ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สายหยุด เกิดผล"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 22: | บรรทัดที่ 22: | ||
'''ผลงานที่สำคัญ''' | '''ผลงานที่สำคัญ''' | ||
''' '''พลเอกสายหยุด เกิดผล เริ่มรับราชการที่กองพันทหารราบที่ 29 ได้เข้ารบใน[[สงครามอินโดจีน|สงครามอินโดจีน]] ในช่วง[[สงครามโลกครั้งที่_2| | ''' '''พลเอกสายหยุด เกิดผล เริ่มรับราชการที่กองพันทหารราบที่ 29 ได้เข้ารบใน[[สงครามอินโดจีน|สงครามอินโดจีน]] ในช่วง[[สงครามโลกครั้งที่_2|สงครามโลกครั้งที่ 2]] ได้สังกัดกองทัพพายัพเข้ารบในเชียงตุงหรือสหรัฐไทยเดิม[[#_ftn2|[2]]] หลังจากสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกได้รับการบรรจุเป็นฝ่ายเสนาธิการประจำกรมข่าวทหารบกและเริ่มชีวิตของนายทหารฝ่ายเสนาธิการ | ||
พลเอกสายหยุดได้ปฏิบัติราชการใน[[สงครามเกาหลี|สงครามเกาหลี]]ผลัดที่ 3 หลังจากนั้นได้เข้าประจำกรมยุทธการทหารบก โดยมีบทบาทในการทำสงครามลับ (Secret War) ในประเทศลาว โดยร่วมก่อตั้ง บก.333 ในพ.ศ.2503 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินการทางการทหารในประเทศลาว[[#_ftn3|[3]]] ในพ.ศ.2505 พลเอกสายหยุดได้เลื่อนเป็นเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก ในสถานการณ์ที่การต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมี[[ความรุนแรง|ความรุนแรง]] พลเอกสายหยุดได้นำนโยบายใหม่ๆมาใช้ เช่นการจัดตั้ง[[โครงการการุณยเทพ|โครงการการุณยเทพ]] สำหรับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่กลับใจ การขอพระราชทานสร้างเหรียญพิทักษ์เสรีชน การเปลี่ยนบทบาทของกองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ (กอ.ปค.) เป็นกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)[[#_ftn4|[4]]] | พลเอกสายหยุดได้ปฏิบัติราชการใน[[สงครามเกาหลี|สงครามเกาหลี]]ผลัดที่ 3 หลังจากนั้นได้เข้าประจำกรมยุทธการทหารบก โดยมีบทบาทในการทำสงครามลับ (Secret War) ในประเทศลาว โดยร่วมก่อตั้ง บก.333 ในพ.ศ.2503 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินการทางการทหารในประเทศลาว[[#_ftn3|[3]]] ในพ.ศ.2505 พลเอกสายหยุดได้เลื่อนเป็นเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก ในสถานการณ์ที่การต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมี[[ความรุนแรง|ความรุนแรง]] พลเอกสายหยุดได้นำนโยบายใหม่ๆมาใช้ เช่นการจัดตั้ง[[โครงการการุณยเทพ|โครงการการุณยเทพ]] สำหรับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่กลับใจ การขอพระราชทานสร้างเหรียญพิทักษ์เสรีชน การเปลี่ยนบทบาทของกองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ (กอ.ปค.) เป็นกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)[[#_ftn4|[4]]] | ||
บรรทัดที่ 41: | บรรทัดที่ 41: | ||
กลุ่มอาสาประชามติเริ่มก่อตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2529 และจัดตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2529 โดยพลเอกสายหยุด เกิดผล ได้รับเลือกเป็นประธานกลุ่ม | กลุ่มอาสาประชามติเริ่มก่อตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2529 และจัดตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2529 โดยพลเอกสายหยุด เกิดผล ได้รับเลือกเป็นประธานกลุ่ม | ||
พลเอกสายหยุดมีบทบาทในการจัดตั้งองค์กรกลางเพื่อการเลือกตั้ง โดยได้เขียนบันทึกไว้ว่า “วันหนึ่งท่านายกฯอานันท์ได้โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า ขอให้เข้าไปตรวจสอบการเลือกตั้ง”[[#_ftn8|[8]]] โดยมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 3/2535 แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามและสอดส่องดูแล[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร|การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] โดยมีนาย[[เกษม_สุวรรณกุล| | พลเอกสายหยุดมีบทบาทในการจัดตั้งองค์กรกลางเพื่อการเลือกตั้ง โดยได้เขียนบันทึกไว้ว่า “วันหนึ่งท่านายกฯอานันท์ได้โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า ขอให้เข้าไปตรวจสอบการเลือกตั้ง”[[#_ftn8|[8]]] โดยมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 3/2535 แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามและสอดส่องดูแล[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร|การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] โดยมีนาย[[เกษม_สุวรรณกุล|เกษม สุวรรณกุล]] อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นประธานและพลเอกสายหยุดเป็นรองประธาน | ||
พลเอกสายหยุดยังได้รับแต่งตั้งให้เป็น[[คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย|คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย]] ([[คพป.|คพป.]]) ตามคำสั่ง[[ประธานสภาผู้แทนราษฎร|ประธานสภาผู้แทนราษฎร]] ลงวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2537 โดยมีนายแพทย์[[ประเวศ_วะสี| | พลเอกสายหยุดยังได้รับแต่งตั้งให้เป็น[[คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย|คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย]] ([[คพป.|คพป.]]) ตามคำสั่ง[[ประธานสภาผู้แทนราษฎร|ประธานสภาผู้แทนราษฎร]] ลงวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2537 โดยมีนายแพทย์[[ประเวศ_วะสี|ประเวศ วะสี]] เป็นประธานและพลเอกสายหยุด เกิดผลเป็นรองประธาน โดยมีวัตถุเพื่อประสงค์เพื่อแนวทางการ[[การปฏิรูปการเมือง|ปฏิรูปการเมือง]] | ||
| | ||
บรรทัดที่ 54: | บรรทัดที่ 54: | ||
#ตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 | #ตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 | ||
ต่อมาหลังจากที่มีประกาศใช้[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พ.ศ.2540| | ต่อมาหลังจากที่มีประกาศใช้[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พ.ศ.2540|รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540]] ได้มีการจัดตั้ง[[องค์กรอิสระ|องค์กรอิสระ]]ตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งไว้ในส่วนที่ 4 คือ [[คณะกรรมการการเลือกตั้ง|คณะกรรมการการเลือกตั้ง]] ([[กกต.|กกต.]]) แต่ในมาตรา 76 ได้มีบทบัญญัติให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางการเมืองรวมทั้งตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ องค์กรกลางฯได้จัดประชุมเพื่อจัดตั้ง[[เครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง|เครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง]] ([[คปต.|คปต.]]) ชื่อเป็นภาษาอังกฤษ People Network for Election หรือ P-NETโดยมีพลเอกสายหยุดเป็นประธาน โดยเข้าตรวจสอบการเลือกตั้ง[[วุฒิสภา|วุฒิสภา]]ในการเลือกตั้ง พ.ศ.2543 และ[[การเลือกตั้งทั่วไป|การเลือกตั้งทั่วไป]] พ.ศ.2544 ควบคู่กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง[[#_ftn10|[10]]]ต่อมาได้จัดตั้งเป็นมูลนิธิองค์กรกลางและเครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง (พีเน็ต) | ||
นอกจากการตรวจสอบการเลือกตั้งภายในประเทศ หลังยุติสงครามในกัมพูชา องค์การสหประชาชาติจัดให้มีการเลือกตั้งทั้วไปในประเทศกัมพูชา องค์กรด้าน[[สิทธิมนุษยชน|สิทธิมนุษยชน]]ของประเทศในเอเชีย ได้แก่ ไทย บังคลาเทศ พม่า เขมร อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ศรีลังกา ได้จัดตั้งเครือข่ายประชาชนเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (ASIAN Network for Free Elections – ANREL) ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2540 เพื่อสังเกตการณ์เลือกตั้งในกัมพูชาและรายงานผลให้ประเทศที่จัดการเลือกตั้งและประเทศสมาชิกได้ทราบ โดยมีพลเอกสายหยุดเป็นประธาน ANREL | นอกจากการตรวจสอบการเลือกตั้งภายในประเทศ หลังยุติสงครามในกัมพูชา องค์การสหประชาชาติจัดให้มีการเลือกตั้งทั้วไปในประเทศกัมพูชา องค์กรด้าน[[สิทธิมนุษยชน|สิทธิมนุษยชน]]ของประเทศในเอเชีย ได้แก่ ไทย บังคลาเทศ พม่า เขมร อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ศรีลังกา ได้จัดตั้งเครือข่ายประชาชนเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (ASIAN Network for Free Elections – ANREL) ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2540 เพื่อสังเกตการณ์เลือกตั้งในกัมพูชาและรายงานผลให้ประเทศที่จัดการเลือกตั้งและประเทศสมาชิกได้ทราบ โดยมีพลเอกสายหยุดเป็นประธาน ANREL | ||
พลเอกสายหยุดยังมีบทบาทในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทางการเมือง เช่น การประชุมตั้ง[[กลุ่ม_“รัฐบุคคล”| | พลเอกสายหยุดยังมีบทบาทในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทางการเมือง เช่น การประชุมตั้ง[[กลุ่ม_“รัฐบุคคล”|กลุ่ม “รัฐบุคคล”]] (Man of the State) เพื่อแสวงหาทางออกประเทศไทยในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 | ||
วันที่ 24 กรกฎาคม 2558 พลเอกสายหยุด เกิดผลได้แถลงลาออกจากประธานมูลนิธิองค์กรกลาง และเครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง (พีเน็ต)[[#_ftn11|[11]]] | วันที่ 24 กรกฎาคม 2558 พลเอกสายหยุด เกิดผลได้แถลงลาออกจากประธานมูลนิธิองค์กรกลาง และเครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง (พีเน็ต)[[#_ftn11|[11]]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 10:03, 14 พฤศจิกายน 2561
ผู้เรียบเรียง : ดร.บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร
พลเอกสายหยุด เกิดผล
พลเอกสายหยุด เกิดผล เป็นนายทหารผู้มีบทบาทสำคัญในการนำแนวคิดประชาธิปไตยมาต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแทนที่จะต่อสู้โดยการใช้กำลังทหารเป็นหลัก เคยดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หลังเกษียณอายุราชการพลเอกสายหยุดได้มีบทบาทในการเข้าร่วมการเมืองภาคพลเมือง โดยริเริ่มตั้งกลุ่มอาสาประชามติใน พ.ศ.2529 ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตยใน พ.ศ.2537 จัดตั้งกลุ่มองค์กรกลางเพื่อการเลือกตั้ง เครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง รวมถึงมีบทบาทในเครือข่ายประชาชนเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรีในประเทศกัมพูชา
ประวัติ
พลเอกสายหยุด เกิดผล เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2465 ที่บ้านหาดเสี้ยว ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เป็นบุตรของนายมุตโตและนางเรียบ เกิดผล ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร เริ่มต้นการศึกษาที่โรงเรียนประชาบาลวัดหาดเสี้ยว ศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนสวรรควิทยาซึ่งเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ แล้วมาศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5-6 ที่โรงเรียนพิริยาลัย จังหวัดแพร่ จากนั้นจึงเข้ามาศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 7-8 โรงเรียนวังสมเด็จบูรพา พลเอกสายหยุดเข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยทหารบกเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2482และสำเร็จการศึกษาโดยสอบได้อันดับที่ 1[1] นอกจากนี้ยังเข้าศึกษาในหลักสูตรทางการทหารทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น โรงเรียนทหาราบ ศูนย์การทหารราบ (สอบได้อันดับที่ 1) โรงเรียนเสนาธิการทหารบกหลักสูตรหลักประจำ โรงเรียนเสนาธิการทหารบกชุดที่ 29 โรงเรียนทหาราบสหรัฐอเมริกา โรงเรียนเสนาธิการทหารบกออสเตรเลีย และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ด้านครอบครัวสมรสกับ คุณหญิงอุไรวรรณ เกิดผล
ผลงานที่สำคัญ
พลเอกสายหยุด เกิดผล เริ่มรับราชการที่กองพันทหารราบที่ 29 ได้เข้ารบในสงครามอินโดจีน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สังกัดกองทัพพายัพเข้ารบในเชียงตุงหรือสหรัฐไทยเดิม[2] หลังจากสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกได้รับการบรรจุเป็นฝ่ายเสนาธิการประจำกรมข่าวทหารบกและเริ่มชีวิตของนายทหารฝ่ายเสนาธิการ
พลเอกสายหยุดได้ปฏิบัติราชการในสงครามเกาหลีผลัดที่ 3 หลังจากนั้นได้เข้าประจำกรมยุทธการทหารบก โดยมีบทบาทในการทำสงครามลับ (Secret War) ในประเทศลาว โดยร่วมก่อตั้ง บก.333 ในพ.ศ.2503 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินการทางการทหารในประเทศลาว[3] ในพ.ศ.2505 พลเอกสายหยุดได้เลื่อนเป็นเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก ในสถานการณ์ที่การต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมีความรุนแรง พลเอกสายหยุดได้นำนโยบายใหม่ๆมาใช้ เช่นการจัดตั้งโครงการการุณยเทพ สำหรับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่กลับใจ การขอพระราชทานสร้างเหรียญพิทักษ์เสรีชน การเปลี่ยนบทบาทของกองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ (กอ.ปค.) เป็นกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)[4]
ในระหว่างวันที่ 1-3 เมษายน พ.ศ.2524 ได้มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น เมื่อพลเอกสัณห์ จิตรปฏิมาได้เป็นหัวคณะได้เข้าทำการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี หลังจากที่รัฐบาลคุมสถานการณ์ได้แล้วรัฐบาลได้ตั้งพลเอกสายหยุด ในฐานะเสนาธิการทหารให้ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์ความไม่สงบ 1-3 เมษายน พ.ศ.2524 และได้เป็นผู้เสนอให้นายกรัฐมนตรีขอกราบบังคมทูลเพื่อพระราชทานอภัยโทษและยุติการสอบสวนในวันฉัตรมงคล 5 พฤษภาคม พ.ศ.2524 [5]
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2525 พลเอกสายหยุดได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด
และหลังเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคม พ.ศ.2526 พลเอกสายหยุด ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองภาคพลเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้ง โดยให้เหตุผลว่า “เพราะผู้ที่ได้อำนาจอธิปไตยไปจากประชาชนไม่ใช่ได้ไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม แต่ได้ไปด้วยกลโกงต่างๆทั้งใช้เงิน อำนาจรัฐ อิทธิพล ข่มขู่ ฯลฯ ผลอันมาจากเหตุที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม จึงไม่สามารถสนองตอบความต้องการของประชาชน ความยุติธรรม อยู่ดีกินดีได้ ดังนี้จึงต้องหาทางแก้ไขที่ต้นเหตุ”[6] การเลือกตั้งในพ.ศ.2529 พลเอกสายหยุดจึงริเริ่มตั้ง “กลุ่มอาสาประชามติ” ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นกลางทางการเมือง เพื่อหาทางจูงใจและกำหนดรูปแบบที่จะให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นพลังเงียบเข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมืองแบบไม่เป็นฝักฝ่ายเพื่อเป็นพลังผลักดันให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทางการเมืองแบบฝักฝ่ายปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้น ซึ่งหมายถึงการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย โดยมีวัตถุประสงค์ของกลุ่ม 4 ประการ[7]
- ทำหน้าที่เฝ้าดูแลและรายงานการปฏิบัติงานของนักการเมืองให้ประชาชนได้ทราบ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ และมีช่องทางในการติดตาม ประเมินผลและสนับสนุนการปฏิบัติของนักการเมือง
- ทำหน้าที่สนับสนุนให้นักการเมืองที่เป็นแบบอย่างที่ดี มีกำลังใจและมีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ในแนวทางที่ถูกต้องตามกติกาของระบอบประชาธิปไตย
- หาทางยับยั้งการปฏิบัติงานของบุคคลและหรือกลุ่มบุคคลที่ขัดขวางการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ด้วยวิธีการที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
- ปฏิบัติทุกอย่างโดยไม่เพิกเฉย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
กลุ่มอาสาประชามติเริ่มก่อตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2529 และจัดตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2529 โดยพลเอกสายหยุด เกิดผล ได้รับเลือกเป็นประธานกลุ่ม
พลเอกสายหยุดมีบทบาทในการจัดตั้งองค์กรกลางเพื่อการเลือกตั้ง โดยได้เขียนบันทึกไว้ว่า “วันหนึ่งท่านายกฯอานันท์ได้โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า ขอให้เข้าไปตรวจสอบการเลือกตั้ง”[8] โดยมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 3/2535 แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามและสอดส่องดูแลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายเกษม สุวรรณกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นประธานและพลเอกสายหยุดเป็นรองประธาน
พลเอกสายหยุดยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.) ตามคำสั่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2537 โดยมีนายแพทย์ประเวศ วะสี เป็นประธานและพลเอกสายหยุด เกิดผลเป็นรองประธาน โดยมีวัตถุเพื่อประสงค์เพื่อแนวทางการปฏิรูปการเมือง
ในระหว่างนั้นนายโคทม อารียาได้หารือในการรวมกลุ่มอาสาประชาธิปไตยกับกลุ่มรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยเข้าด้วยกัน โดยตั้งเป็นองค์กรตรวจสอบการเลือกตั้งภาคประชาชน ใช้ชื่อว่าองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตยหรือองค์กรกลางฯโดยได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการเลือกตั้ง 4 ครั้ง[9]
- ตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2535
- ตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2535
- ตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538
- ตรวจสอบการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539
ต่อมาหลังจากที่มีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ได้มีการจัดตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งไว้ในส่วนที่ 4 คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่ในมาตรา 76 ได้มีบทบัญญัติให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางการเมืองรวมทั้งตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ องค์กรกลางฯได้จัดประชุมเพื่อจัดตั้งเครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง (คปต.) ชื่อเป็นภาษาอังกฤษ People Network for Election หรือ P-NETโดยมีพลเอกสายหยุดเป็นประธาน โดยเข้าตรวจสอบการเลือกตั้งวุฒิสภาในการเลือกตั้ง พ.ศ.2543 และการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2544 ควบคู่กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง[10]ต่อมาได้จัดตั้งเป็นมูลนิธิองค์กรกลางและเครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง (พีเน็ต)
นอกจากการตรวจสอบการเลือกตั้งภายในประเทศ หลังยุติสงครามในกัมพูชา องค์การสหประชาชาติจัดให้มีการเลือกตั้งทั้วไปในประเทศกัมพูชา องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศในเอเชีย ได้แก่ ไทย บังคลาเทศ พม่า เขมร อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ศรีลังกา ได้จัดตั้งเครือข่ายประชาชนเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (ASIAN Network for Free Elections – ANREL) ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2540 เพื่อสังเกตการณ์เลือกตั้งในกัมพูชาและรายงานผลให้ประเทศที่จัดการเลือกตั้งและประเทศสมาชิกได้ทราบ โดยมีพลเอกสายหยุดเป็นประธาน ANREL
พลเอกสายหยุดยังมีบทบาทในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทางการเมือง เช่น การประชุมตั้งกลุ่ม “รัฐบุคคล” (Man of the State) เพื่อแสวงหาทางออกประเทศไทยในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557
วันที่ 24 กรกฎาคม 2558 พลเอกสายหยุด เกิดผลได้แถลงลาออกจากประธานมูลนิธิองค์กรกลาง และเครือข่ายประชาชนเพื่อการเลือกตั้ง (พีเน็ต)[11]
หนังสือแนะนำ
สายหยุด เกิดผล,พลเอก, ชีวิตนี้ มีค่ายิ่ง พลเอก สายหยุด เกิดผล, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549).
บรรณานุกรม
สายหยุด เกิดผล,พลเอก, ชีวิตนี้ มีค่ายิ่ง พลเอก สายหยุด เกิดผล, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549),หน้า 558-559.
พล.อ. สายหยุด เกิดผล ลาออกประธาน พีเน็ต แนะทหารคืนอำนาจให้ประชาชน,เข้าถึงจากhttp://hilight. kapook.com/view/123852.
[1] สายหยุด เกิดผล,พลเอก, ชีวิตนี้ มีค่ายิ่ง พลเอก สายหยุด เกิดผล, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549), หน้า 59 – 74.
[2] สายหยุด เกิดผล,พลเอก, ชีวิตนี้ มีค่ายิ่ง พลเอก สายหยุด เกิดผล, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549),หน้า 98
[3] สายหยุด เกิดผล,พลเอก, ชีวิตนี้ มีค่ายิ่ง พลเอก สายหยุด เกิดผล, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549),หน้า 201.
[4] สายหยุด เกิดผล,พลเอก, ชีวิตนี้ มีค่ายิ่ง พลเอก สายหยุด เกิดผล, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549),หน้า 312-313.
[5] สายหยุด เกิดผล,พลเอก, ชีวิตนี้ มีค่ายิ่ง พลเอก สายหยุด เกิดผล, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549),หน้า 480-483.
[6] สายหยุด เกิดผล,พลเอก, ชีวิตนี้ มีค่ายิ่ง พลเอก สายหยุด เกิดผล, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549),หน้า 546.
[7] สายหยุด เกิดผล,พลเอก, ชีวิตนี้ มีค่ายิ่ง พลเอก สายหยุด เกิดผล, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549),หน้า 547.
[8] สายหยุด เกิดผล,พลเอก, ชีวิตนี้ มีค่ายิ่ง พลเอก สายหยุด เกิดผล, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549),หน้า 552.
[9] สายหยุด เกิดผล,พลเอก, ชีวิตนี้ มีค่ายิ่ง พลเอก สายหยุด เกิดผล, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549),หน้า 553.
[10] สายหยุด เกิดผล,พลเอก, ชีวิตนี้ มีค่ายิ่ง พลเอก สายหยุด เกิดผล, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549),หน้า 558-559.
[11] พล.อ. สายหยุด เกิดผล ลาออกประธาน พีเน็ต แนะทหารคืนอำนาจให้ประชาชน,เข้าถึงจากhttp://hilight. kapook.com/view/123852เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2559.