ผลต่างระหว่างรุ่นของ "รัฐพิธี"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง :''' ดีณห์ โอเจริญ '''ผู้ทรงคุณวุฒิปร...'
 
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 7: บรรทัดที่ 7:




ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยให้ความสำคัญในเรื่องการเข้าร่วมพิธีต่างๆ ต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมแก่ฐานะตามสถานการณ์โดยถือปฏิบัติกันเป็นแบบแผนการวางตัวในการเข้าสังคมไว้อันเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บุคคลแต่ละฐานะในสังคมล้วนมีวิธีปฏิบัติในแต่ละเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพระราชพิธี รัฐพิธี และในโอกาสต่างๆ โดยกำหนดไว้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งผู้บริหารระดับสูงของประเทศ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงข้าราชการต้องให้ความสำคัญในการวางตัวและประพฤติตนตามแบบแผนเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ยกย่องของบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ ในหนึ่งปีจะมีการจัดพระราชพิธีและรัฐพิธีขึ้นอยู่เป็นประจำหลายงานซึ่งรัฐพิธีในแต่ละงานล้วนแล้วแต่มีความสำคัญแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์และวาระโอกาส อาทิเช่น รัฐพิธีถวายราชสักการะสมเด็จ        พระนเรศวรมหาราช รัฐพิธีถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์ รัฐพิธีวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรัฐพิธีที่มีความสำคัญแต่ไม่ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ได้แก่ รัฐพิธีเสด็จพระราชดำเนินเปิดประชุมรัฐสภาหรือเรียกโดยย่อว่ารัฐพิธีเปิดประชุมสภาซึ่งจัดขึ้นหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและได้มีการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสมัยประชุมรัฐสภา
ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยให้ความสำคัญในเรื่องการเข้าร่วมพิธีต่างๆ ต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมแก่ฐานะตามสถานการณ์โดยถือปฏิบัติกันเป็นแบบแผนการวางตัวในการเข้าสังคมไว้อันเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บุคคลแต่ละฐานะในสังคมล้วนมีวิธีปฏิบัติในแต่ละเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพระราชพิธี รัฐพิธี และในโอกาสต่างๆ โดยกำหนดไว้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งผู้บริหารระดับสูงของประเทศ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงข้าราชการต้องให้ความสำคัญในการวางตัวและประพฤติตนตามแบบแผนเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ยกย่องของบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ ในหนึ่งปีจะมีการจัดพระราชพิธีและรัฐพิธีขึ้นอยู่เป็นประจำหลายงานซึ่งรัฐพิธีในแต่ละงานล้วนแล้วแต่มีความสำคัญแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์และวาระโอกาส อาทิเช่น รัฐพิธีถวายราชสักการะสมเด็จ        พระนเรศวรมหาราช รัฐพิธีถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์ รัฐพิธีวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรัฐพิธีที่มีความสำคัญแต่ไม่ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ได้แก่ [[รัฐพิธีเสด็จพระราชดำเนินเปิดประชุมรัฐสภา]]หรือเรียกโดยย่อว่า[[รัฐพิธีเปิดประชุมสภา]]ซึ่งจัดขึ้นหลัง[[การเลือกตั้ง]][[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]และได้มีการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด[[สมัยประชุมรัฐสภา]]




== ความหมายของรัฐพิธี ==
== ความหมายของรัฐพิธี ==
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้นิยามคำว่า “รัฐ” หมายถึง “แคว้น เช่น        รัฐปาหัง, บ้านเมือง เช่น กฎหมายสูงสุดของรัฐ, ประเทศ เช่น รัฐวาติกัน” “พิธี” หมายถึง “งานที่จัดขึ้นตามลัทธิหรือความเชื่อถือตามขนบธรรมเนียมประเพณีเพื่อความขลังหรือความเป็นสิริมงคล เช่น พระราชพิธี        จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พิธีมงคลสมรส พิธีประสาทปริญญา แบบอย่าง ธรรมเนียม เช่น ทำให้ถูกพิธี          การกำหนด เป็นต้น” “รัฐพิธี” หมายถึง “งานที่จัดขึ้นโดยรัฐเป็นธรรมเนียม”  
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้นิยามคำว่า “รัฐ” หมายถึง “แคว้น เช่น        รัฐปาหัง, บ้านเมือง เช่น กฎหมายสูงสุดของรัฐ, ประเทศ เช่น รัฐวาติกัน” “พิธี” หมายถึง “งานที่จัดขึ้นตามลัทธิหรือความเชื่อถือตามขนบธรรมเนียมประเพณีเพื่อความขลังหรือความเป็นสิริมงคล เช่น พระราชพิธี        จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พิธีมงคลสมรส พิธีประสาทปริญญา แบบอย่าง ธรรมเนียม เช่น ทำให้ถูกพิธี          การกำหนด เป็นต้น” “รัฐพิธี” หมายถึง “งานที่จัดขึ้นโดยรัฐเป็นธรรมเนียม”<ref>ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, 2546. หน้า 788, 941. </ref>
“รัฐ” (State) หมายถึง สังคมการเมืองขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยดินแดนหรืออาณาเขตอันแน่ชัดและราษฎรหรือสมาชิกของสังคมการเมืองนั้นๆ ตลอดจนอำนาจทางการเมืองการปกครอง ในอันที่จะรักษารัฐนั้นไว้ให้ดำรงต่อไปได้ มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ดินแดน ราษฎร อำนาจอธิปไตย รัฐบาล  รัฐในฐานะเป็นสังคมการเมือง หมายถึง ประเทศเอกราชที่มีประชากรจำนวนมากพอที่จะประกอบกันเป็นสังคมการเมือง มีดินแดนและเขตแดนที่แน่นอน มีอำนาจอธิปไตยและมีองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยปกครองราษฎรในเขตแดนนั้น ทั้งนี้ รัฐในฐานะแยกต่างหากจากราษฎรยังหมายถึงฝ่ายปกครองที่ประกอบด้วยองค์กรและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
“รัฐ” (State) หมายถึง สังคมการเมืองขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยดินแดนหรืออาณาเขตอันแน่ชัดและราษฎรหรือสมาชิกของสังคมการเมืองนั้นๆ ตลอดจนอำนาจทางการเมืองการปกครอง ในอันที่จะรักษารัฐนั้นไว้ให้ดำรงต่อไปได้ มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ดินแดน ราษฎร อำนาจอธิปไตย รัฐบาล <ref>ศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์. กฎหมายปกครอง. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2552. หน้า 59. </ref> รัฐในฐานะเป็นสังคมการเมือง หมายถึง ประเทศเอกราชที่มีประชากรจำนวนมากพอที่จะประกอบกันเป็นสังคมการเมือง มีดินแดนและเขตแดนที่แน่นอน มีอำนาจอธิปไตยและมีองค์กรที่ใช้[[อำนาจอธิปไตย]]ปกครองราษฎรในเขตแดนนั้น ทั้งนี้ รัฐในฐานะแยกต่างหากจากราษฎรยังหมายถึงฝ่ายปกครองที่ประกอบด้วยองค์กรและเจ้าหน้าที่ของรัฐ<ref>พรชัย รัศมีแพทย์. หลักกฎหมายการปกครองท้องถิ่นไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,  2541.  หน้า 11. </ref>
“พิธี” (Ceremony) หมายถึง “งานที่ผู้ใดก็ตามจัดขึ้นตามลัทธิ ตลอดจนแบบอย่างธรรมเนียมประเพณี การปฏิบัติของในแต่ละสังคมและท้องถิ่น อาทิเช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ พิธีอุปสมบท อย่างไรก็ตามมีพิธีสำคัญของพระมหากษัตริย์หรือรัฐบาลแต่มิได้กำหนดเป็นพระราชพิธีหรือรัฐพิธี เช่น พิธีรับรองพระราชอาคันตุกะและพิธีรับรองผู้นำหรือประมุขของต่างประเทศที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล เป็นต้น”  
 
“พิธี” (Ceremony) หมายถึง “งานที่ผู้ใดก็ตามจัดขึ้นตามลัทธิ ตลอดจนแบบอย่างธรรมเนียมประเพณี การปฏิบัติของในแต่ละสังคมและท้องถิ่น อาทิเช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ พิธีอุปสมบท อย่างไรก็ตามมีพิธีสำคัญของพระมหากษัตริย์หรือรัฐบาลแต่มิได้กำหนดเป็นพระราชพิธีหรือรัฐพิธี เช่น พิธีรับรองพระราชอาคันตุกะและพิธีรับรองผู้นำหรือประมุขของต่างประเทศที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล เป็นต้น”<ref>สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. ข้อพึงปฏิบัติในการเข้าเฝ้าทูลละอองทุลีพระบาท. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา, 2543. </ref>
“รัฐพิธี” (The State Ceremony) หมายถึง งานหรือพิธีที่รัฐบาลกราบบังคมทูลขอพระมหากรุณาธิคุณเพื่อทรงรับไว้เป็นงานรัฐพิธี มีหมายกำหนดการซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานในพิธี หรือจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้แทนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานโดยมีคณะบุคคลเฝ้ารับเสด็จ  
“รัฐพิธี” (The State Ceremony) หมายถึง งานหรือพิธีที่รัฐบาลกราบบังคมทูลขอพระมหากรุณาธิคุณเพื่อทรงรับไว้เป็นงานรัฐพิธี มีหมายกำหนดการซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานในพิธี หรือจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้แทนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานโดยมีคณะบุคคลเฝ้ารับเสด็จ<ref>สุเทพ เอี่ยมคง. “รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา” วารสารวิชาการด้านสังคม. ปีที่ 3 ฉบับที่ 6 (ม.ค.-มี.ค. 2548). </ref>




บรรทัดที่ 23: บรรทัดที่ 24:


“พระราชพิธี” หมายถึง พิธีการที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามที่เป็นแบบแผน ราชประเพณีสืบมาแต่โบราณหรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดขึ้น พระราชพิธีที่เป็น      การประจำตามเทศกาลที่ได้ทำกันในสมัยรัตนโกสินทร์นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นต้นมา
“พระราชพิธี” หมายถึง พิธีการที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามที่เป็นแบบแผน ราชประเพณีสืบมาแต่โบราณหรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดขึ้น พระราชพิธีที่เป็น      การประจำตามเทศกาลที่ได้ทำกันในสมัยรัตนโกสินทร์นับตั้งแต่สมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]]เป็นต้นมา<ref>พระราชพิธีและรัฐพิธีประจำปี. สารานุกรมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา :  http://www.haii.or.th/wiki84/ index.php/พระราชพิธี</ref>


โดยที่พระราชพิธีต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยจนกระทั่งเหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการบริหารราชการบ้านเมือง มีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบ บรรดากิจการที่จะต้องทำเป็นงานพิธีที่รัฐบาลหรือกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานราชการอื่นๆ เป็นผู้ริเริ่มจัดขึ้นได้บัญญัติให้เรียกว่ารัฐพิธีหมายถึงงานของรัฐจัดขึ้นโดยมีคณะรัฐบาลหรือหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบในการจัดงาน โดยอาจกราบบังคมทูลขอพระราชทานเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงเป็นประธานในรัฐพิธีหรืออาจเชิญบุคคลสำคัญมาเป็นประธานในงานรัฐพิธีตามแต่  ความเหมาะและความสำคัญของงานรัฐพิธีนั้น งานพระราชพิธีและรัฐพิธีที่กำหนดไว้ว่าต้องจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีจะระบุไว้ในปฏิทินหลวงซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้      สำนักพระราชวังจัดพิมพ์สำหรับพระราชทานสำหรับความสุขปีใหม่แก่ผู้ที่มาลงนามถวายพระพรชัยมงคล  เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่
โดยที่พระราชพิธีต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยจนกระทั่งเหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก[[ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์]]มาเป็น[[ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมากษัตริย์ทรงเป็นประมุข]] มี[[รัฐธรรมนูญ]]เป็นหลักในการบริหารราชการบ้านเมือง มี[[นายกรัฐมนตรี]]และ[[คณะรัฐมนตรี]]เป็นผู้รับผิดชอบ บรรดากิจการที่จะต้องทำเป็นงานพิธีที่รัฐบาลหรือกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานราชการอื่นๆ เป็นผู้ริเริ่มจัดขึ้นได้บัญญัติให้เรียกว่ารัฐพิธีหมายถึงงานของรัฐจัดขึ้นโดยมีคณะ[[รัฐบาล]]หรือหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบในการจัดงาน โดยอาจกราบบังคมทูลขอพระราชทานเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงเป็นประธานในรัฐพิธีหรืออาจเชิญบุคคลสำคัญมาเป็นประธานในงานรัฐพิธีตามแต่  ความเหมาะและความสำคัญของงานรัฐพิธีนั้น งานพระราชพิธีและรัฐพิธีที่กำหนดไว้ว่าต้องจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีจะระบุไว้ในปฏิทินหลวงซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้      สำนักพระราชวังจัดพิมพ์สำหรับพระราชทานสำหรับความสุขปีใหม่แก่ผู้ที่มาลงนามถวายพระพรชัยมงคล  เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่


จากประวัติความเป็นมาในข้างต้นสามารถสรุปความแตกต่างของพระราชพิธีกับรัฐพิธีได้คือ        พระราชพิธีมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้กำหนด ส่วนรัฐพิธีมีรัฐบาลเป็นฝ่ายกำหนดแล้วขอพระราชทานอัญเชิญพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนิน
จากประวัติความเป็นมาในข้างต้นสามารถสรุปความแตกต่างของพระราชพิธีกับรัฐพิธีได้คือ        พระราชพิธีมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้กำหนด ส่วนรัฐพิธีมีรัฐบาลเป็นฝ่ายกำหนดแล้วขอพระราชทานอัญเชิญพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนิน
บรรทัดที่ 31: บรรทัดที่ 32:
== รัฐพิธีประจำปี ==
== รัฐพิธีประจำปี ==
การจัดรัฐพิธีในหนึ่งปี  มีดังต่อไปนี้
การจัดรัฐพิธีในหนึ่งปี<ref>สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐสภาไทยใต้ร่มพระบารมี ๖๐ ปี ทรงครองราชย์. กรุงเทพฯ: สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2549. </ref> มีดังต่อไปนี้


'''มกราคม''' รัฐพิธีถวายราชสักการะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (วันกองทัพไทย) ณ พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี วันที่ 25 มกราคม
'''มกราคม''' รัฐพิธีถวายราชสักการะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (วันกองทัพไทย) ณ พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี วันที่ 25 มกราคม
บรรทัดที่ 43: บรรทัดที่ 44:
== รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ==
== รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ==
รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา หมายความถึง สภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทน พฤฒสภา (สภาสูงหรือ   สภาอวุโส ในรัฐสภาชุดที่ 6 ของประเทศไทย) สภาร่างรัฐธรรมนูญ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสภาที่เรียกชื่ออื่นที่ทำหน้าที่ในฐานะรัฐสภาซึ่งมีชื่อแตกต่างกันไปตามรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ กล่าวคือ รัฐเป็นฝ่ายดำเนินการโดยมีพระมหากษัตริย์หรือพระรัชทายาทหรือผู้แทนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานเพื่อเป็นการพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้แทนของปวงชนชาวไทยเข้าเฝ้าฯ อย่างเป็นทางการก่อนปฏิบัติหน้าที่
รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา หมายความถึง [[สภาผู้แทนราษฎร]] [[สภาผู้แทน]] [[พฤฒสภา]] ([[สภาสูง]]หรือ   [[สภาอวุโส]] ใน[[รัฐสภา]]ชุดที่ 6 ของประเทศไทย) [[สภาร่างรัฐธรรมนูญ]] และ[[สภานิติบัญญัติแห่งชาติ]] หรือสภาที่เรียกชื่ออื่นที่ทำหน้าที่ในฐานะรัฐสภาซึ่งมีชื่อแตกต่างกันไปตามรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ กล่าวคือ รัฐเป็นฝ่ายดำเนินการโดยมีพระมหากษัตริย์หรือพระรัชทายาทหรือผู้แทนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานเพื่อเป็นการพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้แทนของปวงชนชาวไทยเข้าเฝ้าฯ อย่างเป็นทางการก่อนปฏิบัติหน้าที่


รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งถือเป็นราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาโดยพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานให้แก่สมาชิกรัฐสภาถือเป็นสิ่งสำคัญที่สมาชิกรัฐสภาต้องยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนและประเทศชาติอย่างสูงสุด ในอดีตรัฐพิธีเปิดประชุมสภาเริ่มมีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2476 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต่อมา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2475 โดยอาศัยราชประเพณีที่ถือปฏิบัติมาใช้เพื่อการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรซึ่งขณะนั้นยังไม่มีบทบัญญัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับรัฐพิธีเปิดประชุมสภา โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน กระแสรับสั่งให้เจ้าพระยามหิธรเสนาบดี กระทรวงมุรธาธรอัญเชิญไปอ่านเปิดการประชุม
รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งถือเป็นราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาโดยพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานให้แก่[[สมาชิกรัฐสภา]]ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สมาชิกรัฐสภาต้องยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนและประเทศชาติอย่างสูงสุด ในอดีตรัฐพิธีเปิดประชุมสภาเริ่มมีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ [[10 ธันวาคม 2476]] ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]] หลังจากที่ได้มี[[การเปลี่ยนแปลงการปกครอง]]เมื่อปี พ.ศ. 2475 จาก[[ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์]]มาเป็น[[ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข]] ต่อมา ใน[[การประชุมสภาผู้แทนราษฎร]]ครั้งแรกเมื่อวันที่ [[28 มิถุนายน 2475]] โดยอาศัยราชประเพณีที่ถือปฏิบัติมาใช้เพื่อการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรซึ่งขณะนั้นยังไม่มีบทบัญญัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับรัฐพิธีเปิดประชุมสภา โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน กระแสรับสั่งให้[[เจ้าพระยามหิธรเสนาบดี]] กระทรวงมุรธาธรอัญเชิญไปอ่านเปิดการประชุม


รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาถือเป็นพิธีการที่สำคัญของรัฐสภาซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  หลายฉบับในอดีตได้บัญญัติเกี่ยวกับรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาไว้คล้ายคลึงกันในเรื่ององค์ประธานผู้กระทำพิธี เปิดประชุมแต่สาระในการประกอบรัฐพิธีมีความแตกต่างกัน เช่น ไม่ได้บัญญัติว่าให้กระทำรัฐพิธีในการ      เปิดประชุมสมัยใด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติโดยกระทำรัฐพิธีเปิดประชุมทุกครั้งที่เป็นการประชุมสมัยสามัญ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 10 เป็นต้นมาได้มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าให้กระทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยสามัญประจำปีครั้งแรกภายหลังจากที่ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในปัจจุบัน
รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาถือเป็นพิธีการที่สำคัญของรัฐสภาซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  หลายฉบับในอดีตได้บัญญัติเกี่ยวกับรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาไว้คล้ายคลึงกันในเรื่ององค์ประธานผู้กระทำพิธี เปิดประชุมแต่สาระในการประกอบรัฐพิธีมีความแตกต่างกัน เช่น ไม่ได้บัญญัติว่าให้กระทำรัฐพิธีในการ      เปิดประชุมสมัยใด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติโดยกระทำรัฐพิธีเปิดประชุมทุกครั้งที่เป็นการประชุมสมัยสามัญ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517]] ซึ่งเป็น[[รัฐธรรมนูญฉบับที่ 10]] เป็นต้นมาได้มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าให้กระทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยสามัญประจำปีครั้งแรกภายหลังจากที่ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็น[[การเลือกตั้งทั่วไป]]ในปัจจุบัน


รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาของประเทศไทยได้กระทำขึ้นรวมทั้งสิ้น 57 ครั้ง มีดังต่อไปนี้
รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาของประเทศไทยได้กระทำขึ้นรวมทั้งสิ้น 57 ครั้ง มีดังต่อไปนี้
บรรทัดที่ 53: บรรทัดที่ 54:
-  โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 1 ครั้ง
-  โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 1 ครั้ง


โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จำนวน 2 ครั้ง
โดย[[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล]] จำนวน 2 ครั้ง


โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จำนวน 33 ครั้ง
โดย[[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช]] จำนวน 33 ครั้ง


โดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือผู้สำเร็จราชการแทน จำนวน 18 ครั้ง
โดย[[คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์]]หรือ[[ผู้สำเร็จราชการแทน]] จำนวน 18 ครั้ง


-  โดยผู้แทนพระองค์ จำนวน 3 ครั้ง
-  โดยผู้แทนพระองค์ จำนวน 3 ครั้ง


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550  มาตรา 127 วรรคหนึ่งและมาตรา 128 ได้กำหนดเกี่ยวกับรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ดังนี้  
[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550]] <ref>สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร: กรุงเทพฯ, 2554. </ref> มาตรา 127 วรรคหนึ่งและมาตรา 128 ได้กำหนดเกี่ยวกับรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ดังนี้  


มาตรา 127 วรรคหนึ่ง “ภายในสามสิบวันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก...”
มาตรา 127 วรรคหนึ่ง “ภายในสามสิบวันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก...”
บรรทัดที่ 71: บรรทัดที่ 72:
เมื่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสร็จสิ้นลงภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรกซึ่งถือได้ว่าเป็นพิธีการอันทรงเกียรติที่สำคัญซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณของประเทศไทยที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมา ทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไปครั้งแรกด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาทซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วหรือผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์มาประกอบรัฐพิธีก็ได้
เมื่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสร็จสิ้นลงภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรกซึ่งถือได้ว่าเป็นพิธีการอันทรงเกียรติที่สำคัญซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณของประเทศไทยที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมา ทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไปครั้งแรกด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาทซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วหรือผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์มาประกอบรัฐพิธีก็ได้


การเตรียมงานรัฐพิธีในสถานการณ์ปกติซึ่งมีรัฐสภาอันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ภายหลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้วในส่วนของรัฐสภามีสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นแม่งานร่วมกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักราชเลขาธิการในการรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับรัฐพิธีร่วมกันโดยที่มีวุฒิสภาช่วยสนับสนุนและรับผิดชอบในส่วนของสมาชิกวุฒิสภา ในส่วนของการเตรียมงานรัฐพิธีในสถานการณ์ที่มีเพียงสภาเดียวกล่าวคือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสภาที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น โดยทั่วไปแล้วหน่วยงานธุรการของสภานั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบเป็นแม่งานร่วมกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยประสานงานกับสำนักราชเลขาธิการในการเตรียมงาน
การเตรียมงานรัฐพิธีในสถานการณ์ปกติซึ่งมีรัฐสภาอันประกอบด้วย[[สภาผู้แทนราษฎร]]และ[[วุฒิสภา]] ภายหลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้วในส่วนของรัฐสภามี[[สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร]]เป็นแม่งานร่วมกับ[[สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี]]และ[[สำนักราชเลขาธิการ]]ในการรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับรัฐพิธีร่วมกันโดยที่มีวุฒิสภาช่วยสนับสนุนและรับผิดชอบในส่วนของสมาชิกวุฒิสภา ในส่วนของการเตรียมงานรัฐพิธีในสถานการณ์ที่มีเพียงสภาเดียวกล่าวคือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสภาที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น โดยทั่วไปแล้วหน่วยงานธุรการของสภานั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบเป็นแม่งานร่วมกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยประสานงานกับสำนักราชเลขาธิการในการเตรียมงาน




บรรทัดที่ 81: บรรทัดที่ 82:
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5. พระราชพิธีสิบสองเดือน.      สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร: กรุงเทพฯ, 2551.
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5. พระราชพิธีสิบสองเดือน.      สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร: กรุงเทพฯ, 2551.


== อ้างอิง ==
<references/>


== บรรณานุกรม ==
== บรรณานุกรม ==

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 09:56, 23 พฤศจิกายน 2558

ผู้เรียบเรียง : ดีณห์ โอเจริญ

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง



ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยให้ความสำคัญในเรื่องการเข้าร่วมพิธีต่างๆ ต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมแก่ฐานะตามสถานการณ์โดยถือปฏิบัติกันเป็นแบบแผนการวางตัวในการเข้าสังคมไว้อันเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บุคคลแต่ละฐานะในสังคมล้วนมีวิธีปฏิบัติในแต่ละเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพระราชพิธี รัฐพิธี และในโอกาสต่างๆ โดยกำหนดไว้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งผู้บริหารระดับสูงของประเทศ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงข้าราชการต้องให้ความสำคัญในการวางตัวและประพฤติตนตามแบบแผนเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ยกย่องของบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ ในหนึ่งปีจะมีการจัดพระราชพิธีและรัฐพิธีขึ้นอยู่เป็นประจำหลายงานซึ่งรัฐพิธีในแต่ละงานล้วนแล้วแต่มีความสำคัญแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์และวาระโอกาส อาทิเช่น รัฐพิธีถวายราชสักการะสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช รัฐพิธีถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์ รัฐพิธีวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรัฐพิธีที่มีความสำคัญแต่ไม่ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ได้แก่ รัฐพิธีเสด็จพระราชดำเนินเปิดประชุมรัฐสภาหรือเรียกโดยย่อว่ารัฐพิธีเปิดประชุมสภาซึ่งจัดขึ้นหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและได้มีการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดสมัยประชุมรัฐสภา


ความหมายของรัฐพิธี

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้นิยามคำว่า “รัฐ” หมายถึง “แคว้น เช่น รัฐปาหัง, บ้านเมือง เช่น กฎหมายสูงสุดของรัฐ, ประเทศ เช่น รัฐวาติกัน” “พิธี” หมายถึง “งานที่จัดขึ้นตามลัทธิหรือความเชื่อถือตามขนบธรรมเนียมประเพณีเพื่อความขลังหรือความเป็นสิริมงคล เช่น พระราชพิธี จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พิธีมงคลสมรส พิธีประสาทปริญญา แบบอย่าง ธรรมเนียม เช่น ทำให้ถูกพิธี การกำหนด เป็นต้น” “รัฐพิธี” หมายถึง “งานที่จัดขึ้นโดยรัฐเป็นธรรมเนียม”[1]

“รัฐ” (State) หมายถึง สังคมการเมืองขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยดินแดนหรืออาณาเขตอันแน่ชัดและราษฎรหรือสมาชิกของสังคมการเมืองนั้นๆ ตลอดจนอำนาจทางการเมืองการปกครอง ในอันที่จะรักษารัฐนั้นไว้ให้ดำรงต่อไปได้ มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ดินแดน ราษฎร อำนาจอธิปไตย รัฐบาล [2] รัฐในฐานะเป็นสังคมการเมือง หมายถึง ประเทศเอกราชที่มีประชากรจำนวนมากพอที่จะประกอบกันเป็นสังคมการเมือง มีดินแดนและเขตแดนที่แน่นอน มีอำนาจอธิปไตยและมีองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยปกครองราษฎรในเขตแดนนั้น ทั้งนี้ รัฐในฐานะแยกต่างหากจากราษฎรยังหมายถึงฝ่ายปกครองที่ประกอบด้วยองค์กรและเจ้าหน้าที่ของรัฐ[3]

“พิธี” (Ceremony) หมายถึง “งานที่ผู้ใดก็ตามจัดขึ้นตามลัทธิ ตลอดจนแบบอย่างธรรมเนียมประเพณี การปฏิบัติของในแต่ละสังคมและท้องถิ่น อาทิเช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ พิธีอุปสมบท อย่างไรก็ตามมีพิธีสำคัญของพระมหากษัตริย์หรือรัฐบาลแต่มิได้กำหนดเป็นพระราชพิธีหรือรัฐพิธี เช่น พิธีรับรองพระราชอาคันตุกะและพิธีรับรองผู้นำหรือประมุขของต่างประเทศที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล เป็นต้น”[4]

“รัฐพิธี” (The State Ceremony) หมายถึง งานหรือพิธีที่รัฐบาลกราบบังคมทูลขอพระมหากรุณาธิคุณเพื่อทรงรับไว้เป็นงานรัฐพิธี มีหมายกำหนดการซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานในพิธี หรือจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้แทนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานโดยมีคณะบุคคลเฝ้ารับเสด็จ[5]


ความเป็นมาของพระราชพิธีและรัฐพิธี

“พระราชพิธี” หมายถึง พิธีการที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามที่เป็นแบบแผน ราชประเพณีสืบมาแต่โบราณหรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดขึ้น พระราชพิธีที่เป็น การประจำตามเทศกาลที่ได้ทำกันในสมัยรัตนโกสินทร์นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นต้นมา[6]

โดยที่พระราชพิธีต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยจนกระทั่งเหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการบริหารราชการบ้านเมือง มีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบ บรรดากิจการที่จะต้องทำเป็นงานพิธีที่รัฐบาลหรือกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานราชการอื่นๆ เป็นผู้ริเริ่มจัดขึ้นได้บัญญัติให้เรียกว่ารัฐพิธีหมายถึงงานของรัฐจัดขึ้นโดยมีคณะรัฐบาลหรือหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบในการจัดงาน โดยอาจกราบบังคมทูลขอพระราชทานเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จทรงเป็นประธานในรัฐพิธีหรืออาจเชิญบุคคลสำคัญมาเป็นประธานในงานรัฐพิธีตามแต่ ความเหมาะและความสำคัญของงานรัฐพิธีนั้น งานพระราชพิธีและรัฐพิธีที่กำหนดไว้ว่าต้องจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีจะระบุไว้ในปฏิทินหลวงซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สำนักพระราชวังจัดพิมพ์สำหรับพระราชทานสำหรับความสุขปีใหม่แก่ผู้ที่มาลงนามถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่

จากประวัติความเป็นมาในข้างต้นสามารถสรุปความแตกต่างของพระราชพิธีกับรัฐพิธีได้คือ พระราชพิธีมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้กำหนด ส่วนรัฐพิธีมีรัฐบาลเป็นฝ่ายกำหนดแล้วขอพระราชทานอัญเชิญพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนิน

รัฐพิธีประจำปี

การจัดรัฐพิธีในหนึ่งปี[7] มีดังต่อไปนี้

มกราคม รัฐพิธีถวายราชสักการะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (วันกองทัพไทย) ณ พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี วันที่ 25 มกราคม

มีนาคม รัฐพิธีวันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระมหาเจษฎาราชเจ้า วันที่ 31 มีนาคม

เมษายน รัฐพิธีถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์ (วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและวันที่ระลึกมหาจักรี) 6 เมษายน

ธันวาคม รัฐพิธีวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วันที่ 28 ธันวาคม

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา หมายความถึง สภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทน พฤฒสภา (สภาสูงหรือ สภาอวุโส ในรัฐสภาชุดที่ 6 ของประเทศไทย) สภาร่างรัฐธรรมนูญ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสภาที่เรียกชื่ออื่นที่ทำหน้าที่ในฐานะรัฐสภาซึ่งมีชื่อแตกต่างกันไปตามรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ กล่าวคือ รัฐเป็นฝ่ายดำเนินการโดยมีพระมหากษัตริย์หรือพระรัชทายาทหรือผู้แทนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานเพื่อเป็นการพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้แทนของปวงชนชาวไทยเข้าเฝ้าฯ อย่างเป็นทางการก่อนปฏิบัติหน้าที่

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งถือเป็นราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาโดยพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานให้แก่สมาชิกรัฐสภาถือเป็นสิ่งสำคัญที่สมาชิกรัฐสภาต้องยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนและประเทศชาติอย่างสูงสุด ในอดีตรัฐพิธีเปิดประชุมสภาเริ่มมีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2476 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต่อมา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2475 โดยอาศัยราชประเพณีที่ถือปฏิบัติมาใช้เพื่อการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรซึ่งขณะนั้นยังไม่มีบทบัญญัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับรัฐพิธีเปิดประชุมสภา โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน กระแสรับสั่งให้เจ้าพระยามหิธรเสนาบดี กระทรวงมุรธาธรอัญเชิญไปอ่านเปิดการประชุม

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาถือเป็นพิธีการที่สำคัญของรัฐสภาซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หลายฉบับในอดีตได้บัญญัติเกี่ยวกับรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาไว้คล้ายคลึงกันในเรื่ององค์ประธานผู้กระทำพิธี เปิดประชุมแต่สาระในการประกอบรัฐพิธีมีความแตกต่างกัน เช่น ไม่ได้บัญญัติว่าให้กระทำรัฐพิธีในการ เปิดประชุมสมัยใด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติโดยกระทำรัฐพิธีเปิดประชุมทุกครั้งที่เป็นการประชุมสมัยสามัญ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 10 เป็นต้นมาได้มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าให้กระทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยสามัญประจำปีครั้งแรกภายหลังจากที่ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปในปัจจุบัน

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาของประเทศไทยได้กระทำขึ้นรวมทั้งสิ้น 57 ครั้ง มีดังต่อไปนี้

- โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 1 ครั้ง

- โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จำนวน 2 ครั้ง

- โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จำนวน 33 ครั้ง

- โดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือผู้สำเร็จราชการแทน จำนวน 18 ครั้ง

- โดยผู้แทนพระองค์ จำนวน 3 ครั้ง

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 [8] มาตรา 127 วรรคหนึ่งและมาตรา 128 ได้กำหนดเกี่ยวกับรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ดังนี้

มาตรา 127 วรรคหนึ่ง “ภายในสามสิบวันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก...”

มาตรา 128 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภา ทรงเปิดและทรงปิดประชุม

พระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญทั่วไปครั้งแรกตามมาตรา 127 วรรคหนึ่ง ด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาทซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว หรือผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์ มาทำรัฐพิธีก็ได้...”

เมื่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสร็จสิ้นลงภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรกซึ่งถือได้ว่าเป็นพิธีการอันทรงเกียรติที่สำคัญซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณของประเทศไทยที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมา ทรงประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไปครั้งแรกด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาทซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วหรือผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์มาประกอบรัฐพิธีก็ได้

การเตรียมงานรัฐพิธีในสถานการณ์ปกติซึ่งมีรัฐสภาอันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ภายหลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้วในส่วนของรัฐสภามีสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นแม่งานร่วมกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักราชเลขาธิการในการรับผิดชอบดำเนินการเกี่ยวกับรัฐพิธีร่วมกันโดยที่มีวุฒิสภาช่วยสนับสนุนและรับผิดชอบในส่วนของสมาชิกวุฒิสภา ในส่วนของการเตรียมงานรัฐพิธีในสถานการณ์ที่มีเพียงสภาเดียวกล่าวคือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสภาที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น โดยทั่วไปแล้วหน่วยงานธุรการของสภานั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบเป็นแม่งานร่วมกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยประสานงานกับสำนักราชเลขาธิการในการเตรียมงาน


หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

กรมการปกครอง. คู่มือการจัดงานพระราชพิธี รัฐพิธี และงานพิธีของข้าราชการฝ่ายปกครอง. กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย: กรุงเทพฯ, 2554.

พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5. พระราชพิธีสิบสองเดือน. สำนักพิมพ์ศิลปาบรรณาคาร: กรุงเทพฯ, 2551.


อ้างอิง

  1. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, 2546. หน้า 788, 941.
  2. ศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์. กฎหมายปกครอง. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2552. หน้า 59.
  3. พรชัย รัศมีแพทย์. หลักกฎหมายการปกครองท้องถิ่นไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2541. หน้า 11.
  4. สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. ข้อพึงปฏิบัติในการเข้าเฝ้าทูลละอองทุลีพระบาท. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา, 2543.
  5. สุเทพ เอี่ยมคง. “รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา” วารสารวิชาการด้านสังคม. ปีที่ 3 ฉบับที่ 6 (ม.ค.-มี.ค. 2548).
  6. พระราชพิธีและรัฐพิธีประจำปี. สารานุกรมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา : http://www.haii.or.th/wiki84/ index.php/พระราชพิธี
  7. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐสภาไทยใต้ร่มพระบารมี ๖๐ ปี ทรงครองราชย์. กรุงเทพฯ: สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2549.
  8. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร: กรุงเทพฯ, 2554.

บรรณานุกรม

คณะกรรมการจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี. ศิลปวัฒนธรรม เล่มที่ 3 “ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมกรุงรัตนโกสินทร์”. กรมศิลปากร: กรุงเทพฯ, 2525. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 91, ตอนที่ 169. 7 ตุลาคม 2517.

สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. คู่มือเสริมสร้างความรู้และเตรียมความพร้อม เรื่อง “ควรปฏิบัติตนอย่างไร…ให้การเข้าเฝ้าฯ ถูกต้อง เรียบร้อยและงดงาม. สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร: กรุงเทพฯ, 2555.

กลุ่มงานพิพิธภัณฑ์และจดหมายเหตุ สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. เกร็ดความรู้. ออนไลน์ http://library2.parliament.go.th/museum/know.html

รัฐสภาไทย. รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา. ออนไลน์. http://www.parliament.go.th/ratpiti/ rattapite.htm

สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม. คำแนะนำในการเข้าเฝ้าฯ ในงานพระราชพิธี รัฐพิธี. ออนไลน์ http://www.thailaws.com/aboutthailaw/knowing_law_014.htm