตรฯ ควรร่วมกันแสดงออกอย่างสันติเพื่อคัดค้านการนำสังคมการเมืองไปสู่อนาอารยะของพันธมิตรฯ ทั้งหมดนี้ มิใช่เพื่อปกป้องรัฐบาลที่เราชอบหรือไม่ชอบ แต่เป็นไปเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้
          3. ต่อประชาชน  ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข รวมทั้งการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ เอาชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนเป็นตัวประกัน ข่มขู่ กดดัน เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ของพันธมิตรฯ และเครือข่ายไม่ว่าจะในนามใด เป็นข้อเรียกร้องและการกระทำที่ขาดความชอบธรรมและฉวยโอกาส แม้ว่าผู้คนอาจจะมีท่าทีต่อรัฐบาลที่แตกต่างกัน แต่การยินยอมให้พันธมิตรฯ ใช้ กฎหมู่ บีบบังคับรัฐบาล และผู้คนในสังคมให้ยอมรับข้อเรียกร้องของตน เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เป็นการยึด ลิดรอน สิทธิ เสรีภาพ และอำนาจอธิปไตยที่เป็นของเราทุกคนไปพร้อมกันด้วย ดังนั้น  หากใครไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพันธมิตรฯ ควรร่วมกันแสดงออกอย่างสันติเพื่อคัดค้านการนำสังคมการเมืองไปสู่อนาอารยะของพันธมิตรฯ ทั้งหมดนี้ มิใช่เพื่อปกป้องรัฐบาลที่เราชอบหรือไม่ชอบ แต่เป็นไปเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้
บรรทัดที่ 94: บรรทัดที่ 94:
''มติชนออนไลน์''. 5 กันยายน 2551.
''มติชนออนไลน์''. 5 กันยายน 2551.


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. “ปัญญาชน 14 ตุลา พันธมิตรฯ และแอ๊กติวิสต์ "2 ไม่เอา."” ใน ''วารสารฟ้าเดียวกัน'' ''ฉบับพิเศษ รัฐประหาร ''''19 กันยายน 2549''. 2550.
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. “ปัญญาชน 14 ตุลา พันธมิตรฯ และแอ๊กติวิสต์ "2 ไม่เอา."” ใน ''วารสารฟ้าเดียวกัน'' ''ฉบับพิเศษ รัฐประหาร ''''19 กันยายน 2549'''''<b>. 2550.</b>


''หนังสือพิมพ์สนามหลวง'' ฉบับที่ 42 กรกฎาคม 2550.
''หนังสือพิมพ์สนามหลวง'' ฉบับที่ 42 กรกฎาคม 2550.
บรรทัดที่ 112: บรรทัดที่ 112:
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; [6] มีข้อถกเถียงกันเองภายในเครือข่าย 19 กันยายน ต่อต้านรัฐประหาร ในเรื่องการจัดวางท่าทีต่อกลุ่มต้านรัฐประหารที่มีที่มาจากกลุ่มคนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยในเครือข่ายเองแบ่งเป็น 2 ปีก คือ ปีกที่ปฏิเสธแนวทางการเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับกลุ่มที่ไม่ปฏิเสธแนวทางดังกล่าว กล่าวสำหรับกลุ่มโดมแดงแล้วมีท่าทีปฏิเสธแนวทางดังกล่าว ดูเพิ่มเติมใน อุบลพรรณ กระจ่างโพธิ์. การเคลื่อนไหวของขบวนการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553. หน้า 33-35.
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; [6] มีข้อถกเถียงกันเองภายในเครือข่าย 19 กันยายน ต่อต้านรัฐประหาร ในเรื่องการจัดวางท่าทีต่อกลุ่มต้านรัฐประหารที่มีที่มาจากกลุ่มคนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยในเครือข่ายเองแบ่งเป็น 2 ปีก คือ ปีกที่ปฏิเสธแนวทางการเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับกลุ่มที่ไม่ปฏิเสธแนวทางดังกล่าว กล่าวสำหรับกลุ่มโดมแดงแล้วมีท่าทีปฏิเสธแนวทางดังกล่าว ดูเพิ่มเติมใน อุบลพรรณ กระจ่างโพธิ์. การเคลื่อนไหวของขบวนการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553. หน้า 33-35.
</div> <div id="ftn7">
</div> <div id="ftn7">
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; [7] สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาธรรมศาสตร์ เสนอให้ปฏิเสธกระบวนการทั้งหมดจากการรัฐประหาร โดยการรณรงค์ไม่ให้ไปลงประชามติแทนกับไปลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้เขายังเขียนวิพากษ์วิจารณ์ปัญญาชน นักวิชาการที่ปฏิเสธการรัฐประหารและปฏิเสธการปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งถูกยึดอำนาจว่า เป็นกลุ่ม “2 ไม่เอา” ดูเพิ่มเติมใน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. “ปัญญาชน 14 ตุลา พันธมิตรฯ และแอ๊กติวิสต์ "2 ไม่เอา"” ใน ''วารสารฟ้าเดียวกัน'' ''ฉบับพิเศษ รัฐประหาร ''''19 กันยายน 2549'', 2550.
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; [7] สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาธรรมศาสตร์ เสนอให้ปฏิเสธกระบวนการทั้งหมดจากการรัฐประหาร โดยการรณรงค์ไม่ให้ไปลงประชามติแทนกับไปลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้เขายังเขียนวิพากษ์วิจารณ์ปัญญาชน นักวิชาการที่ปฏิเสธการรัฐประหารและปฏิเสธการปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งถูกยึดอำนาจว่า เป็นกลุ่ม “2 ไม่เอา” ดูเพิ่มเติมใน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. “ปัญญาชน 14 ตุลา พันธมิตรฯ และแอ๊กติวิสต์ "2 ไม่เอา"” ใน ''วารสารฟ้าเดียวกัน'' ''ฉบับพิเศษ รัฐประหาร ''''19 กันยายน 2549'''''<b>, 2550.</b>
</div> <div id="ftn8">
</div> <div id="ftn8">
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; [8] ''หนังสือพิมพ์สนามหลวง'' ฉบับที่ 42 กรกฎาคม 2550.
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; [8] ''หนังสือพิมพ์สนามหลวง'' ฉบับที่ 42 กรกฎาคม 2550.

รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:54, 15 มกราคม 2561

เรียบเรียงโดย : นายอิทธิพล  โคตะมี

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต


กลุ่มโดมแดง

          กลุ่มโดมแดง คือกลุ่มกิจกรรมทางการเมืองที่มีวัตถุประสงค์ต่อต้านการรัฐประหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในวันที่ 19_กันยายน_พ.ศ._2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) สมาชิกของกลุ่มโดมแดงประกอบไปด้วยศิษย์เก่าและนักศึกษาระดับปริญญาตรีและโทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ ที่เห็นพ้องต้องกันในการคัดค้านการรัฐประหาร โดยมีแนวทางไม่ให้ความร่วมมือ และไม่ร่วมสังฆกรรมกับคณะรัฐประหาร[1] กลุ่มโดมแดงจงใจเลือกใช้สัญลักษณ์โดมเป็นชื่อนำที่แทนความหมายชาวธรรมศาสตร์ และ สีแดง ที่สื่อความหมายตรงข้ามกับสีเหลือง ซึ่งหมายถึงขบวนการเคลื่อนไหวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งสนับสนุนการยึดอำนาจของ คปค.[2]

          กลุ่มโดมแดงปรากฏตัวครั้งแรกหลังการรัฐประหารเพียง 1 วัน ร่วมกับนักศึกษาและนักกิจกรรมจำนวนประมาณ 70 คน[3] เพื่อออกแถลงการณ์เรื่อง "ขัดขืนภาคปฏิบัติ คัดค้านรัฐประหาร" และได้ร่วมกับหลายองค์กรที่ก่อตั้งมาเพื่อคัดค้านการรัฐประหาร เช่น กลุ่มพลเมืองภิวัฒน์ กลุ่ม_24_มิถุนาประชาธิปไตย กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ฯลฯ ก่อตัวเป็น “เครือข่าย_19_กันยา_ต้านรัฐประหาร” และได้ร่อนแถลงการณ์อย่างเป็นทางการตามมาในอีก 2 วันถัดมา โดยแสดงเจตจำนงต่อต้านคณะรัฐประหารอย่างสันติ และเรียกร้องให้ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ถอนตัวจากการร่วมร่างรัฐธรรมนูญและเข้าร่วมกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้น อันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมให้กับการยึดอำนาจ

          กล่าวได้ว่ากิจกรรมของกลุ่มโดมแดง ได้ดำเนินกิจกรรมร่วมไปกับองค์กรอื่นๆ ในนามเครือข่าย 19 กันยายน ต้านรัฐประหาร โดยมีรูปแบบเป็นการเคลื่อนไหวอย่างสันติ แต่ท้าทายคำสั่งคณะรัฐประหาร อาทิ การจัดปราศรัยย่อย การชุมนุมเกิน 5 คน การแจกเอกสาร ใบปลิว การจัดเสวนา ไปจนถึงการเดินขบวน  โดยเริ่มคัดค้านครั้งแรกที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าพารากอน ในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549 และจัดเวทีเสวนากลางแจ้งที่ลานหน้าตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ อีกครั้งในวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2549 ภายใต้ชื่อกิจกรรม “อารยะขัดขืนภาคปฏิบัติคัดค้านคณะรัฐประหาร” และยังทำกิจกรรมต้านรัฐประหารร่วมกับเครือข่ายอื่นๆ อย่างต่อเนื่องตลอด พ.ศ. 2549-2550

          แม้ว่าจะร่วมกิจกรรมต่อต้านการรัฐประหาร 2549 ทุกครั้ง แต่ประเด็นของกลุ่มโดมแดงก็ให้ความสำคัญไปที่การเรียกร้องให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยุติการเข้าร่วมสังฆกรรมกับการรัฐประหารนอกจากเรียกร้องหลักการประชาธิปไตยโดยรวม โดยมีแถลงการณ์ที่สำคัญดังนี้

          - วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549

          มีข้อเรียกร้องต่อคณบดีคณะรัฐศาสตร์ และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถอนตัวจากการเป็น 'สมาชิกร่างธรรมนูญการปกครอง' อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้กับ "คณะรัฐประหาร" โดยมีข้อเรียกร้องดังนี้

          ประการแรก การเข้าร่วมสังฆกรรมในกระบวนการนี้ ย่อมเป็นการรับรองความชอบธรรมให้กับ 'การรัฐประหาร' ที่ปล้นชิงอำนาจจากมือประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          ประการที่สอง ตำแหน่งคณบดีเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งของสมาชิกภายในชุมชนการเมือง การใช้อำนาจและการตัดสินใจใดๆ ที่ส่งผลต่อชุมชนโดยรวม จำต้องผ่านการมีส่วนร่วมอย่างมีเหตุมีผลและได้รับความยินยอมจากสมาชิกภายในชุมชน ในขณะเดียวกัน ตำแหน่งคณบดีนั้น ถือได้ว่า เป็นตำแหน่งในการบริหารงานวิชาการ ซึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงและทำความเข้าใจสังคมการเมืองโดยรวม หาใช่การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองไร้ซึ่งความชอบธรรมตั้งแต่ต้นไม่

          ประการที่สาม พวกเราในฐานะศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันจำนวนหนึ่ง มีความห่วงใยต่อท่าทีทางการเมืองของคณบดี ในสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันซึ่งมีความหมิ่นเหม่ต่อระบอบและวัฒนธรรมทางการแบบประชาธิปไตย

          - วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2549

          กลุ่มโดมแดงออกจดหมายเปิดผนึกถึง ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง ขอเสนอและเรียกร้องให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือตำแหน่งอธิการบดีอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีรายละเอียดดังนี้

          1. แม้ว่าการได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติของท่าน ไม่ได้รับการแต่งตั้งโดยอิงกับ ตำแหน่งอธิการบดี แต่ได้รับการแต่งตั้งในนามของ ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ ก็ตาม แต่พึงตระหนักว่า การรับรู้ของสาธารณชน อาจจะไม่สามารถแยกแยะหรือรับรู้ข้อมูลส่วนนี้ได้ เนื่องจากท่านยังดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งตำแหน่งนี้ก็จะคงยังติดตัวท่านไปตลอดการทำหน้าที่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างเลี่ยงมิได้

          2. ตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีพันธกิจและความรับผิดชอบในด้านการบริหารตามที่ให้สัญญาไว้ตอนเสนอตัวเองต่อประชาคมมหาวิทยาลัยซึ่งมีมากพอสมควร ตามที่ท่านเคยให้สัมภาษณ์ไว้กรณีการปฏิเสธการถูกเสนอชื่อเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของท่านย่อมมีผลกระทบต่อการบริหาร และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในประการสำคัญคือ

          2.1 กระทบต่อการบริหารงานของมหาวิทยาลัยตามที่ได้ให้สัญญาไว้

          2.2 การตัดสินใจรับตำแหน่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น ซึ่งนำตำแหน่งอธิการบดีติดตัวไปด้วย ไม่ได้เป็นตามเจตจำนงค์และได้รับความยินยอมจากประชาคม แม้ว่าในประชาคมจะมีความเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นนี้ก็ตาม ดังนั้น เพื่อความโปร่งใสและแสดงความบริสุทธิ์ใจ ท่านควรที่จะเลือกรับตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งกรณีนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในส่วนของสื่อมวลชน

          2.3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีประวัติศาสตร์ เป็นพื้นที่ทางการเมืองและสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตย มาตั้งแต่สมัย ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การ การเข้าร่วมสังฆกรรมกับคณะรัฐประหารไม่ทางใดก็ทางหนึ่งของอธิการบดี ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกพิจารณาได้ว่า มีส่วนสนับสนุนและเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาอำนาจของคณะรัฐประหาร ไม่ว่าท่านจะอธิบายว่า "มันเกิดขึ้นแล้ว" ก็ตาม ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ ชื่อเสียง เกียรติภูมิ และความภาคภูมิใจของประชาคมมหาวิทยาลัย

          3. ดังนั้นในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องต่อท่านในฐานะอธิการบดีให้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างไม่มีเงื่อนไข หากท่านเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า สิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง "สอดคล้องกับมโนสำนึก" ของท่าน ในฐานะ ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ เราขอเคารพในการตัดสินใจของท่านในฐานะปัจเจกบุคล แต่ขอเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดี เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อรองรับต่อระบอบประชาธิปไตย[4]

          และเมื่อการต่อต้านรัฐบาลทหาร คมช. โดยประชาชนดำเนินไปอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะในช่วงเวลาหลังจากการทำอัตวิบาตกรรมของนายนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับแท็กซี่ซึ่งแขวนคอใต้สะพานลอยถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งขับรถแท็กซี่พุ่งชนรถถังของคณะรัฐประหารที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า นวมทอง เป็นพลเมืองไทยเพียงคนเดียวที่ประกาศตนต่อสาธารณชนว่า ได้พยายามกระทำอัตวินิบาตกรรม เพื่อประท้วงรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549[5]

          กลุ่มโดมแดงได้เข้าร่วมการเดินขบวนกับกลุ่มต้านรัฐประหารกลุ่มอื่นๆในหลายโอกาส อาทิ วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 เดินขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและกองทัพบก

          10 ธันวาคม พ.ศ. 2549 วันรัฐธรรมนูญ เดินขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

          21 มกราคม พ.ศ. 2550 เดินขบวนไปยังกองทัพบก

          18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 เดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล 18 มีนาคม พ.ศ. 2550 ครบรอบ 6 เดือนรัฐประหาร เดินขบวนไปยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งเครือข่ายฯ ถือว่าเป็น “ศูนย์บัญชาการคณะรัฐประหาร”    

          29 เมษายน พ.ศ. 2550 เดินขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อนำผ้าดำไปคลุมพานรัฐธรรมนูญ และอ่าน “คำประกาศ 7 เดือนรัฐประหาร: ประชามติ ล้มรัฐธรรมนูญ เท่ากับล้มเผด็จการ ทวงคืนรัฐธรรมนูญ 2540 ยุติวงจรอุบาทว์การเมืองไทย”

          ขณะที่มีการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะทำประชามติ ในเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2550 กลุ่มโดมแดงในนามเครือข่าย 19 กันยาฯ ได้รณรงค์ “โหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ” หรือ “โหวตโน” ดูเหมือนเป็นการปรับเปลี่ยนท่าทีต่อการรัฐประหารที่กลุ่มไม่รับการสังฆกรรมใดๆ กับ คมช. ทำให้ถูกวิจารณ์ว่ากลุ่มได้เข้าร่วมกระบวนการของ คมช. ในประเด็นนี้สมาชิกกลุ่มโดมแดง คือนายอุเชนทร์ เชียงเสน นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า

          “…หนึ่งเราวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการจัดประชามติที่ไม่ยุติธรรม มัดมือชกแบบนี้ไม่พร้อมกันด้วย สองเรายังเห็นว่ามันเป็นช่องที่ประชาชนจะแสดงเจตจำนงปฏิเสธรัฐประหารได้ ก่อนหน้านั้นช่วงที่เราทะเลาะกันไปพักหนึ่งแล้วกลับมาคิดงาน[6] เราพบข้อถกเถียงในเว็บ บางคนเสนอให้ฉีกบัตรทำลายบัตร ถ้าอธิบายแบบอาจารย์สมศักดิ์ เราก็คิดว่ามันตรงหลักการที่สุด[7] แต่ว่าเราไม่กล้ารณรงค์ให้คนทำอย่างนั้น เพราะมันอาจติดคุกและเกิดปัญหายุ่งเหยิงได้ นอกจากนั้นการทำอย่างนั้นก็ไม่ถูกนับคะแนน เป็นบัตรเสีย ถ้ามันแสดงว่าเขียนอะไรบ้างมันก็โอเค แต่ประเมินแล้วคงยาก

          เหมือนกันกับข้อเสนอสมศักดิ์ที่ไม่ให้ไปลงประชามติเลยมันก็ไม่ถูกนับเป็นคะแนนเช่นกัน อาจารย์สมศักดิ์มองว่าการณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแบบเราจะเจอปัญหา 2 ประเด็น คือ 1 คุณแพ้แน่ๆ 2.ถ้าคุณแพ้มันจะบีบให้คุณต้องยอมรับผลของการตัดสินนี้ นี่เป็นโจทย์ที่หนักมากๆ เป็นราคาที่ต้องจ่าย แต่เราไม่คิดแบบอาจารย์สมศักดิ์ว่ามันจะแพ้อย่างสิ้นเชิง คนอาจจะโหวตไม่รับด้วยเหตุผลหลายอย่าง เราขอให้เหตุผลของเราเป็นเหตุผลต้นๆ เหตุผลหนึ่งในการไม่รับ และคนทำรณรงค์มันต้องเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่เสียงที่ไม่รับจะชนะ ถ้าประชาชนไม่รับเท่ากับประชาชนปฏิเสธ คมช. ไปในตัวด้วย”[8]  

          หลังการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ_2550 เมื่อวันที่ 19_สิงหาคม_พ.ศ._2550 ภายใต้การประกาศกฎอัยการศึกใน 35 จังหวัดหรือเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ ที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกทั้งจังหวัด อีก 14 จังหวัด มีพื้นที่บางส่วนอยู่ใต้กฎอัยการศึก กลุ่มโดมแดงได้ยุติบทบาทไปพร้อมๆ กับกลุ่มต่อต้านรัฐประหารบางกลุ่มก่อนที่กลับมาปรากฏตัวอย่างเป็นเอกเทศอีกครั้งใน พ.ศ. 2551 โดยเป็นการออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้แนวทางอารยะขัดขืน ระหว่างวิกฤตการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลพรรคพลังประชาชนกับขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเห็นว่าความรุนแรงในการเผชิญหน้าจะนำไปสู่การทำลายหลักการและระบอบประชาธิปไตย มีความเห็นและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

          1. ต่อความขัดแย้งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ความเห็นที่แตกต่างและความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย และสามารถที่จะแสดงออกได้ด้วยวิธีการต่างๆ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผู้ที่มีส่วนในความขัดแย้งใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ/วิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรงโดยตรงหรือสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมาย

          2. ต่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การแสดงออก การชุมนุมทางการเมืองเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้ แต่ต้องเป็นไปโดยสันติและปราศจากอาวุธเท่านั้น ดังนั้น หากพันธมิตรฯ มีความบริสุทธิ์ใจ ต้องปลดอาวุธกองกำลัง/ผู้เข้าร่วมชุมนุมของตนเอง หรืออนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐทำการปลดอาวุธในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมหรือจัดการเองได้

          นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลการชุมนุม ต้องปลดอาวุธของตนเอง และกลุ่มอื่นๆ ทุกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้อาวุธมาห้ำหั่น/เข่นฆ่ากันอย่างที่เกิดขึ้น

          ทั้งนี้ เนื่องจากพันธมิตรฯ ระบุว่าการกระทำของตน ไม่ว่าจะเป็นการยึดทำเนียบรัฐบาลหรือสถานีโทรทัศน์ เป็นอารยะขัดขืน อันเป็นการกระทำทางการเมืองซึ่งมีลักษณะเป็นสาธารณะ (public) สันติวิธี (nonviolent) และมีมโนธรรมสำนึก (conscientious) ที่ขัดต่อกฎหมาย (contrary to law) ปกติเป็นสิ่งที่ทำโดยมุ่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย (in the law) หรือนโยบายของรัฐบาล ซึ่ง ต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นจากการละเมิดกฎหมายนั้น ด้วย

          ดังนั้น เราขอเรียกร้องให้ผู้นำพันธมิตรฯ หยุดการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ เอาชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนเป็นตัวประกัน เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ด้วยการแสดงความกล้าหาญและมีอารยะ ตามคำกล่าวอ้าง โดยการมอบตัวแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมายศาล เพื่อเผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรมตามปกติ ตามหลัก กล้าทำ ต้องกล้ารับ ส่วนการชุมนุมประท้วงรัฐบาลยังคงดำเนินต่อไปได้ในที่อื่นที่เหมาะสมกับการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ไม่เช่นนั้นการกระทำของพันธมิตรฯ ก็ไม่แตกต่างจากการกระทำของอันธพาลการเมืองที่วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่เหนือกฎหมาย

          3. ต่อประชาชน  ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข รวมทั้งการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ เอาชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนเป็นตัวประกัน ข่มขู่ กดดัน เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ของพันธมิตรฯ และเครือข่ายไม่ว่าจะในนามใด เป็นข้อเรียกร้องและการกระทำที่ขาดความชอบธรรมและฉวยโอกาส แม้ว่าผู้คนอาจจะมีท่าทีต่อรัฐบาลที่แตกต่างกัน แต่การยินยอมให้พันธมิตรฯ ใช้ กฎหมู่ บีบบังคับรัฐบาล และผู้คนในสังคมให้ยอมรับข้อเรียกร้องของตน เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เป็นการยึด ลิดรอน สิทธิ เสรีภาพ และอำนาจอธิปไตยที่เป็นของเราทุกคนไปพร้อมกันด้วย ดังนั้น  หากใครไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพันธมิตรฯ ควรร่วมกันแสดงออกอย่างสันติเพื่อคัดค้านการนำสังคมการเมืองไปสู่อนาอารยะของพันธมิตรฯ ทั้งหมดนี้ มิใช่เพื่อปกป้องรัฐบาลที่เราชอบหรือไม่ชอบ แต่เป็นไปเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้

          4. ต่อรัฐบาล รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องมีความอดทนและระมัดระวังในการดำเนินการหรือบังคับใช้กฎหมาย ป้องกัน ระงับไม่ให้เกิดความรุนแรง และยุติวิธีการใดๆ ที่อาจจะนำไปสู่ความรุนแรง เพราะรัฐมีหน้าที่ในการปกป้อง พิทักษ์ สิทธิ เสรีภาพ ชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือน ความรุนแรงจะทำให้รัฐบาลสูญเสียความชอบธรรม และถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายต่อต้านในการล้มล้างรัฐบาล หรือถูกฉกฉวยโดยอำนาจอื่นในการใช้อำนาจนอกระบบมาแทรกแซงหรือทำลายระบอบประชาธิปไตยได้ ดังที่ปรากกฎมาก่อนหน้านี้

          สำหรับการริเริ่มของรัฐบาลในการเสนอให้มีการจัดทำประชามติเพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญในมาตรา 165 (1) นั้น ในทางหลักการ เป็นแนวคิดที่ดี แต่จะต้องมีการกำหนดประเด็นที่ชัดเจนและมีกระบวนการที่ยุติธรรม เปิดกว้างให้มีการรณรงค์แสดงความคิดเห็นทั้งสนับสนุนและคัดค้านอย่างกว้างขวางตามหลักสากล โดยมีระยะเวลาที่เพียงพอเหมาะสม ไม่ใช่ประชามติแบบมัดมือชก อย่างการประชามติรัฐธรรมนูญฉบับ คมช.

          5. ท้ายที่สุด เห็นว่า การใช้สันติวิธีของทุกฝ่ายในการรับมือกับความขัดแย้งแม้จะไม่สามารถการันตีผลลัพธ์ที่ต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือยุติความขัดแย้งและความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมืองได้ แต่จะไม่พรากชีวิตของผู้ใดในการต่อสู้แข่งขันทางการเมืองอีก ทำให้เราอยู่กับความขัดแย้งอย่างมีอารยะ และธำรงไว้ได้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยได้[9]

บรรณานุกรม

ไทยรัฐ. 1 พ.ย. 2549.

แนวหน้า. 20 กันยายน 2549.

ประชาไทออนไลน์. 22 กันยายน 2549.

ประชาไทออนไลน์. 29 ธันวาคม 2549.

ฟ้าเดียวกัน. 2549.

มติชนออนไลน์. 5 กันยายน 2551.

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. “ปัญญาชน 14 ตุลา พันธมิตรฯ และแอ๊กติวิสต์ "2 ไม่เอา."” ใน วารสารฟ้าเดียวกัน ฉบับพิเศษ รัฐประหาร '19 กันยายน 2549. 2550.

หนังสือพิมพ์สนามหลวง ฉบับที่ 42 กรกฎาคม 2550.

อุบลพรรณ กระจ่างโพธิ์. การเคลื่อนไหวของขบวนการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553.

อ้างอิง

          [1] 'กลุ่มโดมแดง' เรียกร้องคณบดีรัฐศาสตร์ มธ. ถอนตัวจากการร่วมร่างธรรมนูญฯ, ประชาไทออนไลน์ 22 กันยายน 2549.

          [2] ออกบัตรเชิญรัฐประหาร ฟ้าเดียวกัน. 2549.

          [3] แนวหน้า, 20 กันยายน 2549.

          [4] ศิษย์ มธ. ขอล้างครู ล่ารายชื่อเรียกร้อง ศ. สุรพล นิติไกรพจน์เลือกเอาจะเป็น สนช. หรือ อธิการบดี, ประชาไทออนไลน์, 29 ธันวาคม 2549.

          [5] คนขับแท็กซี่ชนรถถังผูกคอตาย ทิ้งจม. พลีชีพเพื่อประชาธิปไตย, ไทยรัฐ 1 พ.ย. 2549.

          [6] มีข้อถกเถียงกันเองภายในเครือข่าย 19 กันยายน ต่อต้านรัฐประหาร ในเรื่องการจัดวางท่าทีต่อกลุ่มต้านรัฐประหารที่มีที่มาจากกลุ่มคนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยในเครือข่ายเองแบ่งเป็น 2 ปีก คือ ปีกที่ปฏิเสธแนวทางการเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับกลุ่มที่ไม่ปฏิเสธแนวทางดังกล่าว กล่าวสำหรับกลุ่มโดมแดงแล้วมีท่าทีปฏิเสธแนวทางดังกล่าว ดูเพิ่มเติมใน อุบลพรรณ กระจ่างโพธิ์. การเคลื่อนไหวของขบวนการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553. หน้า 33-35.

          [7] สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาธรรมศาสตร์ เสนอให้ปฏิเสธกระบวนการทั้งหมดจากการรัฐประหาร โดยการรณรงค์ไม่ให้ไปลงประชามติแทนกับไปลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้เขายังเขียนวิพากษ์วิจารณ์ปัญญาชน นักวิชาการที่ปฏิเสธการรัฐประหารและปฏิเสธการปกป้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งถูกยึดอำนาจว่า เป็นกลุ่ม “2 ไม่เอา” ดูเพิ่มเติมใน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. “ปัญญาชน 14 ตุลา พันธมิตรฯ และแอ๊กติวิสต์ "2 ไม่เอา"” ใน วารสารฟ้าเดียวกัน ฉบับพิเศษ รัฐประหาร '19 กันยายน 2549, 2550.

          [8] หนังสือพิมพ์สนามหลวง ฉบับที่ 42 กรกฎาคม 2550.

          [9] กลุ่มโดมแดง มธ.แถลงกล้าทำ กล้ารับแนวอารยะขัดขืน, มติชนออนไลน์ 5 กันยายน 2551.