ผลต่างระหว่างรุ่นของ "หัวหน้าพรรค"
สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ---- '''ผู้ทรงคุณวุฒิป... |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
(ไม่แสดง 7 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
'''ผู้เรียบเรียง''' นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ | '''ผู้เรียบเรียง''' รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ | ||
---- | ---- | ||
บรรทัดที่ 9: | บรรทัดที่ 9: | ||
== หัวหน้าพรรคการเมือง == | == หัวหน้าพรรคการเมือง == | ||
หัวหน้าพรรคการเมือง คือ | หัวหน้าพรรคการเมือง คือ บุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญใน[[พรรคการเมือง]] โดยทำหน้าที่ตาม[[กฎหมาย]]และ[[ข้อบังคับของพรรคการเมือง]]นั้นๆ ตาม[[พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550]] กำหนดให้ที่[[ประชุมใหญ่ของพรรคการเมือง]]ดำเนิน[[การเลือกตั้ง]]หัวหน้าพรรคการเมือง (มาตรา 28) | ||
หัวหน้าพรรคและ[[คณะกรรมการบริหารพรรค]] เป็นกลไกพรรคในระดับบน เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงานของพรรคในทุกด้านตั้งแต่ระดับชาติหรือส่วนกลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของพรรคการเมืองเกือบทั้งหมดไปถึงระดับท้องถิ่นหรือสาขาพรรค ทั้งนี้ในทางปฎิบัติแล้วหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเจรจากับผู้นำพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลและหากสำเร็จก็จะมีบทบาทในการคัดสรรบุคคลในพรรคเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง จึงกล่าวได้ว่าผู้นำพรรคการเมือง โดยเฉพาะหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ถือเป็นผู้ควบคุมกลไกการทำงานของพรรค ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ตลอดจนในบางครั้งยังเป็นแหล่งทุนสำคัญของพรรคด้วย | |||
บรรทัดที่ 22: | บรรทัดที่ 22: | ||
(2) เป็นผู้แทนของพรรคการเมืองในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก (มาตรา 17) | (2) เป็นผู้แทนของพรรคการเมืองในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก (มาตรา 17) | ||
(3) จัดทำทะเบียนสมาชิกให้ตรงตามความเป็นจริง และแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพ และที่อยู่ของสมาชิก | (3) จัดทำทะเบียนสมาชิกให้ตรงตามความเป็นจริง และแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพ และที่อยู่ของสมาชิก ต่อ[[นายทะเบียนพรรคการเมือง]] ตลอดจนแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพและที่อยู่ของสมาชิกดังกล่าว ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด ให้นายทะเบียนทราบภายในวันที่ 7 ของทุกสามเดือน และให้สรุปยอดจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดในรอบปีให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปี(มาตรา 19) | ||
(4) | (4) ในกรณีที่พรรคการเมืองใดจัดตั้ง[[สาขาพรรคการเมือง]] หัวหน้าพรรคการเมืองมีหน้าที่ทำหนังสือแจ้งการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนภายใน 15 วันนับแต่วันที่จัดตั้งสาขาพรรคการเมืองนั้น (มาตรา 34) | ||
(5) ทำหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายพรรคการเมือง ข้อบังคับพรรคการเมืองหรือชื่อ อาชีพ ที่อยู่ และลายมือชื่อของกรรมการบริหารพรรคการเมืองต่อนายทะเบียน ภายใน 30 วันที่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้พิจารณาแก้ไขรายละเอียดดังกล่าว (มาตรา 41) | |||
(6)จัดทำ[[รายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมือง]]ในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมาให้ถูกต้องตามความเป็นจริงตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด และแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมีนาคมของทุกปี เพื่อประกาศให้สาธารณชนทราบ (มาตรา 42) | |||
(7) เสนองบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบและรับรองแล้วต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองอนุมัติภายในเดือนเมษายนของทุกปี โดยแจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้า และปิดประกาศไว้ ณ ที่ตั้งสำนักงานของพรรคการเมืองและสาขาพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 15 วัน (มาตรา 47) | (7) เสนองบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบและรับรองแล้วต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองอนุมัติภายในเดือนเมษายนของทุกปี โดยแจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้า และปิดประกาศไว้ ณ ที่ตั้งสำนักงานของพรรคการเมืองและสาขาพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 15 วัน (มาตรา 47) | ||
(8) | (8)จัดให้มี[[บัญชีแสดงรายรับจากการบริจาค]] ซึ่งต้องระบุ ชื่อ ที่อยู่ จำนวนเงิน และรายการทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ของผู้บริจาคทุกราย วัน เดือน ปี ที่รับบริจาคและสำเนาหลักฐานการรับบริจาค ( มาตรา 62) | ||
(9) | (9) ในกรณีที่[[การควบรวมพรรคการเมือง]]เป็นการรวมกันเพื่อจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองใหม่ ให้พรรคการเมืองที่จะรวมกันขอความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ของแต่ละพรรคการเมือง เมื่อที่ประชุมใหญ่ของแต่ละพรรคการเมืองเห็นชอบให้รวมกันแล้ว ให้หัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองจำนวนพรรคการเมืองละ 10 คน ประชุมร่วมกัน เพื่อดำเนินการกำหนดนโยบายและข้อบังคับพรรคการเมืองที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ เมื่อได้ดำเนินการแล้ว ให้ดำเนินการจัดให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างสมาชิกของทุกพรรคการเมืองที่จะรวมกัน โดย ต้องแจ้งให้สมาชิกของพรรคการเมืองที่จะรวมกันทราบก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 7 วันเพื่อประชุมตั้งพรรคการเมืองและให้ดำเนินการต่อไปตามบทบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งพรรคการเมือง (มาตรา 101 ) | ||
นอกจากนี้แล้ว หน้าที่ของหัวหน้าพรรคการเมืองยังถูกกำหนดด้วยข้อบังคับของพรรคการเมือง ดังตัวอย่างของพรรคการเมืองไทย ต่อไปนี้ | นอกจากนี้แล้ว หน้าที่ของหัวหน้าพรรคการเมืองยังถูกกำหนดด้วยข้อบังคับของพรรคการเมือง ดังตัวอย่างของพรรคการเมืองไทย ต่อไปนี้ | ||
(2) เป็นผู้แทนของพรรคในการดำเนินกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก เพื่อการนี้ หัวหน้าพรรคจะมอบหมายเป็นหนังสือให้กรรมการบริหารคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้ (2) กำกับดูแลการบริหารงานพรรคให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับ | {| border="1" align="center" cellpadding="4" | ||
|- | |||
(3) | !width="400" style="background:#87cefa;" |หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ | ||
!width="400" style="background:#87cefa;" |หัวหน้าพรรคเพื่อไทย | |||
(4) แต่งตั้งคณะกรรมการหรือบุคคลให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วรายงานให้คณะกรรมการบริหารพรรคทราบ (4) สั่ง อนุญาต และอนุมัติเกี่ยวกับงานของพรรค | |- | ||
|(1)เป็นหัวหน้ารับผิดชอบการบริหารงานของพรรค ตามกฎหมายและข้อบังคับพรรค | |||
(5) มอบอำนาจในการอนุมัติหรืออนุญาตให้กรรมการบริหารพรรคคนใดคนหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่งทำการแทนได้ (5) แต่งตั้งและถอดถอนที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค | |(1) เป็นผู้แทนของพรรคในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก | ||
|- | |||
(6) อำนาจหน้าที่อื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายอื่น ๆ หรือในข้อบังคับพรรค (6) แต่งตั้งและถอดถอนเจ้าหน้าที่พรรค | |(2) เป็นผู้แทนของพรรคในการดำเนินกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก เพื่อการนี้ หัวหน้าพรรคจะมอบหมายเป็นหนังสือให้กรรมการบริหารคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้ | ||
|(2) กำกับดูแลการบริหารงานพรรคให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับ | |||
(7) จัดทำรายงานการดำเนินกิจการของพรรคในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมาให้ถูกต้องตามความเป็นจริงตามวิธีการที่นายทะเบียนพรรคการเมืองกำหนดและแจ้งให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบภายในเดือนมีนาคมของทุกปี (7) แต่งตั้งคณะทำงานหรือบุคคลใดให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งรวมทั้งถอดถอนคณะทำงานหรือบุคคล | |- | ||
|(3) แต่งตั้ง[[ผู้อำนวยการพรรค]]และรองผู้อำนวยการพรรค โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารพรรค | |||
|(3) บริหารงานพรรคตามที่ที่ประชุมใหญ่หรือคณะกรรมการบริหารมอบหมาย | |||
|- | |||
|(4) แต่งตั้งคณะกรรมการหรือบุคคลให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วรายงานให้คณะกรรมการบริหารพรรคทราบ | |||
|(4) สั่ง อนุญาต และอนุมัติเกี่ยวกับงานของพรรค | |||
|- | |||
|(5) มอบอำนาจในการอนุมัติหรืออนุญาตให้กรรมการบริหารพรรคคนใดคนหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่งทำการแทนได้ | |||
|(5) แต่งตั้งและถอดถอนที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค | |||
|- | |||
|(6) อำนาจหน้าที่อื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายอื่น ๆ หรือในข้อบังคับพรรค | |||
|(6) แต่งตั้งและถอดถอนเจ้าหน้าที่พรรค | |||
|- | |||
|(7) จัดทำรายงานการดำเนินกิจการของพรรคในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมาให้ถูกต้องตามความเป็นจริงตามวิธีการที่นายทะเบียนพรรคการเมืองกำหนดและแจ้งให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบภายในเดือนมีนาคมของทุกปี | |||
|(7) แต่งตั้งคณะทำงานหรือบุคคลใดให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งรวมทั้งถอดถอนคณะทำงานหรือบุคคล | |||
|- | |||
|<nowiki>-</nowiki> | |||
|(8) เรียกประชุมคณะกรรมการบริหาร | |||
|- | |||
|<nowiki>-</nowiki> | |||
|(9) อำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายหรือข้อบังคับกำหนดหรือตามที่คณะกรรมการบริหารเห็นสมควรกำหนดเพื่อการนี้ หัวหน้าพรรคจะมอบหมายเป็นหนังสือให้ผู้ดำเนินงานพรรค หรือสมาชิกที่เป็นคณะผู้บริหารคนใดคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้ | |||
|} | |||
== การตรวจสอบและควบคุมหัวหน้าพรรคการเมือง == | == การตรวจสอบและควบคุมหัวหน้าพรรคการเมือง == | ||
(1) การจัดทำทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง | |||
ถ้าหัวหน้าพรรคการเมืองไม่แจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพ | ถ้าหัวหน้าพรรคการเมืองไม่แจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพ | ||
และที่อยู่ของสมาชิก ให้นายทะเบียนทราบภายในวันที่เจ็ดของทุกสามเดือน หรือไม่สรุปยอดจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดในรอบปีให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปี นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งภายในระยะเวลาที่กำหนด (มาตรา 19) | และที่อยู่ของสมาชิก ให้นายทะเบียนทราบภายในวันที่เจ็ดของทุกสามเดือน หรือไม่สรุปยอดจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดในรอบปีให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปี นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งภายในระยะเวลาที่กำหนด (มาตรา 19) | ||
(2) การฝ่าฝืนนโยบายพรรคการเมืองหรือข้อบังคับพรรคการเมือง | |||
นายทะเบียนมีอำนาจเตือนเป็นหนังสือให้หัวหน้าพรรคการเมือง ระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำนั้นภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด ถ้าคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองไม่ปฏิบัติตามคำเตือน ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำดังกล่าว หรือให้หัวหน้าพรรคการเมืองออกจากตำแหน่งได้ | นายทะเบียนมีอำนาจเตือนเป็นหนังสือให้หัวหน้าพรรคการเมือง ระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำนั้นภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด ถ้าคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองไม่ปฏิบัติตามคำเตือน ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำดังกล่าว หรือให้หัวหน้าพรรคการเมืองออกจากตำแหน่งได้ และในกรณีที่[[ศาลรัฐธรรมนูญ]]มีคำสั่งให้ออกจากตำแหน่ง ผู้นั้นไม่มีสิทธิเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองอีกเว้นแต่จะพ้นกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง (มาตรา 31) | ||
(3) การถอดถอนหัวหน้าพรรคการเมือง | |||
สมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ หรือไม่น้อยกว่า 10,000 คน แล้วแต่จำนวนใดจะน้อยกว่ากัน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอให้[[ถอดถอน]]หัวหน้าพรรคการเมือง ออกจากตำแหน่งได้ โดยให้จัดให้มีการ[[ประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคการเมือง]]ภายใน 30 วันนับแต่วันที่คำร้องขอไปถึงพรรคการเมืองมติให้ถอดถอนต้องมี[[คะแนนเสียง]]ไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 ของจำนวนผู้ที่เข้าประชุมใหญ่วิสามัญ โดยให้ลง[[คะแนนลับ]] | |||
ในกรณีที่หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดถูกถอดถอน ให้ที่ประชุมใหญ่ดำเนินการเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งนั้น การดำเนินการตามมาตรานี้ให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในวาระการดำรงตำแหน่งของหัวหน้าพรรคการเมือง | ในกรณีที่หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดถูกถอดถอน ให้ที่ประชุมใหญ่ดำเนินการเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งนั้น การดำเนินการตามมาตรานี้ให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในวาระการดำรงตำแหน่งของหัวหน้าพรรคการเมือง แต่ในกรณีที่หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดเป็น[[นายกรัฐมนตรี]] [[รัฐมนตรี]] หรือ[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] การถอดถอนผู้นั้น ตามหลักเกณฑ์นี้ไม่ได้ (มาตรา 32) | ||
(4) [[การแสดงบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน]] | |||
หัวหน้าพรรคการเมืองต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะพร้อมสำเนาหลักฐานที่พิสูจน์ความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สิน ตามแบบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด ภายใน 30 วันนับแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง และภายใน 30 วันนับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ ถูกยุบหรือนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง แล้วแต่กรณี รวมทั้งสำเนาแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมาให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงต่อนายทะเบียน ทั้งนี้ในกรณีที่หัวหน้าพรรคการเมืองได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมายอื่นแล้ว อาจส่งสำเนาบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นไว้ตามกฎหมายอื่นนั้นต่อนายทะเบียนแทนก็ได้ (มาตรา 49) | หัวหน้าพรรคการเมืองต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะพร้อมสำเนาหลักฐานที่พิสูจน์ความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สิน ตามแบบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด ภายใน 30 วันนับแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง และภายใน 30 วันนับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ ถูกยุบหรือนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง แล้วแต่กรณี รวมทั้งสำเนาแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมาให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงต่อนายทะเบียน ทั้งนี้ในกรณีที่หัวหน้าพรรคการเมืองได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมายอื่นแล้ว อาจส่งสำเนาบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นไว้ตามกฎหมายอื่นนั้นต่อนายทะเบียนแทนก็ได้ (มาตรา 49) | ||
(5) การรับเงินบริจาคพรรคการเมือง | (5) [[การรับเงินบริจาคพรรคการเมือง]] | ||
-ห้ามมิให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ซึ่งเป็นการบริจาคโดยไม่ปรากฏชื่อผู้บริจาคหรือที่บริจาคให้ตนเป็นส่วนตัว (มาตรา 56) | -ห้ามมิให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ซึ่งเป็นการบริจาคโดยไม่ปรากฏชื่อผู้บริจาคหรือที่บริจาคให้ตนเป็นส่วนตัว (มาตรา 56) | ||
- ห้ามมิให้หัวหน้าพรรคการเมืองรับบริจาคจากบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเกินกว่า 10,000,000 บาทต่อปี (มาตรา 59) | -ห้ามมิให้หัวหน้าพรรคการเมืองรับบริจาคจากบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเกินกว่า 10,000,000 บาทต่อปี (มาตรา 59) | ||
- เมื่อมีการบริจาคแก่พรรคการเมือง ให้หัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งเป็นผู้ที่รับบริจาค ต้องจัดทำบันทึกการรับบริจาคไว้เป็นหลักฐานและจัดส่งบันทึกการรับบริจาคของพรรคการเมืองพร้อมเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ รวมทั้งเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ให้แก่พรรคการเมือง เพื่อนำส่งเข้าบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาคของพรรคการเมืองไว้ก่อนภายใน 7 นับแต่วันที่ได้รับบริจาค | -เมื่อมีการบริจาคแก่พรรคการเมือง ให้หัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งเป็นผู้ที่รับบริจาค ต้องจัดทำบันทึกการรับบริจาคไว้เป็นหลักฐานและจัดส่งบันทึกการรับบริจาคของพรรคการเมืองพร้อมเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ รวมทั้งเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ให้แก่พรรคการเมือง เพื่อนำส่งเข้าบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาคของพรรคการเมืองไว้ก่อนภายใน 7 นับแต่วันที่ได้รับบริจาค | ||
เมื่อพรรคการเมืองได้รับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากการบริจาคแล้ว ให้ลงรายการการรับบริจาคในบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาคของพรรคการเมืองให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่วันที่รายการนั้นเกิดขึ้น และให้จัดส่งใบเสร็จรับเงิน หรือหลักฐานการรับบริจาคให้แก่ ผู้บริจาคภายใน 7 วันนับแต่วันที่ออกใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานการรับบริจาค | เมื่อพรรคการเมืองได้รับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากการบริจาคแล้ว ให้ลงรายการการรับบริจาคในบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาคของพรรคการเมืองให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่วันที่รายการนั้นเกิดขึ้น และให้จัดส่งใบเสร็จรับเงิน หรือหลักฐานการรับบริจาคให้แก่ ผู้บริจาคภายใน 7 วันนับแต่วันที่ออกใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานการรับบริจาค | ||
บรรทัดที่ 100: | บรรทัดที่ 113: | ||
-ให้หัวหน้าพรรคการเมืองเปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์โดยระบุชื่อเจ้าของบัญชีในนามของพรรคการเมืองนั้น และให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งหมายเลขบัญชีของบัญชีเงินฝากและจำนวนเงินที่เปิดบัญชีของทุกบัญชีพร้อมทั้งส่งสำเนาบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์รับรองแก่นายทะเบียนภายใน 7 วันนับแต่วันที่เปิดบัญชีดังกล่าว (มาตรา 64) | -ให้หัวหน้าพรรคการเมืองเปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์โดยระบุชื่อเจ้าของบัญชีในนามของพรรคการเมืองนั้น และให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งหมายเลขบัญชีของบัญชีเงินฝากและจำนวนเงินที่เปิดบัญชีของทุกบัญชีพร้อมทั้งส่งสำเนาบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์รับรองแก่นายทะเบียนภายใน 7 วันนับแต่วันที่เปิดบัญชีดังกล่าว (มาตรา 64) | ||
- ในกรณีที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ ตามบทบัญญัติในหมวดนี้เว้นแต่กรณีมีการควบรวมพรรคการเมือง ให้หัวหน้าพรรคการเมืองส่งบัญชีและงบดุลรวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการเงินของพรรคการเมืองภายใน 30 วันนับแต่วันที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ | - ในกรณีที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ ตามบทบัญญัติในหมวดนี้เว้นแต่กรณีมีการควบรวมพรรคการเมือง ให้หัวหน้าพรรคการเมืองส่งบัญชีและงบดุลรวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการเงินของพรรคการเมืองภายใน 30 วันนับแต่วันที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ และให้[[สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน]]ชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียน ถ้าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินชำระบัญชีไม่เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ขอขยายเวลาได้อีกไม่เกิน 6 เดือน และให้หัวหน้าพรรคการเมืองยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่จนกว่าการชำระบัญชีจะแล้วเสร็จ แต่จะไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในนามพรรคการเมืองที่สิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ ได้ (มาตรา 96) | ||
== การกำหนดบทลงโทษหัวหน้าพรรคการเมือง == | == การกำหนดบทลงโทษหัวหน้าพรรคการเมือง == | ||
บรรทัดที่ 118: | บรรทัดที่ 131: | ||
-ในกรณีที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ และหัวหน้าพรรคการเมืองไม่ดำเนินการส่งบัญชีและงบดุลรวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการเงินของพรรคการเมืองภายใน 30 วันนับแต่วันที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(มาตรา 121) | -ในกรณีที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ และหัวหน้าพรรคการเมืองไม่ดำเนินการส่งบัญชีและงบดุลรวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการเงินของพรรคการเมืองภายใน 30 วันนับแต่วันที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(มาตรา 121) | ||
'''โทษทางปกครอง''' | |||
- หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใด | - หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใด ไม่แจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพและที่อยู่ของสมาชิก ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด ให้นายทะเบียนทราบภายในวันที่เจ็ด ของทุกสามเดือน และให้สรุปยอดจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดในรอบปีให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปี หรือไม่รายงานการใช้จ่ายเงิน และการลงรายละเอียดของรายการค่าใช้จ่าย ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน 50,000 บาท (มาตรา 123) | ||
ของทุกสามเดือน และให้สรุปยอดจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดในรอบปีให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปี หรือไม่รายงานการใช้จ่ายเงิน และการลงรายละเอียดของรายการค่าใช้จ่าย ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน 50,000 บาท (มาตรา 123) | |||
- หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใด | - หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใด | ||
(1) | (1)ไม่ส่งรายงานหรือเอกสารเกี่ยวกับการที่พรรคการเมืองมีมติให้สมาชิกสิ้นสุดสมาชิกภาพตามข้อบังคับพรรคการเมืองเพราะกระทำผิดวินัยหรือ[[จรรยาบรรณ]]อย่างร้ายแรง หรือมีเหตุร้ายแรงอื่นไปยัง[[ประธานสภาผู้แทนราษฎร]] (ถ้าสมาชิกผู้นั้นดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย) และนายทะเบียนภายใน 7 วันนับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติให้สมาชิก[[สิ้นสุดสมาชิกภาพ]] | ||
(2)ไม่ส่งหนังสือแจ้งการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนภายใน 15 วันนับแต่วันที่จัดตั้งสาขาพรรคการเมืองนั้น | (2)ไม่ส่งหนังสือแจ้งการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนภายใน 15 วันนับแต่วันที่จัดตั้งสาขาพรรคการเมืองนั้น | ||
บรรทัดที่ 138: | บรรทัดที่ 149: | ||
-หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนซึ่งสั่งให้มีการเรียกประชุมใหญ่พรรคการเมืองเป็นครั้งแรกภายใน 60 วัน หรือไม่จัดให้มีบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาค ไม่เปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์โดยระบุชื่อเจ้าของบัญชีในนามของพรรคการเมืองนั้น และ หมายเลขบัญชีของบัญชีเงินฝากและจำนวนเงินที่เปิดบัญชีของทุกบัญชีพร้อมทั้งส่งสำเนาบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์รับรองแก่นายทะเบียนภายใน 7 วันนับแต่วันที่เปิดบัญชีดังกล่าว รวมทั้งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการดำเนินการตามมาตรการและวิธีการควบคุมการได้รับการบริจาคของพรรคการเมืองต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน 100,000 บาท (มาตรา 127) | -หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนซึ่งสั่งให้มีการเรียกประชุมใหญ่พรรคการเมืองเป็นครั้งแรกภายใน 60 วัน หรือไม่จัดให้มีบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาค ไม่เปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์โดยระบุชื่อเจ้าของบัญชีในนามของพรรคการเมืองนั้น และ หมายเลขบัญชีของบัญชีเงินฝากและจำนวนเงินที่เปิดบัญชีของทุกบัญชีพร้อมทั้งส่งสำเนาบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์รับรองแก่นายทะเบียนภายใน 7 วันนับแต่วันที่เปิดบัญชีดังกล่าว รวมทั้งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการดำเนินการตามมาตรการและวิธีการควบคุมการได้รับการบริจาคของพรรคการเมืองต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน 100,000 บาท (มาตรา 127) | ||
- หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใด ไม่นำเงินบริจาคที่เป็นเงินสด หรือเงินบริจาคที่เป็นตั๋วแลกเงินหรือเช็คขีดคร่อมซึ่งไม่ถูกปฏิเสธการจ่ายเงินนำไปฝากไว้ในบัญชีธนาคารพาณิชย์ ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับการบริจาคแล้วออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้บริจาคไว้เป็นหลักฐานภายในวันที่ได้รับบันทึกการบริจาคหรือวันที่ที่มีรายการนั้นเกิดขึ้น หรือดำเนินใช้จ่ายเงิน หรือจำหน่ายทรัพย์สินของพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด ต้องชำระค่าปรับทางปกครองเท่ากับหรือไม่เกินสองเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับบริจาค (มาตรา 128) | |||
- | - ในกรณีที่พรรคการเมืองใดได้รับเงินสนับสนุนจาก[[กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง]] ไปแล้วและไม่จัดทำแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินของพรรคการเมืองในแต่ละปี ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด หรือในกรณีที่ ภายหลังปรากฏว่ามีเหตุที่พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ต้องเลิก หรือ[[ยุบพรรค|ยุบพรรคการเมือง]] ซึ่งพรรคการเมืองนั้นต้องคืนเงินสนับสนุนแก่กองทุนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด หากต่อมาได้รับคำเตือนจากนายทะเบียนแล้วยังฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำเตือนนั้น ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกินสองเท่าของเงินสนับสนุนและดอกเบี้ยตามกฎหมายที่ต้องคืนให้แก่กองทุน (มาตรา 130) ซึ่งตามกฎหมายกำหนดให้หัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นร่วมรับผิดชอบชดใช้เงินคืนแก่กองทุนอย่างลูกหนี้ร่วม (มาตรา 86) | ||
== หัวหน้าพรรคการเมือง กับ | == หัวหน้าพรรคการเมือง กับ ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินบทบาททางการเมืองของพรรคการเมืองไทย== | ||
ในฐานะที่เป็นชนชั้นนำของพรรคการเมือง ทั้งในแง่ของการกำหนดทิศทางของพรรคและการเป็นผู้จัดหาหรือเป็นแหล่งทุนสำคัญของพรรค ส่วนใหญ่หัวหน้าพรรคมักเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรคการเมืองโดยการชักชวนหรือร่วมมือกับเครือข่ายความสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ เช่น เครือญาติ เพื่อน เป็นต้น ทั้งนี้จากประวัติศาสตร์พรรคการเมืองไทยที่ผ่านมา เมื่อคนเหล่านี้มีบทบาทในการตัดสินใจเกือบทุกเรื่องเกี่ยวกับพรรค จนมีพฤติกรรมไปในลักษณะเป็น “เจ้าของพรรค” ทำให้มีข้อจำกัดหลายด้านในการดำเนินบทบาทของพรรค และยิ่งชนชั้นนำของพรรคมีแนวความคิดที่มุ่งเอาชนะเลือกตั้งเพื่อหาทางเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลเป็นหลัก ไม่สนใจในการขยายแนวคิดทางการเมืองและนโยบายพรรคออกไปสู่กลุ่มคนในท้องถิ่นต่างๆ เพื่อหาทางสร้างรากฐานของพรรคให้เข้มแข็ง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมา ก็คือ การแข่งขันในการเลือกตั้งของชนชั้นนำในแต่ละพรรคทั้งหลายที่จะต้องเอาชนะให้ได้ ทั้งในแง่ของการละเมิดกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีงามของสังคม และเมื่อมีโอกาสเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลก็มักดำเนินบทบาทไปในทางแสวงหา หรือ รักษาผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ทั้งในด้านการเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมืองและการหาทางเอาชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไป เพื่อกลับเข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองต่อไปอีก รวมทั้งผลประโยชน์อื่นที่เกิดมาจากการมีตำแหน่งทางการเมืองดังกล่าว | ในฐานะที่เป็นชนชั้นนำของพรรคการเมือง ทั้งในแง่ของการกำหนดทิศทางของพรรคและการเป็นผู้จัดหาหรือเป็นแหล่งทุนสำคัญของพรรค ส่วนใหญ่หัวหน้าพรรคมักเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรคการเมืองโดยการชักชวนหรือร่วมมือกับเครือข่ายความสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ เช่น เครือญาติ เพื่อน เป็นต้น ทั้งนี้จากประวัติศาสตร์พรรคการเมืองไทยที่ผ่านมา เมื่อคนเหล่านี้มีบทบาทในการตัดสินใจเกือบทุกเรื่องเกี่ยวกับพรรค จนมีพฤติกรรมไปในลักษณะเป็น “เจ้าของพรรค” ทำให้มีข้อจำกัดหลายด้านในการดำเนินบทบาทของพรรค และยิ่งชนชั้นนำของพรรคมีแนวความคิดที่มุ่งเอาชนะเลือกตั้งเพื่อหาทางเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลเป็นหลัก ไม่สนใจในการขยายแนวคิดทางการเมืองและนโยบายพรรคออกไปสู่กลุ่มคนในท้องถิ่นต่างๆ เพื่อหาทางสร้างรากฐานของพรรคให้เข้มแข็ง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมา ก็คือ การแข่งขันในการเลือกตั้งของชนชั้นนำในแต่ละพรรคทั้งหลายที่จะต้องเอาชนะให้ได้ ทั้งในแง่ของการละเมิดกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีงามของสังคม และเมื่อมีโอกาสเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลก็มักดำเนินบทบาทไปในทางแสวงหา หรือ รักษาผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ทั้งในด้านการเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมืองและการหาทางเอาชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไป เพื่อกลับเข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองต่อไปอีก รวมทั้งผลประโยชน์อื่นที่เกิดมาจากการมีตำแหน่งทางการเมืองดังกล่าว | ||
อย่างไรก็ดี บทบาทเหล่านี้มีส่วนโดยตรงต่อการเกิดปัญหาความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ ทั้งความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำในพรรคเดียวกัน ระหว่างสองพรรคขึ้นไป และระหว่างชนชั้นนำของพรรคกับบุคคลหรือกลุ่มผลประโยชน์อื่นในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้นำทหารและข้าราชการจนในที่สุดก็นำไปสู่รัฐประหาร และการหมดบทบาทของพรรคการเมือง | อย่างไรก็ดี บทบาทเหล่านี้มีส่วนโดยตรงต่อการเกิดปัญหาความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ ทั้งความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำในพรรคเดียวกัน ระหว่างสองพรรคขึ้นไป และระหว่างชนชั้นนำของพรรคกับบุคคลหรือกลุ่มผลประโยชน์อื่นในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้นำทหารและข้าราชการจนในที่สุดก็นำไปสู่รัฐประหาร และการหมดบทบาทของพรรคการเมือง | ||
'''ตัวอย่างหัวหน้าพรรคการเมืองไทย''' | '''ตัวอย่างหัวหน้าพรรคการเมืองไทย''' | ||
'''หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์''' | |||
:'''หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์''' | |||
นายควง อภัยวงศ์ พ.ศ. 2489-2511 | นายควง อภัยวงศ์ พ.ศ. 2489-2511 | ||
บรรทัดที่ 169: | บรรทัดที่ 180: | ||
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พ.ศ. 2548-ปัจจุบัน | นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พ.ศ. 2548-ปัจจุบัน | ||
'''หัวหน้าพรรคชาติไทย''' | |||
:'''หัวหน้าพรรคชาติไทย''' | |||
พลตรีประมาณ อดิเรกสาร พ.ศ. 2517 - 2529 | พลตรีประมาณ อดิเรกสาร พ.ศ. 2517 - 2529 | ||
บรรทัดที่ 180: | บรรทัดที่ 192: | ||
นายบรรหาร ศิลปอาชา พ.ศ. 2537 - 2551 | นายบรรหาร ศิลปอาชา พ.ศ. 2537 - 2551 | ||
== ที่มา == | == ที่มา == | ||
บรรทัดที่ 196: | บรรทัดที่ 206: | ||
เวปไซต์พรรคประชาธิปัตย http://www.democrat.or.th/rule/rule_4.htm และ http://www.democrat.or.th/history.htm | เวปไซต์พรรคประชาธิปัตย http://www.democrat.or.th/rule/rule_4.htm และ http://www.democrat.or.th/history.htm | ||
[[หมวดหมู่: | [[หมวดหมู่:ตำแหน่งสำคัญในพรรคการเมือง|หัวหน้าพรรคการเมือง]] | ||
[[หมวดหมู่:รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 09:17, 19 สิงหาคม 2556
ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
หัวหน้าพรรคการเมือง
หัวหน้าพรรคการเมือง คือ บุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญในพรรคการเมือง โดยทำหน้าที่ตามกฎหมายและข้อบังคับของพรรคการเมืองนั้นๆ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 กำหนดให้ที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองดำเนินการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคการเมือง (มาตรา 28)
หัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรค เป็นกลไกพรรคในระดับบน เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการทำงานของพรรคในทุกด้านตั้งแต่ระดับชาติหรือส่วนกลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของพรรคการเมืองเกือบทั้งหมดไปถึงระดับท้องถิ่นหรือสาขาพรรค ทั้งนี้ในทางปฎิบัติแล้วหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเจรจากับผู้นำพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลและหากสำเร็จก็จะมีบทบาทในการคัดสรรบุคคลในพรรคเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง จึงกล่าวได้ว่าผู้นำพรรคการเมือง โดยเฉพาะหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ถือเป็นผู้ควบคุมกลไกการทำงานของพรรค ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ตลอดจนในบางครั้งยังเป็นแหล่งทุนสำคัญของพรรคด้วย
หน้าที่ของหัวหน้าพรรคการเมือง
หน้าที่ของหัวหน้าพรรคการเมือง ตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 โดยส่วนใหญ่อยู่ในฐานะกรรมการบริหารพรรคการเมือง แต่ทั้งนี้ได้มีการระบุถึงหน้าที่ของหัวหน้าพรรคการเมืองไว้ ดังนี้
(1) ยื่นจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองต่อนายทะเบียน โดยต้องยื่นพร้อมกับนโยบายพรรคการเมือง ข้อบังคับพรรคการเมือง บัญชีแสดงสินทรัพย์และหนี้สินของพรรคการเมือง หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่เป็นที่ทำการพรรคการเมืองซึ่งต้องอยู่ในราชอาณาจักร และสำเนารายงานการประชุมตั้งพรรคการเมือง (มาตรา 12)
(2) เป็นผู้แทนของพรรคการเมืองในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก (มาตรา 17)
(3) จัดทำทะเบียนสมาชิกให้ตรงตามความเป็นจริง และแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพ และที่อยู่ของสมาชิก ต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ตลอดจนแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพและที่อยู่ของสมาชิกดังกล่าว ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด ให้นายทะเบียนทราบภายในวันที่ 7 ของทุกสามเดือน และให้สรุปยอดจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดในรอบปีให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปี(มาตรา 19)
(4) ในกรณีที่พรรคการเมืองใดจัดตั้งสาขาพรรคการเมือง หัวหน้าพรรคการเมืองมีหน้าที่ทำหนังสือแจ้งการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนภายใน 15 วันนับแต่วันที่จัดตั้งสาขาพรรคการเมืองนั้น (มาตรา 34)
(5) ทำหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายพรรคการเมือง ข้อบังคับพรรคการเมืองหรือชื่อ อาชีพ ที่อยู่ และลายมือชื่อของกรรมการบริหารพรรคการเมืองต่อนายทะเบียน ภายใน 30 วันที่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้พิจารณาแก้ไขรายละเอียดดังกล่าว (มาตรา 41)
(6)จัดทำรายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมาให้ถูกต้องตามความเป็นจริงตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด และแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมีนาคมของทุกปี เพื่อประกาศให้สาธารณชนทราบ (มาตรา 42)
(7) เสนองบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบและรับรองแล้วต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองอนุมัติภายในเดือนเมษายนของทุกปี โดยแจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้า และปิดประกาศไว้ ณ ที่ตั้งสำนักงานของพรรคการเมืองและสาขาพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 15 วัน (มาตรา 47)
(8)จัดให้มีบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาค ซึ่งต้องระบุ ชื่อ ที่อยู่ จำนวนเงิน และรายการทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ของผู้บริจาคทุกราย วัน เดือน ปี ที่รับบริจาคและสำเนาหลักฐานการรับบริจาค ( มาตรา 62)
(9) ในกรณีที่การควบรวมพรรคการเมืองเป็นการรวมกันเพื่อจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองใหม่ ให้พรรคการเมืองที่จะรวมกันขอความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ของแต่ละพรรคการเมือง เมื่อที่ประชุมใหญ่ของแต่ละพรรคการเมืองเห็นชอบให้รวมกันแล้ว ให้หัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองจำนวนพรรคการเมืองละ 10 คน ประชุมร่วมกัน เพื่อดำเนินการกำหนดนโยบายและข้อบังคับพรรคการเมืองที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ เมื่อได้ดำเนินการแล้ว ให้ดำเนินการจัดให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างสมาชิกของทุกพรรคการเมืองที่จะรวมกัน โดย ต้องแจ้งให้สมาชิกของพรรคการเมืองที่จะรวมกันทราบก่อนวันประชุมไม่น้อยกว่า 7 วันเพื่อประชุมตั้งพรรคการเมืองและให้ดำเนินการต่อไปตามบทบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งพรรคการเมือง (มาตรา 101 ) นอกจากนี้แล้ว หน้าที่ของหัวหน้าพรรคการเมืองยังถูกกำหนดด้วยข้อบังคับของพรรคการเมือง ดังตัวอย่างของพรรคการเมืองไทย ต่อไปนี้
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ | หัวหน้าพรรคเพื่อไทย |
---|---|
(1)เป็นหัวหน้ารับผิดชอบการบริหารงานของพรรค ตามกฎหมายและข้อบังคับพรรค | (1) เป็นผู้แทนของพรรคในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก |
(2) เป็นผู้แทนของพรรคในการดำเนินกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก เพื่อการนี้ หัวหน้าพรรคจะมอบหมายเป็นหนังสือให้กรรมการบริหารคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้ | (2) กำกับดูแลการบริหารงานพรรคให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับ |
(3) แต่งตั้งผู้อำนวยการพรรคและรองผู้อำนวยการพรรค โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารพรรค | (3) บริหารงานพรรคตามที่ที่ประชุมใหญ่หรือคณะกรรมการบริหารมอบหมาย |
(4) แต่งตั้งคณะกรรมการหรือบุคคลให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วรายงานให้คณะกรรมการบริหารพรรคทราบ | (4) สั่ง อนุญาต และอนุมัติเกี่ยวกับงานของพรรค |
(5) มอบอำนาจในการอนุมัติหรืออนุญาตให้กรรมการบริหารพรรคคนใดคนหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่งทำการแทนได้ | (5) แต่งตั้งและถอดถอนที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค |
(6) อำนาจหน้าที่อื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง กฎหมายอื่น ๆ หรือในข้อบังคับพรรค | (6) แต่งตั้งและถอดถอนเจ้าหน้าที่พรรค |
(7) จัดทำรายงานการดำเนินกิจการของพรรคในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมาให้ถูกต้องตามความเป็นจริงตามวิธีการที่นายทะเบียนพรรคการเมืองกำหนดและแจ้งให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบภายในเดือนมีนาคมของทุกปี | (7) แต่งตั้งคณะทำงานหรือบุคคลใดให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งรวมทั้งถอดถอนคณะทำงานหรือบุคคล |
- | (8) เรียกประชุมคณะกรรมการบริหาร |
- | (9) อำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายหรือข้อบังคับกำหนดหรือตามที่คณะกรรมการบริหารเห็นสมควรกำหนดเพื่อการนี้ หัวหน้าพรรคจะมอบหมายเป็นหนังสือให้ผู้ดำเนินงานพรรค หรือสมาชิกที่เป็นคณะผู้บริหารคนใดคนหนึ่งหรือหลายคนทำการแทนก็ได้ |
การตรวจสอบและควบคุมหัวหน้าพรรคการเมือง
(1) การจัดทำทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง
ถ้าหัวหน้าพรรคการเมืองไม่แจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพ และที่อยู่ของสมาชิก ให้นายทะเบียนทราบภายในวันที่เจ็ดของทุกสามเดือน หรือไม่สรุปยอดจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดในรอบปีให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปี นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งภายในระยะเวลาที่กำหนด (มาตรา 19)
(2) การฝ่าฝืนนโยบายพรรคการเมืองหรือข้อบังคับพรรคการเมือง
นายทะเบียนมีอำนาจเตือนเป็นหนังสือให้หัวหน้าพรรคการเมือง ระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำนั้นภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด ถ้าคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองไม่ปฏิบัติตามคำเตือน ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำดังกล่าว หรือให้หัวหน้าพรรคการเมืองออกจากตำแหน่งได้ และในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ออกจากตำแหน่ง ผู้นั้นไม่มีสิทธิเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองอีกเว้นแต่จะพ้นกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง (มาตรา 31)
(3) การถอดถอนหัวหน้าพรรคการเมือง
สมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ หรือไม่น้อยกว่า 10,000 คน แล้วแต่จำนวนใดจะน้อยกว่ากัน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนหัวหน้าพรรคการเมือง ออกจากตำแหน่งได้ โดยให้จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคการเมืองภายใน 30 วันนับแต่วันที่คำร้องขอไปถึงพรรคการเมืองมติให้ถอดถอนต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 ของจำนวนผู้ที่เข้าประชุมใหญ่วิสามัญ โดยให้ลงคะแนนลับ
ในกรณีที่หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดถูกถอดถอน ให้ที่ประชุมใหญ่ดำเนินการเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งนั้น การดำเนินการตามมาตรานี้ให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในวาระการดำรงตำแหน่งของหัวหน้าพรรคการเมือง แต่ในกรณีที่หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การถอดถอนผู้นั้น ตามหลักเกณฑ์นี้ไม่ได้ (มาตรา 32)
(4) การแสดงบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
หัวหน้าพรรคการเมืองต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะพร้อมสำเนาหลักฐานที่พิสูจน์ความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สิน ตามแบบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด ภายใน 30 วันนับแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง และภายใน 30 วันนับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ ถูกยุบหรือนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง แล้วแต่กรณี รวมทั้งสำเนาแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมาให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงต่อนายทะเบียน ทั้งนี้ในกรณีที่หัวหน้าพรรคการเมืองได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมายอื่นแล้ว อาจส่งสำเนาบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นไว้ตามกฎหมายอื่นนั้นต่อนายทะเบียนแทนก็ได้ (มาตรา 49)
(5) การรับเงินบริจาคพรรคการเมือง
-ห้ามมิให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ซึ่งเป็นการบริจาคโดยไม่ปรากฏชื่อผู้บริจาคหรือที่บริจาคให้ตนเป็นส่วนตัว (มาตรา 56)
-ห้ามมิให้หัวหน้าพรรคการเมืองรับบริจาคจากบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเกินกว่า 10,000,000 บาทต่อปี (มาตรา 59)
-เมื่อมีการบริจาคแก่พรรคการเมือง ให้หัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งเป็นผู้ที่รับบริจาค ต้องจัดทำบันทึกการรับบริจาคไว้เป็นหลักฐานและจัดส่งบันทึกการรับบริจาคของพรรคการเมืองพร้อมเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ รวมทั้งเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ให้แก่พรรคการเมือง เพื่อนำส่งเข้าบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาคของพรรคการเมืองไว้ก่อนภายใน 7 นับแต่วันที่ได้รับบริจาค
เมื่อพรรคการเมืองได้รับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากการบริจาคแล้ว ให้ลงรายการการรับบริจาคในบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาคของพรรคการเมืองให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่วันที่รายการนั้นเกิดขึ้น และให้จัดส่งใบเสร็จรับเงิน หรือหลักฐานการรับบริจาคให้แก่ ผู้บริจาคภายใน 7 วันนับแต่วันที่ออกใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานการรับบริจาค ในกรณีที่มีการบริจาคให้แก่พรรคการเมือง ให้หัวหน้าพรรคการเมืองจัดทำประกาศบัญชี
รายชื่อผู้บริจาค และจำนวนเงิน รายการทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ที่
ได้รับบริจาคในแต่ละสัปดาห์ ให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงให้แล้วเสร็จภายในวันทำการวันแรกของสัปดาห์ถัดมา แล้วปิดประกาศไว้โดยเปิดเผย ณ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรคการเมืองเป็นเวลา ไม่น้อยกว่า 15 วัน และจัดส่งประกาศดังกล่าวให้นายทะเบียนทราบภายใน 7 วันนับแต่วันที่ประกาศ (มาตรา 60)
-ในกรณีการบริจาคเป็นเงินสด ให้หัวหน้าพรรคการเมืองนำไปฝากไว้ในบัญชีธนาคารพาณิชย์ ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับการบริจาคแล้วออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้บริจาคไว้เป็นหลักฐานภายในวันที่ได้รับบันทึกการบริจาค ในกรณีการบริจาคเงินเป็นตั๋วแลกเงินหรือเช็คขีดคร่อม ให้หัวหน้าพรรคการเมืองและเหรัญญิกพรรคการเมืองนำส่งเข้าบัญชีเงินฝาก เมื่อตั๋วแลกเงินหรือเช็คขีดคร่อมไม่ถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน ให้พรรคการเมืองออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้บริจาคไว้เป็นหลักฐานภายในวันที่ที่มีรายการนั้นเกิดขึ้น (มาตรา 63)
-ให้หัวหน้าพรรคการเมืองเปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์โดยระบุชื่อเจ้าของบัญชีในนามของพรรคการเมืองนั้น และให้หัวหน้าพรรคการเมืองแจ้งหมายเลขบัญชีของบัญชีเงินฝากและจำนวนเงินที่เปิดบัญชีของทุกบัญชีพร้อมทั้งส่งสำเนาบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์รับรองแก่นายทะเบียนภายใน 7 วันนับแต่วันที่เปิดบัญชีดังกล่าว (มาตรา 64)
- ในกรณีที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ ตามบทบัญญัติในหมวดนี้เว้นแต่กรณีมีการควบรวมพรรคการเมือง ให้หัวหน้าพรรคการเมืองส่งบัญชีและงบดุลรวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการเงินของพรรคการเมืองภายใน 30 วันนับแต่วันที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียน ถ้าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินชำระบัญชีไม่เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ขอขยายเวลาได้อีกไม่เกิน 6 เดือน และให้หัวหน้าพรรคการเมืองยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่จนกว่าการชำระบัญชีจะแล้วเสร็จ แต่จะไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในนามพรรคการเมืองที่สิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ ได้ (มาตรา 96)
การกำหนดบทลงโทษหัวหน้าพรรคการเมือง
โทษทางอาญา
- ในกรณีที่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดฝ่าฝืนไม่ควบคุมหรือมิได้ยับยั้งให้สมาชิกหรือผู้ซึ่งพรรคการเมืองส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้งไม่กระทำการ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบ หรือประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 105)
- หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดจัดทำทะเบียนสมาชิกอันเป็นเท็จ โดยไม่จัดทำทะเบียนสมาชิกให้ตรงตามความเป็นจริงเก็บรักษาไว้ ณ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรคการเมือง และพร้อมที่จะให้นายทะเบียนหรือผู้ซึ่งนายทะเบียนมอบหมายตรวจสอบได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 106)
- หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะพร้อมสำเนาหลักฐานที่พิสูจน์ความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินในวันที่เข้ารับตำแหน่งวันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือถูกยุบ หรือวันที่พ้นจากตำแหน่ง แล้วแต่กรณี รวมทั้งสำเนาแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา ในวันยื่นให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงต่อนายทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง ภายใน30วันนับแต่วันที่สภาผู้แทน ราษฎรสิ้นอายุ หรือถูกยุบหรือภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 112)
-หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใด ฝ่าฝืนรับบริจาคจากบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเกินกว่าจำนวน 10,000,000,000 บาทต่อปี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 115)
-หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนรับบริจาคเพื่อกระทำการหรือสนับสนุนการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักรราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน หรือกระทำการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการอันเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 40,000บาท – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 5 ปี (มาตรา 116)
-ในกรณีที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ และหัวหน้าพรรคการเมืองไม่ดำเนินการส่งบัญชีและงบดุลรวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการเงินของพรรคการเมืองภายใน 30 วันนับแต่วันที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(มาตรา 121)
โทษทางปกครอง
- หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใด ไม่แจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่ออาชีพและที่อยู่ของสมาชิก ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนด ให้นายทะเบียนทราบภายในวันที่เจ็ด ของทุกสามเดือน และให้สรุปยอดจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดในรอบปีให้นายทะเบียนทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปี หรือไม่รายงานการใช้จ่ายเงิน และการลงรายละเอียดของรายการค่าใช้จ่าย ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน 50,000 บาท (มาตรา 123)
- หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใด
(1)ไม่ส่งรายงานหรือเอกสารเกี่ยวกับการที่พรรคการเมืองมีมติให้สมาชิกสิ้นสุดสมาชิกภาพตามข้อบังคับพรรคการเมืองเพราะกระทำผิดวินัยหรือจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง หรือมีเหตุร้ายแรงอื่นไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร (ถ้าสมาชิกผู้นั้นดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย) และนายทะเบียนภายใน 7 วันนับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติให้สมาชิกสิ้นสุดสมาชิกภาพ
(2)ไม่ส่งหนังสือแจ้งการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองต่อนายทะเบียนภายใน 15 วันนับแต่วันที่จัดตั้งสาขาพรรคการเมืองนั้น
(3)ไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายพรรคการเมือง ข้อบังคับพรรคการเมืองหรือรายการชื่อ อาชีพ ที่อยู่ และลายมือชื่อของกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่จดแจ้งไว้กับนายทะเบียน
(4) ไม่ส่งงบการเงินซึ่งที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองอนุมัติแล้วต่อนายทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมืองอนุมัติพร้อมทั้งสำเนาบัญชีต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน 50,000 บาทและต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาทตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ทั้งนี้หากหัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำเตือนของนายทะเบียนเพื่อให้ดำเนินการดังกล่าว ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน 100,000 บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ 1,000 บาทตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา 124)
-หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนซึ่งสั่งให้มีการเรียกประชุมใหญ่พรรคการเมืองเป็นครั้งแรกภายใน 60 วัน หรือไม่จัดให้มีบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาค ไม่เปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์โดยระบุชื่อเจ้าของบัญชีในนามของพรรคการเมืองนั้น และ หมายเลขบัญชีของบัญชีเงินฝากและจำนวนเงินที่เปิดบัญชีของทุกบัญชีพร้อมทั้งส่งสำเนาบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์รับรองแก่นายทะเบียนภายใน 7 วันนับแต่วันที่เปิดบัญชีดังกล่าว รวมทั้งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการดำเนินการตามมาตรการและวิธีการควบคุมการได้รับการบริจาคของพรรคการเมืองต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน 100,000 บาท (มาตรา 127)
- หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใด ไม่นำเงินบริจาคที่เป็นเงินสด หรือเงินบริจาคที่เป็นตั๋วแลกเงินหรือเช็คขีดคร่อมซึ่งไม่ถูกปฏิเสธการจ่ายเงินนำไปฝากไว้ในบัญชีธนาคารพาณิชย์ ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับการบริจาคแล้วออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้บริจาคไว้เป็นหลักฐานภายในวันที่ได้รับบันทึกการบริจาคหรือวันที่ที่มีรายการนั้นเกิดขึ้น หรือดำเนินใช้จ่ายเงิน หรือจำหน่ายทรัพย์สินของพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด ต้องชำระค่าปรับทางปกครองเท่ากับหรือไม่เกินสองเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้รับบริจาค (มาตรา 128)
- ในกรณีที่พรรคการเมืองใดได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ไปแล้วและไม่จัดทำแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินของพรรคการเมืองในแต่ละปี ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด หรือในกรณีที่ ภายหลังปรากฏว่ามีเหตุที่พรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ต้องเลิก หรือยุบพรรคการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองนั้นต้องคืนเงินสนับสนุนแก่กองทุนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด หากต่อมาได้รับคำเตือนจากนายทะเบียนแล้วยังฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำเตือนนั้น ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกินสองเท่าของเงินสนับสนุนและดอกเบี้ยตามกฎหมายที่ต้องคืนให้แก่กองทุน (มาตรา 130) ซึ่งตามกฎหมายกำหนดให้หัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นร่วมรับผิดชอบชดใช้เงินคืนแก่กองทุนอย่างลูกหนี้ร่วม (มาตรา 86)
หัวหน้าพรรคการเมือง กับ ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินบทบาททางการเมืองของพรรคการเมืองไทย
ในฐานะที่เป็นชนชั้นนำของพรรคการเมือง ทั้งในแง่ของการกำหนดทิศทางของพรรคและการเป็นผู้จัดหาหรือเป็นแหล่งทุนสำคัญของพรรค ส่วนใหญ่หัวหน้าพรรคมักเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรคการเมืองโดยการชักชวนหรือร่วมมือกับเครือข่ายความสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ เช่น เครือญาติ เพื่อน เป็นต้น ทั้งนี้จากประวัติศาสตร์พรรคการเมืองไทยที่ผ่านมา เมื่อคนเหล่านี้มีบทบาทในการตัดสินใจเกือบทุกเรื่องเกี่ยวกับพรรค จนมีพฤติกรรมไปในลักษณะเป็น “เจ้าของพรรค” ทำให้มีข้อจำกัดหลายด้านในการดำเนินบทบาทของพรรค และยิ่งชนชั้นนำของพรรคมีแนวความคิดที่มุ่งเอาชนะเลือกตั้งเพื่อหาทางเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลเป็นหลัก ไม่สนใจในการขยายแนวคิดทางการเมืองและนโยบายพรรคออกไปสู่กลุ่มคนในท้องถิ่นต่างๆ เพื่อหาทางสร้างรากฐานของพรรคให้เข้มแข็ง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามมา ก็คือ การแข่งขันในการเลือกตั้งของชนชั้นนำในแต่ละพรรคทั้งหลายที่จะต้องเอาชนะให้ได้ ทั้งในแง่ของการละเมิดกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีงามของสังคม และเมื่อมีโอกาสเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลก็มักดำเนินบทบาทไปในทางแสวงหา หรือ รักษาผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ทั้งในด้านการเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมืองและการหาทางเอาชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไป เพื่อกลับเข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองต่อไปอีก รวมทั้งผลประโยชน์อื่นที่เกิดมาจากการมีตำแหน่งทางการเมืองดังกล่าว
อย่างไรก็ดี บทบาทเหล่านี้มีส่วนโดยตรงต่อการเกิดปัญหาความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ ทั้งความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำในพรรคเดียวกัน ระหว่างสองพรรคขึ้นไป และระหว่างชนชั้นนำของพรรคกับบุคคลหรือกลุ่มผลประโยชน์อื่นในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้นำทหารและข้าราชการจนในที่สุดก็นำไปสู่รัฐประหาร และการหมดบทบาทของพรรคการเมือง
ตัวอย่างหัวหน้าพรรคการเมืองไทย
- หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
นายควง อภัยวงศ์ พ.ศ. 2489-2511
ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช พ.ศ. 2511-2522
พ.อ.ถนัด คอมันตร์ พ.ศ. 2522-2525
นายพิชัย รัตตกุล พ.ศ. 2525-2534
นายชวน หลีกภัย พ.ศ. 2534-2546
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน พ.ศ. 2546-2548
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พ.ศ. 2548-ปัจจุบัน
- หัวหน้าพรรคชาติไทย
พลตรีประมาณ อดิเรกสาร พ.ศ. 2517 - 2529
พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ พ.ศ. 2529-2534
พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ พ.ศ. 2534-2535
พลตำรวจเอกประมาณ อดิเรกสาร พ.ศ. 2535-2537
นายบรรหาร ศิลปอาชา พ.ศ. 2537 - 2551
ที่มา
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550
ทวี สุรฤทธิกุล และ เสนีย์ คำสุข,”หน่วยที่ 7 โครงสร้างและกลไกของพรรคการเมืองไทยในปัจจุบัน” ในเอกสารการสอนชุดวิชา สถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย หน่วยที่ 1-8.สาขาวิชา รัฐศาสตร์ : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2548 หน้า 505-506.
เวปไซต์ศูนย์ข้อมูลการเมืองไทย.“พรรคชาติไทย” http://politicalbase.in.th
เวปไซต์พรรคพลังประชาชน http://www.ptp.or.th/about/rule06.aspx
เวปไซต์พรรคประชาธิปัตย http://www.democrat.or.th/rule/rule_4.htm และ http://www.democrat.or.th/history.htm