ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การเรียกร้องดินแดนจากอินโดจีนฝรั่งเศส"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 9: | บรรทัดที่ 9: | ||
== การเรียกร้องดินแดนจากอินโดจีนฝรั่งเศส == | == การเรียกร้องดินแดนจากอินโดจีนฝรั่งเศส == | ||
วันที่ 16 ธันวาคม 2481 | วันที่ 16 ธันวาคม 2481 [[นายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม]]ขึ้นสู่อำนาจในฐานะ[[นายกรัฐมนตรี]] นโยบายที่สำคัญประการหนึ่งของหลวงพิบูลสงครามคือการเรียกร้องดินแดนที่เสียไปเพื่อสร้างไทยให้เป็นมหาประเทศ<ref>หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส แสดงแก่ครูอาจารย์และนักเรียนกรมยุทธศึกษาทหารบก วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2483 (พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2483), หน้า 40-41. และดู Eiji Murashima, “Opposing French colonialism: Thailand and the independence movements in Indo–China in the early 1940s,” South East Asia Research 13, 3 (2005): 335. และ E. Bruce Reynolds, “Phibun Songkram and Thai Nationalism in the Fascist Era,” EJEAS 3.1 (2004): 99-134.</ref> ทั้งนี้มี[[หลวงวิจิตรวาทการ]]เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญในการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว | ||
ดินแดนที่เสียไปนั้นหมายถึงดินแดนซึ่งเสียให้แก่ฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง หลวงวิจิตรวาทการนั้นเปรียบน้ำที่ไหลอยู่ในแม่น้ำโขงว่า “คือน้ำตาของเราชาวไทย พวกเราในฝั่งนี้เป็นอิสสระเสรี แต่พี่น้องเราทางฝั่งโน้นถูกกดขี่ข่มเหงอยู่ทุกวัน”<ref>หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 27. </ref> “พี่น้องเราทางฝั่งโน้น” ของหลวงวิจิตรวาทการไม่ใช่เฉพาะแต่ชาวลาว แต่หมายรวมถึงชาวเขมรด้วย การอธิบายว่าชาวลาวเป็นชาวไทยนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากแต่จะยุ่งยากมากกว่าในกรณีชาวเขมร | ดินแดนที่เสียไปนั้นหมายถึงดินแดนซึ่งเสียให้แก่ฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง หลวงวิจิตรวาทการนั้นเปรียบน้ำที่ไหลอยู่ในแม่น้ำโขงว่า “คือน้ำตาของเราชาวไทย พวกเราในฝั่งนี้เป็นอิสสระเสรี แต่พี่น้องเราทางฝั่งโน้นถูกกดขี่ข่มเหงอยู่ทุกวัน”<ref>หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 27. </ref> “พี่น้องเราทางฝั่งโน้น” ของหลวงวิจิตรวาทการไม่ใช่เฉพาะแต่ชาวลาว แต่หมายรวมถึงชาวเขมรด้วย การอธิบายว่าชาวลาวเป็นชาวไทยนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากแต่จะยุ่งยากมากกว่าในกรณีชาวเขมร | ||
คำอธิบายอย่างชัดเจนว่าชาวเขมรเป็นญาติร่วมสายโลหิตกับชาวไทยในประเทศไทยของหลวงวิจิตรวาทการเห็นได้อย่างช้าที่สุดตั้งแต่ พ.ศ. 2479 ในบทละครประวัติศาสตร์เรื่อง ราชมนู ในบทละครเรื่องนั้นหลวงวิจิตรวาทการให้พระราชมนู, ทหารเอกพระนเรศวร, กล่าวว่า “เขมรกับไทยก็รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน.....ก็ใครที่ไหนกันเล่า ก็ไทยเราทั้งนั้น เผอิญมาตกอยู่ในถิ่นของขอมโบราณ ก็เลยมีชื่อว่า “เขมร” ไป ซึ่งเขมรเป็นชื่อสมมติแท้ๆ ที่จริงก็ไทยพี่น้องของเราทั้งนั้น”<ref>หลวงวิจิตรวาทการ, “ราชมนู,” เลือดสุพรรณ ราชมนู พระเจ้ากรุงธน ศึกถลาง, อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ คุณหญิงจัน เทพประชุน ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส, 17 ตุลาคม 2480 (พระนคร: ม.ป.ท., 2480), หน้า 71. อ้างถึงใน ประอรรัตน์ บูรณมาตร์, หลวงวิจิตรวาทการกับบทละครประวัติศาสตร์ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, 2528), หน้า 88. </ref> “ขอม” ของหลวงวิจิตรวาทการจึงหมายถึง “เขมรแท้” ซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศกัมพูชาก่อนหน้าที่คนไทยจะเข้ามาในแหลมทอง ส่วนคำว่า “เขมร” นั้นเป็น “ชื่อสมมติ” ที่ใช้เรียกคนไทยที่เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนของพวกขอม<ref>“Bot lakhon rueang rachamanu” [Rachamanu: A Play], in Wichit wannakhadi [The literary works of Luang Wichit Wathakarn] (Cremation volume for Lady Prapaphan Wichitwathakan) (Bangkok: 1993), pp. 26-27. Cited in Søren Ivarsson, Creating Laos: The Making of a Lao Space between Indochina and Siam, 1860-1945 (Malaysia: Nordic Institute of Asian Studies Press, 2008), p. 79. </ref> และเมื่อหลวงวิจิตรวาทการแต่งบทละครประวัติศาสตร์เรื่อง พ่อขุนผาเมือง ขึ้นใน พ.ศ. 2483 ก็ให้นางสิขร, เจ้าหญิงเขมรซึ่งเป็นมเหสีของพ่อขุนผาเมือง, กล่าวว่า | |||
{{Cquote| | {{Cquote| | ||
บรรทัดที่ 41: | บรรทัดที่ 41: | ||
เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสยื่นความประสงค์จะขอทำกติกาสัญญาไม่รุกรานมายังรัฐบาลไทยในเดือนสิงหาคม 2482 เพื่อเป็นการรับประกันว่าอินโดจีนฝรั่งเศสจะไม่ถูกรุกรานในช่วงเวลาที่ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในยุโรปและการเรียกร้องดินแดนของไทยในอินโดจีน รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามใช้โอกาสดังกล่าวในการขอเจรจาเพื่อปรับปรุงเส้นเขตแดน โดยเสนอให้ใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส | เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสยื่นความประสงค์จะขอทำกติกาสัญญาไม่รุกรานมายังรัฐบาลไทยในเดือนสิงหาคม 2482 เพื่อเป็นการรับประกันว่าอินโดจีนฝรั่งเศสจะไม่ถูกรุกรานในช่วงเวลาที่ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในยุโรปและการเรียกร้องดินแดนของไทยในอินโดจีน รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามใช้โอกาสดังกล่าวในการขอเจรจาเพื่อปรับปรุงเส้นเขตแดน โดยเสนอให้ใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส | ||
หลังจากการเจรจาผ่านไปหลายเดือน นายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ก็ร่วมลงนามในกติกาสัญญาไม่รุกรานกันกับนายปอล เลปิสสิเอร์ (Paul Lepissier) อัครราชทูตฝรั่งเศส ณ กรุงเทพฯ ในวันที่ 12 มิถุนายน 2483 ซึ่งในกติกาสัญญาดังกล่าวมีหนังสือแลกเปลี่ยนแนบท้ายซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเขตแดนอยู่ด้วย<ref>ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, พิมพ์ครั้งที่ 4 (นนทบุรี: ศรีปัญญา, 2549), หน้า 106.</ref> หลังจากที่รัฐบาลฝรั่งเศสยอมแพ้ต่อกองทัพเยอรมนีในเดือนมิถุนายน 2483 | หลังจากการเจรจาผ่านไปหลายเดือน นายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ก็ร่วมลงนามในกติกาสัญญาไม่รุกรานกันกับนายปอล เลปิสสิเอร์ (Paul Lepissier) อัครราชทูตฝรั่งเศส ณ กรุงเทพฯ ในวันที่ 12 มิถุนายน 2483 ซึ่งในกติกาสัญญาดังกล่าวมีหนังสือแลกเปลี่ยนแนบท้ายซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเขตแดนอยู่ด้วย<ref>ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, พิมพ์ครั้งที่ 4 (นนทบุรี: ศรีปัญญา, 2549), หน้า 106.</ref> หลังจากที่รัฐบาลฝรั่งเศสยอมแพ้ต่อกองทัพเยอรมนีในเดือนมิถุนายน 2483 รัฐบาลไทยก็เร่งให้รัฐบาลวิธีซึ่งเป็นรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศสส่งผู้แทนมาเจรจาเรื่องการปรับปรุงเขตแดน คำตอบของรัฐบาลวิชีคือขอให้กติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างไทยกับฝรั่งเศสมีผลใช้บังคับโดยไม่ต้องให้สัตยาบัน<ref>ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 79. และ กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2527), หน้า 15.</ref> | ||
11 กันยายน 2483 รัฐบาลไทยตอบข้อเสนอของรัฐบาลฝรั่งเศสที่ขอให้กติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างไทยกับฝรั่งเศสมีผลใช้บังคับโดยไม่ต้องให้สัตยาบันว่า รัฐบาลไทยพร้อมจะทำตามความประสงค์ของรัฐบาลฝรั่งเศส ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่า | 11 กันยายน 2483 รัฐบาลไทยตอบข้อเสนอของรัฐบาลฝรั่งเศสที่ขอให้กติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างไทยกับฝรั่งเศสมีผลใช้บังคับโดยไม่ต้องให้สัตยาบันว่า รัฐบาลไทยพร้อมจะทำตามความประสงค์ของรัฐบาลฝรั่งเศส ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่า | ||
บรรทัดที่ 63: | บรรทัดที่ 63: | ||
:::''เพราะว่าถ้าเราได้ดินแดนที่เสียไปนั้นคืนมาทั้งหมด นอกจากเราจะได้เนื้อที่เพิ่มขึ้นกว่าที่มีอยู่ในเวลานี้อีกเท่าตัว และได้จำนวนพลเมืองเพิ่มขึ้นอีกราว 4 ล้านคนแล้ว จะมีผลสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เราจะสามารถมีดินแดนจดเข้าไปถึงถิ่นไทยอันกว้างขวาง ซึ่งตั้งอยู่เหนือสิบสองจุไทย ที่นั่นมีเลือดเนื้อเชื้อไทยเราอยู่ 24 ล้านคน ซึ่งยังถือตนเป็นไทย พูดภาษาไทย มีชีวิตจิตต์ใจเป็นไทย เราสามารถจะเปิดประตูรับพี่น้อง 24 ล้านคนของเราเข้ามาหาเรา ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเราจะไปรุกรานดินแดนเหล่านั้น เราไม่ต้องการรุกรานใคร ที่ดินของเรามีถมไป เราต้องการแต่จะให้พี่น้องไทยของเราเข้ามาอยู่ร่วมรับความผาสุกด้วยกัน และเรื่องนี้ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่าเราทำสำเร็จ และไม่ช้าเราจะเป็นประเทศที่มีดินแดนราว 900,000 ตารางกิโลเมตร์ และมีพลเมืองไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน เราเป็นมหาประเทศ''<ref>หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 40-41. การเน้นเป็นของผู้เขียน.</ref> | :::''เพราะว่าถ้าเราได้ดินแดนที่เสียไปนั้นคืนมาทั้งหมด นอกจากเราจะได้เนื้อที่เพิ่มขึ้นกว่าที่มีอยู่ในเวลานี้อีกเท่าตัว และได้จำนวนพลเมืองเพิ่มขึ้นอีกราว 4 ล้านคนแล้ว จะมีผลสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เราจะสามารถมีดินแดนจดเข้าไปถึงถิ่นไทยอันกว้างขวาง ซึ่งตั้งอยู่เหนือสิบสองจุไทย ที่นั่นมีเลือดเนื้อเชื้อไทยเราอยู่ 24 ล้านคน ซึ่งยังถือตนเป็นไทย พูดภาษาไทย มีชีวิตจิตต์ใจเป็นไทย เราสามารถจะเปิดประตูรับพี่น้อง 24 ล้านคนของเราเข้ามาหาเรา ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเราจะไปรุกรานดินแดนเหล่านั้น เราไม่ต้องการรุกรานใคร ที่ดินของเรามีถมไป เราต้องการแต่จะให้พี่น้องไทยของเราเข้ามาอยู่ร่วมรับความผาสุกด้วยกัน และเรื่องนี้ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่าเราทำสำเร็จ และไม่ช้าเราจะเป็นประเทศที่มีดินแดนราว 900,000 ตารางกิโลเมตร์ และมีพลเมืองไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน เราเป็นมหาประเทศ''<ref>หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 40-41. การเน้นเป็นของผู้เขียน.</ref> | ||
นอกจากความพยายามระดมมติมหาชนในประเทศแล้ว รัฐบาลไทยยังพยายามขยายแนวร่วมออกไปนอกประเทศด้วยการชักชวนและเกลี้ยกล่อมให้ประชาชนในอินโดจีนฝรั่งเศสอพยพเข้ามาในประเทศไทย โดยในวันที่ 5 กันยายน 2483 | นอกจากความพยายามระดมมติมหาชนในประเทศแล้ว รัฐบาลไทยยังพยายามขยายแนวร่วมออกไปนอกประเทศด้วยการชักชวนและเกลี้ยกล่อมให้ประชาชนในอินโดจีนฝรั่งเศสอพยพเข้ามาในประเทศไทย โดยในวันที่ 5 กันยายน 2483 [[กระทรวงมหาดไทย]]ได้ออกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมและการปฏิบัติตามระเบียบการเข้าเมืองแก่ผู้ที่พำนักอาศัยอยู่ในสิบสองจุไท หัวพัน หลวงพระบาง เวียงจัน สะหวันนะเขต จำปาสัก และกัมพูชา<ref>Sathian Lailak, compiled 1941, Prachum Kotmai Prachamsok, Vol 53, Bangkok, pp.374–375. Cited in Eiji Murashima, “Opposing French colonialism,”: fn.7, p. 339. ดินแดนทั้งหมดที่กล่าวถึงในกฎกระทรวง ยกเว้น เวียงจันและสะหวันนะเขด เป็นดินแดนที่ไทยเสียให้แก่ฝรั่งเศส </ref> กับทั้งความให้ช่วยเหลือแก่ผู้อพยพเหล่านั้น<ref>ดู Khao Khosanakan, 1940, p.1669. Cited in Eiji Murashima, “Opposing French colonialism,”: 343.</ref> และในวันที่ 20 ธันวาคม 2483 ก็มีคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 44/2483 ออกมาว่า | ||
:::''ดินแดนอันได้ชื่อว่าแคว้นสิบสองจุไทย หัวพันทั้งห้าทั้งหก แคว้นหลวงพระบาง เวียงจันทน์ ท่าแขก สุวรรณเขตต์ จำปาศักดิ์ และกัมพูชา เป็นราชอาณาจักรของไทยมาแต่เดิม โดยได้รวมเป็นอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกับประเทศไทย และอยู่ภายใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์ไทยมาช้านานนับร้อยๆ ปี.....มีเลือดเนื้อเป็นชนชาติไทยและมีจิตใจรักอิสรเสรีอย่างพี่น้องของเขาในประเทศไทย.....กระทรวงมหาดไทยจึงถือว่า.....เป็นบุคคลเชื้อชาติไทยและสัญชาติไทยโดยบริบูรณ์ ''<ref>เออิชิ มูราชิมา, “การเปรียบเทียบข้อมูลไทย-ญี่ปุ่น: กรณีการส่งทหารไทยเข้ารัฐฉาน (สหรัฐไทยใหญ่) ใน พ.ศ.2485,” วารสารธรรมศาสตร์ 25, 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2542): 92. อ้างถึงใน สายชล สัตยานุรักษ์, ความเปลี่ยนแปลงในการสร้างชาติไทยและความเป็นไทยโดยหลวงวิจิตรวาทการ, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2545), หน้า 134-135. </ref> | :::''ดินแดนอันได้ชื่อว่าแคว้นสิบสองจุไทย หัวพันทั้งห้าทั้งหก แคว้นหลวงพระบาง เวียงจันทน์ ท่าแขก สุวรรณเขตต์ จำปาศักดิ์ และกัมพูชา เป็นราชอาณาจักรของไทยมาแต่เดิม โดยได้รวมเป็นอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกับประเทศไทย และอยู่ภายใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์ไทยมาช้านานนับร้อยๆ ปี.....มีเลือดเนื้อเป็นชนชาติไทยและมีจิตใจรักอิสรเสรีอย่างพี่น้องของเขาในประเทศไทย.....กระทรวงมหาดไทยจึงถือว่า.....เป็นบุคคลเชื้อชาติไทยและสัญชาติไทยโดยบริบูรณ์ ''<ref>เออิชิ มูราชิมา, “การเปรียบเทียบข้อมูลไทย-ญี่ปุ่น: กรณีการส่งทหารไทยเข้ารัฐฉาน (สหรัฐไทยใหญ่) ใน พ.ศ.2485,” วารสารธรรมศาสตร์ 25, 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2542): 92. อ้างถึงใน สายชล สัตยานุรักษ์, ความเปลี่ยนแปลงในการสร้างชาติไทยและความเป็นไทยโดยหลวงวิจิตรวาทการ, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2545), หน้า 134-135. </ref> | ||
รัฐบาลไทยยังได้เปิดการกระจายเสียงวิทยุภาคภาษาเขมรและเวียดนามในเดือนพฤศจิกายน 2483 เพื่อออกอากาศเชิญชวนประชาชนในอินโดจีนฝรั่งเศสไม่ว่าจะเป็นชาวลาว เขมร และเวียดนามให้อพยพเข้ามาในประเทศไทย ไม่เช่นนั้นก็ให้ต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศสในอินโดจีน<ref>Eiji Murashima, “Opposing French colonialism,”: 338–339.</ref> | รัฐบาลไทยยังได้เปิดการกระจายเสียงวิทยุภาคภาษาเขมรและเวียดนามในเดือนพฤศจิกายน 2483 เพื่อออกอากาศเชิญชวนประชาชนในอินโดจีนฝรั่งเศสไม่ว่าจะเป็นชาวลาว เขมร และเวียดนามให้อพยพเข้ามาในประเทศไทย ไม่เช่นนั้นก็ให้ต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศสในอินโดจีน<ref>Eiji Murashima, “Opposing French colonialism,”: 338–339.</ref> [[รัฐบาล]]ยังเรียกร้องให้ประชาชนชาวไทยร่วมมือกันช่วยเหลือ “พี่น้องของเราฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและกรุงกัมพูชา”<ref>คำว่า “พี่น้องของเราฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและกรุงกัมพูชา” เป็นของหลวงวิจิตรวาทการ (ประอรรัตน์ บูรณมาตร์, หลวงวิจิตรวาทการกับบทละครประวัติศาสตร์ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2528), หน้า 40.)</ref> โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยแล้ว | ||
ตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2483 ก็เกิดการปะทะกันตามแนวชายแดนไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส กระทั่งในวันที่ 5 มกราคม 2484 กองทัพไทยก็ยกข้ามเส้นเขตแดนไทย–อินโดจีนฝรั่งเศสเข้าไปในกัมพูชาและลาว<ref>Eiji Murashima, “Opposing French Colonialism,”: 337.</ref> และรัฐบาลไทยก็ประกาศสงครามกับอินโดจีนฝรั่งเศสในวันที่ 7 มกราคม <ref>กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, หน้า 21.</ref> | ตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2483 ก็เกิดการปะทะกันตามแนวชายแดนไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส กระทั่งในวันที่ 5 มกราคม 2484 กองทัพไทยก็ยกข้ามเส้นเขตแดนไทย–อินโดจีนฝรั่งเศสเข้าไปในกัมพูชาและลาว<ref>Eiji Murashima, “Opposing French Colonialism,”: 337.</ref> และรัฐบาลไทยก็ประกาศสงครามกับอินโดจีนฝรั่งเศสในวันที่ 7 มกราคม <ref>กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, หน้า 21.</ref> | ||
ญี่ปุ่นเข้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและมีการหยุดยิงในวันที่ 28 มกราคม 2484 ในเวลานั้น | ญี่ปุ่นเข้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและมีการหยุดยิงในวันที่ 28 มกราคม 2484 ในเวลานั้น “[[กองทัพอีสาน]] กองพลอุบลยึดได้แคว้นนครจำปาศักดิ์ กองพลสุรินทร์ยึดได้สำโรง จงกัล ทางจังหวัดเสียมราฐ [[กองทัพบูรพา]] ยึดได้พื้นที่ตะวันตกศรีโสภณ ห่างจากศรีโสภณ 17 กิโลเมตร กองพลจันทบุรียึดได้บ้านกุมเรียงและบ้านห้วยเขมร ทิศตะวันตกบ่อไพลิน”<ref>ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 120.</ref> แต่กำลังเพลี่ยงพล้ำในแนวรบทางทะเลหลังจากที่เรือหลวงธนบุรีและเรือตอร์ปิโดของไทยเสียหายอย่างหนักในการรบที่รู้จักกันต่อมาในชื่อว่า ยุทธนาวีที่เกาะช้าง ซึ่งเกิดขึ้นในในวันที่ 17 มกราคม 2484<ref>ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทย, หน้า 224. </ref> | ||
การเจรจาสันติภาพระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เริ่มขึ้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2484<ref>กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, หน้า 22.</ref> และพอถึงวันที่ 11 มีนาคม 2484 ผู้แทนของไทยกับฝรั่งเศสก็ลงนามย่อในแผนการไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น สาระสำคัญของแผนดังกล่าวคือไทยได้ดินแดนคืนจากฝรั่งเศสดังนี้ | การเจรจาสันติภาพระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เริ่มขึ้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2484<ref>กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, หน้า 22.</ref> และพอถึงวันที่ 11 มีนาคม 2484 ผู้แทนของไทยกับฝรั่งเศสก็ลงนามย่อในแผนการไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น สาระสำคัญของแผนดังกล่าวคือไทยได้ดินแดนคืนจากฝรั่งเศสดังนี้ | ||
1. | 1. ดินแดนซึ่งได้เสียไปโดยสนธิสัญญาปีพุทธศักราช 2446 ได้คืนมาทั้งหมด กล่าวคือดินแดนหลวงพระบางฝั่งขวาและดินแดนจำปาศักดิ์ตรงข้ามกับปากเซ กับทั้งดินแดนกัมพูชาที่ได้เสียไปโดยสนธิสัญญานั้นด้วย | ||
2. มณฑลบูรพาซึ่งได้เสียไปโดยสนธิสัญญาปีพุทธศักราช 2449 นั้น ได้คืนจังหวัด ศรีโสภณและพระตะบอง จดฝั่งทะเลสาบ แต่เสียมราฐและนครวัดนั้นยังคงเป็นของฝรั่งเศสอยู่ | 2. มณฑลบูรพาซึ่งได้เสียไปโดยสนธิสัญญาปีพุทธศักราช 2449 นั้น ได้คืนจังหวัด ศรีโสภณและพระตะบอง จดฝั่งทะเลสาบ แต่เสียมราฐและนครวัดนั้นยังคงเป็นของฝรั่งเศสอยู่ | ||
3. | 3. ได้มาซึ่งดินแดนในกัมพูชา หรือเส้นขีดโค้งวงจากเวิ้งนครวัดลงไปถึงแม่น้ำโขงตอนใต้สตึงเตรง และ | ||
4. | 4. ถือร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดนในลำแม่น้ำโขง เกาะคอนซึ่งอยู่ทางขวาของร่องน้ำลึกได้มาเป็นของไทยทั้งหมด<ref>ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 114.</ref> | ||
การได้ดินแดนนำความชื่นชมโสมนัสมาสู่ชาวไทย และนายพลตรีหลวงพิบูลสงครามกลายมาขวัญใจชาวไทยทั้งผอง | การได้ดินแดนนำความชื่นชมโสมนัสมาสู่ชาวไทย และนายพลตรีหลวงพิบูลสงครามกลายมาขวัญใจชาวไทยทั้งผอง เมื่อ[[เลขาธิการคณะรัฐมนตรี]]เสนอคณะ[[ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์]]ให้เลื่อนยศพลตรีหลวงพิบูลสงครามเป็นพลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก ก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นจอมพล | ||
หลังจากความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นใน[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] ไทยก็ต้องคืนดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสตามที่ตกลงกันใน[[อนุสัญญากรุงวอชิงตัน]]ซึ่งลงนามกันเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1946<ref>ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 713-715. </ref> | |||
==อ้างอิง== | ==อ้างอิง== | ||
<references/> | <references/> | ||
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500]] | [[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 09:54, 21 เมษายน 2554
ผู้เรียบเรียง ธิบดี บัวคำศรี
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
การเรียกร้องดินแดนจากอินโดจีนฝรั่งเศส
วันที่ 16 ธันวาคม 2481 นายพันเอกหลวงพิบูลสงครามขึ้นสู่อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี นโยบายที่สำคัญประการหนึ่งของหลวงพิบูลสงครามคือการเรียกร้องดินแดนที่เสียไปเพื่อสร้างไทยให้เป็นมหาประเทศ[1] ทั้งนี้มีหลวงวิจิตรวาทการเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญในการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว
ดินแดนที่เสียไปนั้นหมายถึงดินแดนซึ่งเสียให้แก่ฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง หลวงวิจิตรวาทการนั้นเปรียบน้ำที่ไหลอยู่ในแม่น้ำโขงว่า “คือน้ำตาของเราชาวไทย พวกเราในฝั่งนี้เป็นอิสสระเสรี แต่พี่น้องเราทางฝั่งโน้นถูกกดขี่ข่มเหงอยู่ทุกวัน”[2] “พี่น้องเราทางฝั่งโน้น” ของหลวงวิจิตรวาทการไม่ใช่เฉพาะแต่ชาวลาว แต่หมายรวมถึงชาวเขมรด้วย การอธิบายว่าชาวลาวเป็นชาวไทยนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากแต่จะยุ่งยากมากกว่าในกรณีชาวเขมร
คำอธิบายอย่างชัดเจนว่าชาวเขมรเป็นญาติร่วมสายโลหิตกับชาวไทยในประเทศไทยของหลวงวิจิตรวาทการเห็นได้อย่างช้าที่สุดตั้งแต่ พ.ศ. 2479 ในบทละครประวัติศาสตร์เรื่อง ราชมนู ในบทละครเรื่องนั้นหลวงวิจิตรวาทการให้พระราชมนู, ทหารเอกพระนเรศวร, กล่าวว่า “เขมรกับไทยก็รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน.....ก็ใครที่ไหนกันเล่า ก็ไทยเราทั้งนั้น เผอิญมาตกอยู่ในถิ่นของขอมโบราณ ก็เลยมีชื่อว่า “เขมร” ไป ซึ่งเขมรเป็นชื่อสมมติแท้ๆ ที่จริงก็ไทยพี่น้องของเราทั้งนั้น”[3] “ขอม” ของหลวงวิจิตรวาทการจึงหมายถึง “เขมรแท้” ซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศกัมพูชาก่อนหน้าที่คนไทยจะเข้ามาในแหลมทอง ส่วนคำว่า “เขมร” นั้นเป็น “ชื่อสมมติ” ที่ใช้เรียกคนไทยที่เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนของพวกขอม[4] และเมื่อหลวงวิจิตรวาทการแต่งบทละครประวัติศาสตร์เรื่อง พ่อขุนผาเมือง ขึ้นใน พ.ศ. 2483 ก็ให้นางสิขร, เจ้าหญิงเขมรซึ่งเป็นมเหสีของพ่อขุนผาเมือง, กล่าวว่า
- if:
border: 1px solid #AAAAAA;
}}" class="cquote" |
width="20" valign="top" style="color:#B2B7F2;font-size:{{#switch: | 10px=20px | 30px=60px | 40px=80px | 50px=100px | 60px=120px | “ |
ควรจะเห็นว่าเขมรก็คือไทย เลือดขอมหมดไปเสียนานแล้ว ขอมโบราณป่านนี้มีแต่ชื่อ เขมรคือไทยแท้ทั้งเชื้อแถว เพราะไทยแตกแยกไปเป็นหลายแนว ทั้งญวนแกวและเขมรล้วนเป็นไทย ดูซิ, หน้าตาและผิวพรรณ เราผิดแผกแปลกกันที่ตรงไหน นับตั้งหลายหลายร้อยปีที่เลือดไทย เข้าอยู่ในเลือดเขมรเป็นชาติเดียว อันที่จริงเขมรไทยชาติทั้งสอง ก็คือพี่คือน้องที่ข้องเกี่ยว ควรผูกมิตรสนิทสนมให้กลมเกลียว เหมือนพี่น้องท้องเดียวกันโดยแท้ [5] |
width="20" valign="bottom" style="color:#B2B7F2;font-size:{{#switch: | 10px=20px | 30px=60px | 40px=80px | 50px=100px | 60px=120px | ” |
{{#if:| —{{{4}}}{{#if:|, {{{5}}}}} }}}} |
ตกมาถึงในงานเรื่อง Thailand’s Case ซึ่งตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2484 นั้น หลวงวิจิตรวาทการก็อธิบายขยายความโดยละเอียดว่า ชาวกัมพูชา (The Cambodians) นั้นไม่ใช่ ชาวเขมร (The Khmer) โดยอธิบายว่าชาวเขมรนั้นมีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันออกของอ่าวเบงกอล ชาวเขมรอพยพตามชาวอินเดีย (The Indians) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของอ่าวเบงกอลเข้ามาในบริเวณที่เป็นประเทศกัมพูชาในปัจจุบันเมื่อราว 2,000 ปีที่ผ่านมา คนทั้งสองกลุ่มนี้แต่งงานข้ามกันไปมานานนับหลายศตวรรษและกลายมาเป็นพวกที่มีอำนาจปกครองดินแดนที่เป็นประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน และนำวัฒนธรรมฮินดูเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนแถบนี้ด้วย กระทั่งเมื่อ 1,500 ปีที่ผ่านมา ชาวไทย (The Thai) ก็อพยพจากทางใต้ของจีนลงมาในสุวรรณภูมิ (Suvarna Bhumi) หรือแหลมทอง (The Golden Peninsula) แต่นั้นมาเลือดไทยก็เริ่มแทรกเข้าไปในสายเลือดของชาวเขมรศตวรรษแล้วศตวรรษเล่า ชาวเขมรก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นชาวไทย ห้าศตวรรษผ่านไปชาวเขมรก็มีความละม้ายคล้ายชาวไทยทั้งรูปร่างหน้าตาและนิสัยใจคอ และ
- if:
border: 1px solid #AAAAAA;
}}" class="cquote" |
width="20" valign="top" style="color:#B2B7F2;font-size:{{#switch: | 10px=20px | 30px=60px | 40px=80px | 50px=100px | 60px=120px | “ | ในศตวรรษที่ 16 แห่งพุทธศักราช, ประมาณเก้าร้อยปีมาแล้ว, ชื่อเรียกว่า “เขมร” ก็สูญไป คำเรียกขานใหม่ถูกสร้างขึ้นมานั่นคือ “กัมพูชา (Cambudju)” หมายความว่า “เกิดอยู่ในแผ่นดินทอง” การอุบัติขึ้นของนามใหม่ว่า “กัมพูชา” เป็นเครื่องกำหนดจุดสิ้นสุดของเชื้อชาติเขมรเดิม (The old Khmer Race) และเป็นการเกิดของคนกลุ่มใหม่ที่มีเลือดไทยอยู่ร้อยละ 90 [6] | width="20" valign="bottom" style="color:#B2B7F2;font-size:{{#switch: | 10px=20px | 30px=60px | 40px=80px | 50px=100px | 60px=120px | ” |
{{#if:| —{{{4}}}{{#if:|, {{{5}}}}} }}}} |
ชาวเขมรจึงคือชาวไทย กัมพูชาอันเป็นแดนดินถิ่นอาศัยของชาวเขมรจึงคือหนึ่งในผืนแผ่นดินไทยที่ฝรั่งเศสแย่งชิงไปโดยใช้วิธีอัน “ทารุณโหดร้าย กลับกลอก ตลบตะแลงปราศจากศีลสัตย์ ชั้นต้นก็พยายามฉ้อโกง แต่เมื่อฉ้อโกงไม่สำเร็จก็ปล้นเอาเฉยๆ”[7] การอธิบายอย่างนี้ใช้ได้กับดินแดนลาวและชาวลาวเช่นกัน
การอธิบายว่าชาวลาวและชาวเขมรคือชาวไทยซึ่งพบได้ในหลายวาระ หลายรูปแบบ นำไปสู่ความรู้สึกร่วมในหมู่ผู้ปกครองด้วยกันเองและในหมู่ประชาชนว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นเป็นชาวไทยเช่นเดียวกับพวกตน การรวบรวมคนและดินแดนนั้นๆ เข้ามาอยู่ร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับประเทศไทยจึงเป็นเรื่องที่ควรแล้ว ความรู้สึกอย่างนี้ในหมู่ผู้คนจะทำให้รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในการดำเนินการเรียกร้องดินแดน
เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสยื่นความประสงค์จะขอทำกติกาสัญญาไม่รุกรานมายังรัฐบาลไทยในเดือนสิงหาคม 2482 เพื่อเป็นการรับประกันว่าอินโดจีนฝรั่งเศสจะไม่ถูกรุกรานในช่วงเวลาที่ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในยุโรปและการเรียกร้องดินแดนของไทยในอินโดจีน รัฐบาลหลวงพิบูลสงครามใช้โอกาสดังกล่าวในการขอเจรจาเพื่อปรับปรุงเส้นเขตแดน โดยเสนอให้ใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส
หลังจากการเจรจาผ่านไปหลายเดือน นายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ก็ร่วมลงนามในกติกาสัญญาไม่รุกรานกันกับนายปอล เลปิสสิเอร์ (Paul Lepissier) อัครราชทูตฝรั่งเศส ณ กรุงเทพฯ ในวันที่ 12 มิถุนายน 2483 ซึ่งในกติกาสัญญาดังกล่าวมีหนังสือแลกเปลี่ยนแนบท้ายซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเขตแดนอยู่ด้วย[8] หลังจากที่รัฐบาลฝรั่งเศสยอมแพ้ต่อกองทัพเยอรมนีในเดือนมิถุนายน 2483 รัฐบาลไทยก็เร่งให้รัฐบาลวิธีซึ่งเป็นรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศสส่งผู้แทนมาเจรจาเรื่องการปรับปรุงเขตแดน คำตอบของรัฐบาลวิชีคือขอให้กติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างไทยกับฝรั่งเศสมีผลใช้บังคับโดยไม่ต้องให้สัตยาบัน[9]
11 กันยายน 2483 รัฐบาลไทยตอบข้อเสนอของรัฐบาลฝรั่งเศสที่ขอให้กติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างไทยกับฝรั่งเศสมีผลใช้บังคับโดยไม่ต้องให้สัตยาบันว่า รัฐบาลไทยพร้อมจะทำตามความประสงค์ของรัฐบาลฝรั่งเศส ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่า
1. ให้เส้นเขตแดนตามลำน้ำโขงเป็นไปตามหลักฎหมายระหว่างประเทศ โดยถือร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์
2. ปรับปรุงเส้นเขตแดนให้เป็นไปตามธรรมชาติ โดยถือแม่น้ำโขงเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีน ตั้งแต่ทิศเหนือมาจดทิศใต้ จนถึงเขตแดนกัมพูชา ให้ฝ่ายไทยได้รับดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงข้ามหลวงพระบางและปากเซ และ
3. ในกรณีที่หากจะมีการเปลี่ยนแปลงอธิปไตยภายในอินโดจีน ฝ่ายฝรั่งเศสจะคืนอาณาเขตลาว และกัมพูชาให้แก่ไทย[10]
ผลก็คือรัฐบาลฝรั่งเศสไม่ยอมรับเงื่อนไขของรัฐบาลไทย
ตลอดทั้งเดือนตุลาคม รัฐบาลก็กระตุ้นและสนับสนุนให้ประชาชนและนิสิตนักศึกษาออกมาเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองสำคัญ[11] ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ เล่าถึงบรรยากาศคราวนั้นไว้ว่า “ในกรณีอินโดจีน มีการเดินขบวนและมีการร้องเพลงปลุกใจของหลวงวิจิตรฯ ก็มีใครที่อยากจะแสดงว่าฉันรักชาติก็ไปเดินขบวนกันแล้วร้องเพลงของหลวงวิจิตรฯ” [12] เพลงปลุกใจของหลวงวิจิตรวาทการก็คือเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ในการแสดงละครประวัติศาสตร์ของหลวงวิจิตรวาทการนั้นเอง
แนวโน้มของการใช้กำลังทหารเข้าจัดการปรับปรุงเส้นเขตแดนแทนที่การเจรจาก็เห็นได้ชัดเจนขึ้นในเดือนตุลาคมนี้เอง ดังเมื่อหลวงวิจิตรวาทการไปแสดงปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศสแก่ครูอาจารย์และนักเรียนกรมยุทธศึกษาทหารบกในวันที่ 17 ตุลาคม 2483 จึงกล่าวปลุกระดมเหล่าทหารว่า
- ประวัติศาสตร์ของชาติไทยนั้น เป็นประวัติแห่งการนองเลือด การที่บรรพบุรุษของเราได้ก่อร่างสร้างประเทศเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงพวกเราจนทุกวันนี้ ท่านไม่ได้อาบเหงื่อต่างน้ำ แต่อาบเลือดต่างน้ำ เราฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายมาด้วยเลือด เราดำรงอยู่เป็นไทยจนบัดนี้ได้ก็ด้วยเลือด จึงเป็นที่น่าเชื่อว่าถ้าเราต้องการจะก้าวหน้าเติบใหญ่ต่อไป หรือให้ชาติไทยคงเป็นไทยอยู่นั้น เราก็ต้องใช้เลือดเหมือนกัน ที่กล่าวนี้มิได้มุ่งหมายจะยืนยันว่าเราจะรบหรือเราจะต้องเข้าสงคราม.....แต่เพื่อประโยชน์ในทางเตรียมตัว ข้าพเจ้าใคร่จะขอเชิญชวนเพื่อร่วมชาติทั้งหลาย โดยฉะเพาะท่านที่นั่งฟังข้าพเจ้าอยู่ในที่นี้ ให้ทำใจเสียแต่บัดนี้ว่าเราต้องรบ [13]
ในการปาฐกถาครั้งนั้น หลวงวิจิตรวาทการไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนลงไปว่า เพื่อนร่วมชาติของเขารวมถึงตัวเขาเองจะต้อง “พลีชีวิตและร่างกายของเราเพื่อชาติ”[14] ไปเพื่อให้ได้มาซึ่งดินแดนใดบ้าง แต่กล่าวไว้ในปาฐกถานั้นว่า “เมื่อจะต้องดำเนินการอย่างแตกหักกันแล้ว เราก็จะไม่พูดกันแต่เพียงเขตต์แดนแม่น้ำโขง เราจะไม่พูดกันเพียงแต่ดินแดนฝั่งขวาตรงหน้าหลวงพระบางและปากเซ เราจะต้องพูดกันถึงดินแดนทุกๆ ชิ้นที่เราเสียไปให้แก่ฝรั่งเศส”[15] ทั้งนี้เพื่อนำไทยไปสู่ความเป็นมหาประเทศ
- เพราะว่าถ้าเราได้ดินแดนที่เสียไปนั้นคืนมาทั้งหมด นอกจากเราจะได้เนื้อที่เพิ่มขึ้นกว่าที่มีอยู่ในเวลานี้อีกเท่าตัว และได้จำนวนพลเมืองเพิ่มขึ้นอีกราว 4 ล้านคนแล้ว จะมีผลสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เราจะสามารถมีดินแดนจดเข้าไปถึงถิ่นไทยอันกว้างขวาง ซึ่งตั้งอยู่เหนือสิบสองจุไทย ที่นั่นมีเลือดเนื้อเชื้อไทยเราอยู่ 24 ล้านคน ซึ่งยังถือตนเป็นไทย พูดภาษาไทย มีชีวิตจิตต์ใจเป็นไทย เราสามารถจะเปิดประตูรับพี่น้อง 24 ล้านคนของเราเข้ามาหาเรา ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเราจะไปรุกรานดินแดนเหล่านั้น เราไม่ต้องการรุกรานใคร ที่ดินของเรามีถมไป เราต้องการแต่จะให้พี่น้องไทยของเราเข้ามาอยู่ร่วมรับความผาสุกด้วยกัน และเรื่องนี้ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่าเราทำสำเร็จ และไม่ช้าเราจะเป็นประเทศที่มีดินแดนราว 900,000 ตารางกิโลเมตร์ และมีพลเมืองไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน เราเป็นมหาประเทศ[16]
นอกจากความพยายามระดมมติมหาชนในประเทศแล้ว รัฐบาลไทยยังพยายามขยายแนวร่วมออกไปนอกประเทศด้วยการชักชวนและเกลี้ยกล่อมให้ประชาชนในอินโดจีนฝรั่งเศสอพยพเข้ามาในประเทศไทย โดยในวันที่ 5 กันยายน 2483 กระทรวงมหาดไทยได้ออกกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมและการปฏิบัติตามระเบียบการเข้าเมืองแก่ผู้ที่พำนักอาศัยอยู่ในสิบสองจุไท หัวพัน หลวงพระบาง เวียงจัน สะหวันนะเขต จำปาสัก และกัมพูชา[17] กับทั้งความให้ช่วยเหลือแก่ผู้อพยพเหล่านั้น[18] และในวันที่ 20 ธันวาคม 2483 ก็มีคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 44/2483 ออกมาว่า
- ดินแดนอันได้ชื่อว่าแคว้นสิบสองจุไทย หัวพันทั้งห้าทั้งหก แคว้นหลวงพระบาง เวียงจันทน์ ท่าแขก สุวรรณเขตต์ จำปาศักดิ์ และกัมพูชา เป็นราชอาณาจักรของไทยมาแต่เดิม โดยได้รวมเป็นอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกับประเทศไทย และอยู่ภายใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์ไทยมาช้านานนับร้อยๆ ปี.....มีเลือดเนื้อเป็นชนชาติไทยและมีจิตใจรักอิสรเสรีอย่างพี่น้องของเขาในประเทศไทย.....กระทรวงมหาดไทยจึงถือว่า.....เป็นบุคคลเชื้อชาติไทยและสัญชาติไทยโดยบริบูรณ์ [19]
รัฐบาลไทยยังได้เปิดการกระจายเสียงวิทยุภาคภาษาเขมรและเวียดนามในเดือนพฤศจิกายน 2483 เพื่อออกอากาศเชิญชวนประชาชนในอินโดจีนฝรั่งเศสไม่ว่าจะเป็นชาวลาว เขมร และเวียดนามให้อพยพเข้ามาในประเทศไทย ไม่เช่นนั้นก็ให้ต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศสในอินโดจีน[20] รัฐบาลยังเรียกร้องให้ประชาชนชาวไทยร่วมมือกันช่วยเหลือ “พี่น้องของเราฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและกรุงกัมพูชา”[21] โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยแล้ว
ตั้งแต่ปลาย พ.ศ. 2483 ก็เกิดการปะทะกันตามแนวชายแดนไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส กระทั่งในวันที่ 5 มกราคม 2484 กองทัพไทยก็ยกข้ามเส้นเขตแดนไทย–อินโดจีนฝรั่งเศสเข้าไปในกัมพูชาและลาว[22] และรัฐบาลไทยก็ประกาศสงครามกับอินโดจีนฝรั่งเศสในวันที่ 7 มกราคม [23]
ญี่ปุ่นเข้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและมีการหยุดยิงในวันที่ 28 มกราคม 2484 ในเวลานั้น “กองทัพอีสาน กองพลอุบลยึดได้แคว้นนครจำปาศักดิ์ กองพลสุรินทร์ยึดได้สำโรง จงกัล ทางจังหวัดเสียมราฐ กองทัพบูรพา ยึดได้พื้นที่ตะวันตกศรีโสภณ ห่างจากศรีโสภณ 17 กิโลเมตร กองพลจันทบุรียึดได้บ้านกุมเรียงและบ้านห้วยเขมร ทิศตะวันตกบ่อไพลิน”[24] แต่กำลังเพลี่ยงพล้ำในแนวรบทางทะเลหลังจากที่เรือหลวงธนบุรีและเรือตอร์ปิโดของไทยเสียหายอย่างหนักในการรบที่รู้จักกันต่อมาในชื่อว่า ยุทธนาวีที่เกาะช้าง ซึ่งเกิดขึ้นในในวันที่ 17 มกราคม 2484[25]
การเจรจาสันติภาพระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เริ่มขึ้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2484[26] และพอถึงวันที่ 11 มีนาคม 2484 ผู้แทนของไทยกับฝรั่งเศสก็ลงนามย่อในแผนการไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น สาระสำคัญของแผนดังกล่าวคือไทยได้ดินแดนคืนจากฝรั่งเศสดังนี้
1. ดินแดนซึ่งได้เสียไปโดยสนธิสัญญาปีพุทธศักราช 2446 ได้คืนมาทั้งหมด กล่าวคือดินแดนหลวงพระบางฝั่งขวาและดินแดนจำปาศักดิ์ตรงข้ามกับปากเซ กับทั้งดินแดนกัมพูชาที่ได้เสียไปโดยสนธิสัญญานั้นด้วย
2. มณฑลบูรพาซึ่งได้เสียไปโดยสนธิสัญญาปีพุทธศักราช 2449 นั้น ได้คืนจังหวัด ศรีโสภณและพระตะบอง จดฝั่งทะเลสาบ แต่เสียมราฐและนครวัดนั้นยังคงเป็นของฝรั่งเศสอยู่
3. ได้มาซึ่งดินแดนในกัมพูชา หรือเส้นขีดโค้งวงจากเวิ้งนครวัดลงไปถึงแม่น้ำโขงตอนใต้สตึงเตรง และ
4. ถือร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดนในลำแม่น้ำโขง เกาะคอนซึ่งอยู่ทางขวาของร่องน้ำลึกได้มาเป็นของไทยทั้งหมด[27]
การได้ดินแดนนำความชื่นชมโสมนัสมาสู่ชาวไทย และนายพลตรีหลวงพิบูลสงครามกลายมาขวัญใจชาวไทยทั้งผอง เมื่อเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้เลื่อนยศพลตรีหลวงพิบูลสงครามเป็นพลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก ก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นจอมพล
หลังจากความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยก็ต้องคืนดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสตามที่ตกลงกันในอนุสัญญากรุงวอชิงตันซึ่งลงนามกันเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1946[28]
อ้างอิง
- ↑ หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส แสดงแก่ครูอาจารย์และนักเรียนกรมยุทธศึกษาทหารบก วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2483 (พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2483), หน้า 40-41. และดู Eiji Murashima, “Opposing French colonialism: Thailand and the independence movements in Indo–China in the early 1940s,” South East Asia Research 13, 3 (2005): 335. และ E. Bruce Reynolds, “Phibun Songkram and Thai Nationalism in the Fascist Era,” EJEAS 3.1 (2004): 99-134.
- ↑ หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 27.
- ↑ หลวงวิจิตรวาทการ, “ราชมนู,” เลือดสุพรรณ ราชมนู พระเจ้ากรุงธน ศึกถลาง, อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ คุณหญิงจัน เทพประชุน ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส, 17 ตุลาคม 2480 (พระนคร: ม.ป.ท., 2480), หน้า 71. อ้างถึงใน ประอรรัตน์ บูรณมาตร์, หลวงวิจิตรวาทการกับบทละครประวัติศาสตร์ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, 2528), หน้า 88.
- ↑ “Bot lakhon rueang rachamanu” [Rachamanu: A Play], in Wichit wannakhadi [The literary works of Luang Wichit Wathakarn] (Cremation volume for Lady Prapaphan Wichitwathakan) (Bangkok: 1993), pp. 26-27. Cited in Søren Ivarsson, Creating Laos: The Making of a Lao Space between Indochina and Siam, 1860-1945 (Malaysia: Nordic Institute of Asian Studies Press, 2008), p. 79.
- ↑ หลวงวิจิตรวาทการ, “พ่อขุนผาเมือง,” หน้า 24. (ฉบับอัดสำเนา). อ้างถึงใน ประอรรัตน์ บูรณมาตร์, หลวงวิจิตรวาทการกับบทละครประวัติศาสตร์, หน้า 89. จัดย่อหน้าใหม่โดยผู้เขียน.
- ↑ Laung Vichitr Vadakarn, Thailand’s Case (Bangkok: The University of Moral and Political Sciences Printing Press, 1941), pp. 129-130.
- ↑ หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 18-19.
- ↑ ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, พิมพ์ครั้งที่ 4 (นนทบุรี: ศรีปัญญา, 2549), หน้า 106.
- ↑ ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 79. และ กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2527), หน้า 15.
- ↑ กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, หน้า 15-16. และดู ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 85.
- ↑ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทย (กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า, 2538), หน้า 221. และ Søren Ivarsson, Creating Laos, p. 83.
- ↑ สัมภาษณ์ ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ, 10 กรกฎาคม 2523. อ้างถึงใน ประอรรัตน์ บูรณมาตร์, หลวงวิจิตร-วาทการกับบทละครประวัติศาสตร์, หน้า 89.
- ↑ หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 46-47.
- ↑ หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 47.
- ↑ หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 38.
- ↑ หลวงวิจิตรวาทการ, ปาฐกถาเรื่องการเสียดินแดนไทยให้แก่ฝรั่งเศส, หน้า 40-41. การเน้นเป็นของผู้เขียน.
- ↑ Sathian Lailak, compiled 1941, Prachum Kotmai Prachamsok, Vol 53, Bangkok, pp.374–375. Cited in Eiji Murashima, “Opposing French colonialism,”: fn.7, p. 339. ดินแดนทั้งหมดที่กล่าวถึงในกฎกระทรวง ยกเว้น เวียงจันและสะหวันนะเขด เป็นดินแดนที่ไทยเสียให้แก่ฝรั่งเศส
- ↑ ดู Khao Khosanakan, 1940, p.1669. Cited in Eiji Murashima, “Opposing French colonialism,”: 343.
- ↑ เออิชิ มูราชิมา, “การเปรียบเทียบข้อมูลไทย-ญี่ปุ่น: กรณีการส่งทหารไทยเข้ารัฐฉาน (สหรัฐไทยใหญ่) ใน พ.ศ.2485,” วารสารธรรมศาสตร์ 25, 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2542): 92. อ้างถึงใน สายชล สัตยานุรักษ์, ความเปลี่ยนแปลงในการสร้างชาติไทยและความเป็นไทยโดยหลวงวิจิตรวาทการ, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2545), หน้า 134-135.
- ↑ Eiji Murashima, “Opposing French colonialism,”: 338–339.
- ↑ คำว่า “พี่น้องของเราฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและกรุงกัมพูชา” เป็นของหลวงวิจิตรวาทการ (ประอรรัตน์ บูรณมาตร์, หลวงวิจิตรวาทการกับบทละครประวัติศาสตร์ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2528), หน้า 40.)
- ↑ Eiji Murashima, “Opposing French Colonialism,”: 337.
- ↑ กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, หน้า 21.
- ↑ ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 120.
- ↑ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทย, หน้า 224.
- ↑ กนตธีร์ ศุภมงคล, การวิเทโศบายของไทย, หน้า 22.
- ↑ ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 114.
- ↑ ดิเรก ชัยนาม, ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง, หน้า 713-715.