ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สมาชิกพฤฒสภา"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าที่ถูกสร้างด้วย 'ผู้เรียบเรียง : มานะ ทองไพบูรณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิประ...'
 
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
ผู้เรียบเรียง : มานะ  ทองไพบูรณ์
'''ผู้เรียบเรียง''' : มานะ  ทองไพบูรณ์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' : นายจเร พันธุ์เปรื่อง
----
----


ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ในห้วงเวลาเริ่มต้นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ รัฐธรรมนูญสองฉบับแรกกำหนดรูปแบบระบบรัฐสภาให้มีสภาเดียวคือ สภาผู้แทนราษฎร จนกระทั่งได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่สาม คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2489 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ได้กำหนดรูปแบบระบบรัฐสภาให้มีสองสภาคือ สภาผู้แทนกับพฤฒสภา (ในรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “สภาผู้แทน” ไม่มีคำว่า “ราษฎร”) หลังจากที่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้เพียงไม่กี่วัน ก็ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในวันที่ 24 พฤษภาคม 2489  
ประเทศไทย[[เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง]]จากระบอบ[[สมบูรณาญาสิทธิราช]] มาเป็น[[การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา]] เมื่อวันที่ [[24 มิถุนายน 2475]] ในห้วงเวลาเริ่มต้นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมี[[รัฐธรรมนูญ]]เป็น[[กฎหมาย]]สูงสุดในการปกครองประเทศ รัฐธรรมนูญสองฉบับแรกกำหนดรูปแบบระบบรัฐสภาให้มี[[สภาเดียว]]คือ [[สภาผู้แทนราษฎร]] จนกระทั่งได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่สาม คือ [[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489]] เมื่อวันที่ [[10 พฤษภาคม 2489]] รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ได้กำหนดรูปแบบระบบรัฐสภาให้มี[[สองสภา]]คือ [[สภาผู้แทน]]กับ[[พฤฒสภา]] (ในรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “สภาผู้แทน” ไม่มีคำว่า “ราษฎร”) หลังจากที่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้เพียงไม่กี่วัน ก็ได้มี[[การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา]]ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในวันที่ [[24 พฤษภาคม 2489]]


เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มีห้วงเวลาแห่งการบังคับใช้ที่สั้นมาก เพียง 1 ปี 5 เดือน 29 วัน (10 พฤษภาคม 2489 – 8 พฤศจิกายน 2490) ก็ต้องถูกยกเลิกโดยคณะรัฐประหารเป็นผลให้สมาชิกพฤฒสภาต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพโดยปริยาย สมาชิกพฤฒสภาจึงดำรงตำแหน่งเพียง 1 ปี 5 เดือน 16 วัน (24 พฤษภาคม 2489 – 8 พฤศจิกายน 2490) ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 จึงได้เปลี่ยนชื่อ “พฤฒสภา” เป็น “วุฒิสภา” และรัฐธรรมนูญฉบับต่อ ๆ มาจนถึงฉบับปัจจุบันก็ไม่ปรากฏคำว่า “พฤฒสภา” อีกเลย
เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มีห้วงเวลาแห่งการบังคับใช้ที่สั้นมาก เพียง 1 ปี 5 เดือน 29 วัน (10 พฤษภาคม 2489 – 8 พฤศจิกายน 2490) ก็ต้องถูกยกเลิกโดย[[คณะรัฐประหาร]]เป็นผลให้[[สมาชิกพฤฒสภา]]ต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพโดยปริยาย สมาชิกพฤฒสภาจึงดำรงตำแหน่งเพียง 1 ปี 5 เดือน 16 วัน (24 พฤษภาคม 2489 – 8 พฤศจิกายน 2490) ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้[[รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490]] เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 จึงได้เปลี่ยนชื่อ “พฤฒสภา” เป็น “[[วุฒิสภา]]” และรัฐธรรมนูญฉบับต่อ ๆ มาจนถึงฉบับปัจจุบันก็ไม่ปรากฏคำว่า “พฤฒสภา” อีกเลย


==ที่มาของสมาชิกพฤฒสภา==
==ที่มาของสมาชิกพฤฒสภา==


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 กำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วยพฤฒสภาและสภาผู้แทน  พฤฒสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 80 คน ซึ่งราษฎรเป็นผู้เลือกตั้ง แต่เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม  เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีพฤฒสภา ซึ่งเปรียบเสมือนสภาสูง จึงต้องให้สมาชิกพฤฒสภามีคุณสมบัติที่แสดงถึงความอาวุโสสูงกว่าสมาชิกสภาผู้แทน คือ จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีบริบูรณ์ นอกจากนี้ยังต้องมีวิทยฐานะ ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่ามาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าปี หรือเคยดำรงตำแหน่งทางราชการมาแล้วไม่ต่ำกว่าหัวหน้ากองหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทน หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว ส่วนวาระ            ในการดำรงตำแหน่งนั้นรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีวาระ 6 ปี และในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนด 3 ปี ให้สมาชิกพ้นจากตำแหน่งกึ่งหนึ่งโดยวิธีการจับฉลาก แต่ผู้ที่พ้นจากตำแหน่งมีสิทธิได้รับเลือกตั้งทางอ้อมกลับเข้ามาอีก   
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 กำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วยพฤฒสภาและสภาผู้แทน  พฤฒสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 80 คน ซึ่งราษฎรเป็นผู้[[เลือกตั้ง]] แต่เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม  เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีพฤฒสภา ซึ่งเปรียบเสมือน[[สภาสูง]] จึงต้องให้สมาชิกพฤฒสภามีคุณสมบัติที่แสดงถึงความอาวุโสสูงกว่าสมาชิกสภาผู้แทน คือ จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีบริบูรณ์ นอกจากนี้ยังต้องมีวิทยฐานะ ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่ามาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าปี หรือเคยดำรงตำแหน่งทางราชการมาแล้วไม่ต่ำกว่าหัวหน้ากองหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็น[[สมาชิกสภาผู้แทน]] หรือ[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]มาแล้ว ส่วนวาระในการดำรงตำแหน่งนั้นรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีวาระ 6 ปี และในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนด 3 ปี ให้สมาชิกพ้นจากตำแหน่งกึ่งหนึ่งโดยวิธีการจับฉลาก แต่ผู้ที่พ้นจากตำแหน่งมีสิทธิได้รับเลือกตั้งทางอ้อมกลับเข้ามาอีก   


อย่างไรก็ตาม แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดอายุของสมาชิกพฤฒสภาไว้สูงถึง 40 ปีบริบูรณ์ แต่ในวาระเริ่มแรกของการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญได้มีข้อยกเว้นโดยลดอายุของผู้สมัครรับเลือกตั้งเหลือ 35 ปี แต่ยังคงคุณสมบัติด้านอื่นดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว สำหรับวิธีการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภานั้น องค์การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาซึ่งประกอบด้วย ผู้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในวันสุดท้ายก่อนใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 เป็นผู้กำหนดวิธีการเลือกตั้งขึ้น  และการเลือกตั้งตามบทเฉพาะกาลในวาระเริ่มแรกดังกล่าวเป็นการเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยสมาชิกสภาผู้แทนซึ่งได้มีขึ้น ณ สำนักงานเลขาธิการองค์การเลือกตั้ง พระที่นั่งอนันตสมาคม ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2489 เวลา 09.00 นาฬิกาถึงเวลา 16.00 นาฬิกา ที่ดำเนินการจัดการเลือกตั้งโดยเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยดำเนินการทุกขั้นตอนเสมือนเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย  และได้สมาชิกพฤฒสภาครบถ้วน จำนวน 80 คนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด  ต่อมาในวันที่ 1 มิถุนายน 2489  ได้มีการประชุมสมาชิกพฤฒสภาครั้งแรก ณ พระที่นั่งอภิเษกดุสิต  โดยที่ประชุมได้มีมติในวันที่ 4 มิถุนายน 2489 เลือกนายวิลาศ  โอสถานนท์ เป็นประธานพฤฒสภา และนายไต๋  ปาณิกบุตร เป็นรองประธานพฤฒสภา ต่อมานายวิลาศ โอสถานนท์ ลาออกจากตำแหน่ง เพราะได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ประชุมพฤฒสภาจึงได้มีมติเลือกพลเรือตรี กระแส ประวาหะนาวิน ศรยุทธเสนีเป็นประธานพฤฒสภา ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2490  องค์ประกอบขององค์กรพฤฒสภา ซึ่งมีสมาชิกพฤฒสภาเป็นผู้ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจึงมีความสมบูรณ์ตั้งแต่มีการเลือกประธานและรองประธานเป็นต้นไป  
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดอายุของสมาชิกพฤฒสภาไว้สูงถึง 40 ปีบริบูรณ์ แต่ในวาระเริ่มแรกของการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา [[บทเฉพาะกาล]]ของรัฐธรรมนูญได้มีข้อยกเว้นโดยลดอายุของผู้สมัครรับเลือกตั้งเหลือ 35 ปี แต่ยังคงคุณสมบัติด้านอื่นดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว สำหรับวิธีการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภานั้น องค์การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาซึ่งประกอบด้วย ผู้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในวันสุดท้ายก่อนใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 เป็นผู้กำหนดวิธีการเลือกตั้งขึ้น  และการเลือกตั้งตามบทเฉพาะกาลในวาระเริ่มแรกดังกล่าวเป็นการเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยสมาชิกสภาผู้แทนซึ่งได้มีขึ้น ณ [[สำนักงานเลขาธิการองค์การเลือกตั้ง]] [[พระที่นั่งอนันตสมาคม]] ในวันที่ [[24 พฤษภาคม 2489]] เวลา 09.00 นาฬิกาถึงเวลา 16.00 นาฬิกา ที่ดำเนินการจัดการเลือกตั้งโดยเจ้าหน้าที่[[สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร]] โดยดำเนินการทุกขั้นตอนเสมือนเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย  และได้สมาชิกพฤฒสภาครบถ้วน จำนวน 80 คนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด  ต่อมาในวันที่ 1 มิถุนายน 2489  ได้มีการประชุมสมาชิกพฤฒสภาครั้งแรก ณ [[พระที่นั่งอภิเษกดุสิต]] โดยที่ประชุมได้มีมติในวันที่ 4 มิถุนายน 2489 เลือกนาย[[วิลาศ โอสถานนท์]] เป็น[[ประธานพฤฒสภา]] และ[[นายไต๋ ปาณิกบุตร]] เป็น[[รองประธานพฤฒสภา]] ต่อมานายวิลาศ โอสถานนท์ ลาออกจากตำแหน่ง เพราะได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง[[รัฐมนตรี]]ว่าการกระทรวงพาณิชย์ [[ที่ประชุมพฤฒสภา]]จึงได้มีมติเลือก[[พลเรือตรี กระแส ประวาหะนาวิน]] ศรยุทธเสนีเป็นประธานพฤฒสภา ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2490  องค์ประกอบขององค์กรพฤฒสภา ซึ่งมีสมาชิกพฤฒสภาเป็นผู้ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจึงมีความสมบูรณ์ตั้งแต่มีการเลือกประธานและรองประธานเป็นต้นไป  


==บทบาทและอำนาจหน้าที่ของสมาชิกพฤฒสภาตามรัฐธรรมนูญ==
==บทบาทและอำนาจหน้าที่ของสมาชิกพฤฒสภาตามรัฐธรรมนูญ==
บรรทัดที่ 24: บรรทัดที่ 24:
==การร้องขอให้มีการประชุมวิสามัญ==
==การร้องขอให้มีการประชุมวิสามัญ==


นอกจากรัฐธรรมนูญจะกำหนดให้พฤฒสภามีสมัยประชุมสามัญประจำปีแล้ว สมาชิกพฤฒสภายังมีสิทธิที่จะเข้าชื่อจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งสองสภา โดยสมาชิกพฤฒสภาอาจเข้าชื่อกันเองหรือเข้าชื่อร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนก็ได้ เพื่อร้องขอให้มีการประชุมวิสามัญ  
นอกจากรัฐธรรมนูญจะกำหนดให้พฤฒสภามี[[สมัยประชุมสามัญประจำปี]]แล้ว สมาชิกพฤฒสภายังมีสิทธิที่จะเข้าชื่อจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งสองสภา โดยสมาชิกพฤฒสภาอาจเข้าชื่อกันเองหรือเข้าชื่อร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนก็ได้ เพื่อร้องขอให้มี[[การประชุมวิสามัญ]]  


==การตราข้อบังคับการประชุม==
==การตราข้อบังคับการประชุม==
บรรทัดที่ 32: บรรทัดที่ 32:
==การกลั่นกรองกฎหมาย==
==การกลั่นกรองกฎหมาย==


แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญจะมิได้ให้อำนาจแก่สมาชิกพฤฒสภาในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ แต่ก็มีอำนาจในการพิจารณากลั่นกรองร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนแล้ว โดยพฤฒสภาอาจลงมติ ไม่เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติหรือให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ และส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นกลับคืนมาให้สภาผู้แทนพิจารณาใหม่ และถ้าสภาผู้แทนเห็นชอบตามที่พฤฒสภาได้ลงมติไม่เห็นชอบ ก็ให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นตกไป ส่วนในกรณีที่สภาผู้แทนเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติของพฤฒสภา ก็ให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยต่อไป ร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกพฤฒสภาได้พิจารณากลั่นกรองตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญก่อนที่รัฐธรรมนูญจะถูกยกเลิก เช่น
แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญจะมิได้ให้อำนาจแก่สมาชิกพฤฒสภาในการเสนอ[[ร่างพระราชบัญญัติ]] แต่ก็มีอำนาจในการพิจารณากลั่นกรองร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนแล้ว โดยพฤฒสภาอาจ[[ลงมติ]] ไม่เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติหรือให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ และส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นกลับคืนมาให้สภาผู้แทนพิจารณาใหม่ และถ้าสภาผู้แทนเห็นชอบตามที่พฤฒสภาได้ลงมติไม่เห็นชอบ ก็ให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นตกไป ส่วนในกรณีที่สภาผู้แทนเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติม[[ร่างพระราชบัญญัติของพฤฒสภา]] ก็ให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อให้[[พระมหากษัตริย์]]ทรง[[ลงพระปรมาภิไธย]]ต่อไป ร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกพฤฒสภาได้พิจารณากลั่นกรองตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญก่อนที่รัฐธรรมนูญจะถูกยกเลิก เช่น
   
   
ในการประชุมพฤฒสภา สมัยวิสามัญ ชุดที่ 1 ครั้งที่ 1/2489 ถึงครั้งที่ 19/2489 วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2489 ถึง วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2489 มีร่างพระราชบัญญัติที่เสนอต่อพฤฒสภา รวมทั้งสิ้น 38 ฉบับ อาทิ (1) ร่างพระราชบัญญัติจัดสรรทุนสำรองเงินตราเพื่อบูรณะประเทศ พ.ศ. 2489 (2) ร่างพระราชบัญญัติกู้เงินเพื่อการบูรณะประเทศ พ.ศ. 2489 (3) ร่างพระราชบัญญัติการค้าข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2489 (4) ร่างพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489 (5) ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกเงินช่วยชาติในภาวะคับขันและภาษีอากรบางประเภท พ.ศ. 2489 เป็นต้น
ในการ[[ประชุมพฤฒสภา สมัยวิสามัญ]] ชุดที่ 1 ครั้งที่ 1/2489 ถึงครั้งที่ 19/2489 วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2489 ถึง วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2489 มีร่างพระราชบัญญัติที่เสนอต่อพฤฒสภา รวมทั้งสิ้น 38 ฉบับ อาทิ (1) ร่างพระราชบัญญัติจัดสรรทุนสำรองเงินตราเพื่อบูรณะประเทศ พ.ศ. 2489 (2) ร่างพระราชบัญญัติกู้เงินเพื่อการบูรณะประเทศ พ.ศ. 2489 (3) ร่างพระราชบัญญัติการค้าข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2489 (4) ร่างพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489 (5) ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกเงินช่วยชาติในภาวะคับขันและภาษีอากรบางประเภท พ.ศ. 2489 เป็นต้น
    
    
และในการประชุมพฤฒสภา สมัยสามัญ ชุดที่ 1 ครั้งที่ 1/2490 ถึงครั้งที่ 14/2490 วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2490 ถึง วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม 2490 มีร่างพระราชบัญญัติที่เสนอต่อพฤฒสภา รวมทั้งสิ้น  27 ฉบับ อาทิ (1) ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนให้ใช้ไปพลางก่อน พ.ศ. 2490 (2)  ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ. 2490 (3) ร่างพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 (4) ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสินค้าบางอย่าง พ.ศ. 2490 (5) ร่างพระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2490 เป็นต้น  
และในการประชุมพฤฒสภา สมัยสามัญ ชุดที่ 1 ครั้งที่ 1/2490 ถึงครั้งที่ 14/2490 วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2490 ถึง วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม 2490 มีร่างพระราชบัญญัติที่เสนอต่อพฤฒสภา รวมทั้งสิ้น  27 ฉบับ อาทิ (1) ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนให้ใช้ไปพลางก่อน พ.ศ. 2490 (2)  ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ. 2490 (3) ร่างพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 (4) ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสินค้าบางอย่าง พ.ศ. 2490 (5) ร่างพระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2490 เป็นต้น  
   
   
อนึ่ง กรณีการเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แม้รัฐธรรมนูญจะมิให้อำนาจแก่สมาชิกพฤฒสภาที่จะนำเสนอ แต่ก็ให้อำนาจสมาชิกพฤฒสภาในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา
อนึ่ง กรณี[[การเสนอญัตติ]]ขอ[[แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ]] แม้รัฐธรรมนูญจะมิให้อำนาจแก่สมาชิกพฤฒสภาที่จะนำเสนอ แต่ก็ให้อำนาจสมาชิกพฤฒสภาในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนในการประชุมร่วมกันของ[[รัฐสภา]]


==การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน==
==การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน==


แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะไม่มีบทบัญญัติให้สมาชิกพฤฒสภามีสิทธิเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลหรือทั้งคณะ แต่ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเฉพาะกรณีที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้รัฐสภาไว้ใจในการดำเนินนโยบายการบริหารราชการ สมาชิกพฤฒสภามีสิทธิที่จะไม่ให้ความไว้ใจร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทน อันจะมีผลให้รัฐมนตรีทั้งคณะต้องออกจากตำแหน่ง นอกจากการลงมติไม่ไว้วางใจดังกล่าว สมาชิกพฤฒสภายังมีสิทธิที่จะตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีเกี่ยวกับการงานในหน้าที่ในที่ประชุมของพฤฒสภา และพฤฒสภายังมีอำนาจเลือกสมาชิกพฤฒสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญและวิสามัญ เพื่อกระทำกิจการหรือพิจารณาสอบสวนฝ่ายบริหาร  
แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะไม่มีบทบัญญัติให้สมาชิกพฤฒสภามีสิทธิ[[เสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป]] เพื่อ[[ลงมติ]]ไม่ไว้วางใจ[[รัฐมนตรี]]รายบุคคลหรือทั้งคณะ แต่ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเฉพาะกรณีที่[[คณะรัฐมนตรี]]แถลงนโยบาย[[การบริหารราชการแผ่นดิน]] เพื่อให้รัฐสภาไว้ใจในการดำเนินนโยบายการบริหารราชการ สมาชิกพฤฒสภามีสิทธิที่จะไม่ให้ความไว้ใจร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทน อันจะมีผลให้รัฐมนตรีทั้งคณะต้องออกจากตำแหน่ง นอกจากการลงมติไม่ไว้วางใจดังกล่าว สมาชิกพฤฒสภายังมีสิทธิที่จะตั้ง[[กระทู้ถาม]]รัฐมนตรีเกี่ยวกับการงานในหน้าที่ในที่ประชุมของพฤฒสภา และพฤฒสภายังมีอำนาจเลือกสมาชิกพฤฒสภาตั้งเป็น[[คณะกรรมาธิการสามัญ]]และวิสามัญ เพื่อกระทำกิจการหรือพิจารณาสอบสวนฝ่ายบริหาร  
   
   
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ได้กำหนด ให้รัฐสภามีสองสภาคือ สภาผู้แทนกับพฤฒสภา แม้ว่าในรัฐธรรมนูญฉบับต่อ ๆ มาจะเปลี่ยนชื่อพฤฒสภาเป็นวุฒิสภา แต่ก็ยังคงหลักการสำคัญของระบบรัฐสภาในรูปแบบของการมีสองสภาไว้ และนับได้ว่าการมีพฤฒสภาคู่กับสภาผู้แทนเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาองค์กรนิติบัญญัติในรูปแบบของสภาคู่ของประเทศไทย วุฒิสภาที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระตามสภาพสังคมและการเมืองในแต่ละยุคสมัย โดยเฉพาะเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเรื่องที่มา คุณสมบัติและอำนาจหน้าที่ แม้ในปัจจุบันก็ยังเป็นข้อสนทนาถกเถียงกันในทางวิชาการไม่จบสิ้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ได้กำหนด ให้รัฐสภามีสองสภาคือ สภาผู้แทนกับพฤฒสภา แม้ว่าในรัฐธรรมนูญฉบับต่อ ๆ มาจะเปลี่ยนชื่อพฤฒสภาเป็นวุฒิสภา แต่ก็ยังคงหลักการสำคัญของระบบรัฐสภาในรูปแบบของการมีสองสภาไว้ และนับได้ว่าการมีพฤฒสภาคู่กับสภาผู้แทนเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาองค์กรนิติบัญญัติในรูปแบบของ[[สภาคู่]]ของประเทศไทย วุฒิสภาที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระตามสภาพสังคมและการเมืองในแต่ละยุคสมัย โดยเฉพาะเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเรื่องที่มา คุณสมบัติและอำนาจหน้าที่ แม้ในปัจจุบันก็ยังเป็นข้อสนทนาถกเถียงกันในทางวิชาการไม่จบสิ้น


==หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ==
==หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:14, 6 ตุลาคม 2557

ผู้เรียบเรียง : มานะ ทองไพบูรณ์

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง


ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ในห้วงเวลาเริ่มต้นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ รัฐธรรมนูญสองฉบับแรกกำหนดรูปแบบระบบรัฐสภาให้มีสภาเดียวคือ สภาผู้แทนราษฎร จนกระทั่งได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่สาม คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2489 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ได้กำหนดรูปแบบระบบรัฐสภาให้มีสองสภาคือ สภาผู้แทนกับพฤฒสภา (ในรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “สภาผู้แทน” ไม่มีคำว่า “ราษฎร”) หลังจากที่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้เพียงไม่กี่วัน ก็ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในวันที่ 24 พฤษภาคม 2489

เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มีห้วงเวลาแห่งการบังคับใช้ที่สั้นมาก เพียง 1 ปี 5 เดือน 29 วัน (10 พฤษภาคม 2489 – 8 พฤศจิกายน 2490) ก็ต้องถูกยกเลิกโดยคณะรัฐประหารเป็นผลให้สมาชิกพฤฒสภาต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพโดยปริยาย สมาชิกพฤฒสภาจึงดำรงตำแหน่งเพียง 1 ปี 5 เดือน 16 วัน (24 พฤษภาคม 2489 – 8 พฤศจิกายน 2490) ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 จึงได้เปลี่ยนชื่อ “พฤฒสภา” เป็น “วุฒิสภา” และรัฐธรรมนูญฉบับต่อ ๆ มาจนถึงฉบับปัจจุบันก็ไม่ปรากฏคำว่า “พฤฒสภา” อีกเลย

ที่มาของสมาชิกพฤฒสภา

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 กำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วยพฤฒสภาและสภาผู้แทน พฤฒสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 80 คน ซึ่งราษฎรเป็นผู้เลือกตั้ง แต่เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีพฤฒสภา ซึ่งเปรียบเสมือนสภาสูง จึงต้องให้สมาชิกพฤฒสภามีคุณสมบัติที่แสดงถึงความอาวุโสสูงกว่าสมาชิกสภาผู้แทน คือ จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีบริบูรณ์ นอกจากนี้ยังต้องมีวิทยฐานะ ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่ามาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าปี หรือเคยดำรงตำแหน่งทางราชการมาแล้วไม่ต่ำกว่าหัวหน้ากองหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทน หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว ส่วนวาระในการดำรงตำแหน่งนั้นรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีวาระ 6 ปี และในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนด 3 ปี ให้สมาชิกพ้นจากตำแหน่งกึ่งหนึ่งโดยวิธีการจับฉลาก แต่ผู้ที่พ้นจากตำแหน่งมีสิทธิได้รับเลือกตั้งทางอ้อมกลับเข้ามาอีก

อย่างไรก็ตาม แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดอายุของสมาชิกพฤฒสภาไว้สูงถึง 40 ปีบริบูรณ์ แต่ในวาระเริ่มแรกของการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญได้มีข้อยกเว้นโดยลดอายุของผู้สมัครรับเลือกตั้งเหลือ 35 ปี แต่ยังคงคุณสมบัติด้านอื่นดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว สำหรับวิธีการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภานั้น องค์การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาซึ่งประกอบด้วย ผู้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในวันสุดท้ายก่อนใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 เป็นผู้กำหนดวิธีการเลือกตั้งขึ้น และการเลือกตั้งตามบทเฉพาะกาลในวาระเริ่มแรกดังกล่าวเป็นการเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยสมาชิกสภาผู้แทนซึ่งได้มีขึ้น ณ สำนักงานเลขาธิการองค์การเลือกตั้ง พระที่นั่งอนันตสมาคม ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2489 เวลา 09.00 นาฬิกาถึงเวลา 16.00 นาฬิกา ที่ดำเนินการจัดการเลือกตั้งโดยเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยดำเนินการทุกขั้นตอนเสมือนเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย และได้สมาชิกพฤฒสภาครบถ้วน จำนวน 80 คนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ต่อมาในวันที่ 1 มิถุนายน 2489 ได้มีการประชุมสมาชิกพฤฒสภาครั้งแรก ณ พระที่นั่งอภิเษกดุสิต โดยที่ประชุมได้มีมติในวันที่ 4 มิถุนายน 2489 เลือกนายวิลาศ โอสถานนท์ เป็นประธานพฤฒสภา และนายไต๋ ปาณิกบุตร เป็นรองประธานพฤฒสภา ต่อมานายวิลาศ โอสถานนท์ ลาออกจากตำแหน่ง เพราะได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ประชุมพฤฒสภาจึงได้มีมติเลือกพลเรือตรี กระแส ประวาหะนาวิน ศรยุทธเสนีเป็นประธานพฤฒสภา ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2490 องค์ประกอบขององค์กรพฤฒสภา ซึ่งมีสมาชิกพฤฒสภาเป็นผู้ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจึงมีความสมบูรณ์ตั้งแต่มีการเลือกประธานและรองประธานเป็นต้นไป

บทบาทและอำนาจหน้าที่ของสมาชิกพฤฒสภาตามรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ได้กำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ของสมาชิกพฤฒสภา ไว้หลายกรณี เช่น

การเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย

รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นผู้แทนของประชาชน โดยรัฐธรรมนูญกำหนดว่า สมาชิกสภาผู้แทนและสมาชิกพฤฒสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย

การร้องขอให้มีการประชุมวิสามัญ

นอกจากรัฐธรรมนูญจะกำหนดให้พฤฒสภามีสมัยประชุมสามัญประจำปีแล้ว สมาชิกพฤฒสภายังมีสิทธิที่จะเข้าชื่อจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งสองสภา โดยสมาชิกพฤฒสภาอาจเข้าชื่อกันเองหรือเข้าชื่อร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนก็ได้ เพื่อร้องขอให้มีการประชุมวิสามัญ

การตราข้อบังคับการประชุม

พฤฒสภามีอำนาจในการตราข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาของพฤฒสภาในการดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งข้อบังคับการประชุมของพฤฒสภานี้นอกจากจะเป็นกรอบการดำเนินงานของสมาชิกพฤฒสภาแล้ว ยังเป็นกรอบการดำเนินงานในการประชุมร่วมกันของสมาชิกรัฐสภาด้วย และในการประชุมร่วมกันของสมาชิกรัฐสภานี้รัฐธรรมนูญกำหนดให้ประธานพฤฒสภาเป็นประธานของที่ประชุม

การกลั่นกรองกฎหมาย

แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญจะมิได้ให้อำนาจแก่สมาชิกพฤฒสภาในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ แต่ก็มีอำนาจในการพิจารณากลั่นกรองร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนแล้ว โดยพฤฒสภาอาจลงมติ ไม่เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติหรือให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติ และส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นกลับคืนมาให้สภาผู้แทนพิจารณาใหม่ และถ้าสภาผู้แทนเห็นชอบตามที่พฤฒสภาได้ลงมติไม่เห็นชอบ ก็ให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นตกไป ส่วนในกรณีที่สภาผู้แทนเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติของพฤฒสภา ก็ให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยต่อไป ร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกพฤฒสภาได้พิจารณากลั่นกรองตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญก่อนที่รัฐธรรมนูญจะถูกยกเลิก เช่น

ในการประชุมพฤฒสภา สมัยวิสามัญ ชุดที่ 1 ครั้งที่ 1/2489 ถึงครั้งที่ 19/2489 วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2489 ถึง วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2489 มีร่างพระราชบัญญัติที่เสนอต่อพฤฒสภา รวมทั้งสิ้น 38 ฉบับ อาทิ (1) ร่างพระราชบัญญัติจัดสรรทุนสำรองเงินตราเพื่อบูรณะประเทศ พ.ศ. 2489 (2) ร่างพระราชบัญญัติกู้เงินเพื่อการบูรณะประเทศ พ.ศ. 2489 (3) ร่างพระราชบัญญัติการค้าข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2489 (4) ร่างพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489 (5) ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกเงินช่วยชาติในภาวะคับขันและภาษีอากรบางประเภท พ.ศ. 2489 เป็นต้น

และในการประชุมพฤฒสภา สมัยสามัญ ชุดที่ 1 ครั้งที่ 1/2490 ถึงครั้งที่ 14/2490 วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2490 ถึง วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม 2490 มีร่างพระราชบัญญัติที่เสนอต่อพฤฒสภา รวมทั้งสิ้น 27 ฉบับ อาทิ (1) ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนให้ใช้ไปพลางก่อน พ.ศ. 2490 (2) ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ. 2490 (3) ร่างพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 (4) ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสินค้าบางอย่าง พ.ศ. 2490 (5) ร่างพระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2490 เป็นต้น

อนึ่ง กรณีการเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แม้รัฐธรรมนูญจะมิให้อำนาจแก่สมาชิกพฤฒสภาที่จะนำเสนอ แต่ก็ให้อำนาจสมาชิกพฤฒสภาในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา

การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน

แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะไม่มีบทบัญญัติให้สมาชิกพฤฒสภามีสิทธิเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลหรือทั้งคณะ แต่ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเฉพาะกรณีที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้รัฐสภาไว้ใจในการดำเนินนโยบายการบริหารราชการ สมาชิกพฤฒสภามีสิทธิที่จะไม่ให้ความไว้ใจร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทน อันจะมีผลให้รัฐมนตรีทั้งคณะต้องออกจากตำแหน่ง นอกจากการลงมติไม่ไว้วางใจดังกล่าว สมาชิกพฤฒสภายังมีสิทธิที่จะตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีเกี่ยวกับการงานในหน้าที่ในที่ประชุมของพฤฒสภา และพฤฒสภายังมีอำนาจเลือกสมาชิกพฤฒสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญและวิสามัญ เพื่อกระทำกิจการหรือพิจารณาสอบสวนฝ่ายบริหาร

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ได้กำหนด ให้รัฐสภามีสองสภาคือ สภาผู้แทนกับพฤฒสภา แม้ว่าในรัฐธรรมนูญฉบับต่อ ๆ มาจะเปลี่ยนชื่อพฤฒสภาเป็นวุฒิสภา แต่ก็ยังคงหลักการสำคัญของระบบรัฐสภาในรูปแบบของการมีสองสภาไว้ และนับได้ว่าการมีพฤฒสภาคู่กับสภาผู้แทนเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาองค์กรนิติบัญญัติในรูปแบบของสภาคู่ของประเทศไทย วุฒิสภาที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระตามสภาพสังคมและการเมืองในแต่ละยุคสมัย โดยเฉพาะเนื้อหาสาระเกี่ยวกับเรื่องที่มา คุณสมบัติและอำนาจหน้าที่ แม้ในปัจจุบันก็ยังเป็นข้อสนทนาถกเถียงกันในทางวิชาการไม่จบสิ้น

หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

1. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. การรัฐประหารในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ 2550.

2. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ประวัติการเลือกตั้ง สมาชิกรัฐสภาไทย. กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ 2548.

บรรณานุกรม

1. ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์. รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (พ.ศ. 2475 – 2517), กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง, 2517.

2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489. ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 63 ตอนที่ 30 วันที่ 10 พฤษภาคม 2489.