1 มกราคม พ.ศ. 2484

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2484 เป็นวันที่คนไทยได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ของไทย จากเดิมที่ปฏิบัติกันอยู่ วันที่ 1 เมษายน มาเป็นวันที่ 1 มกราคม จึงทำให้ปี พ.ศ. 2483 มีเดือนไม่ครบจำนวน 12 เดือน เท่าที่มีบันทึกกันไว้ คนไทยได้เปลี่ยนวันขึ้นต้นปีใหม่มาก่อนหน้านี้ 3 ครั้ง

เดิมทีเดียวคนไทยนั้นนับวันข้างขึ้นข้างแรมเป็นหลัก จึงถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ซึ่งก็คือเดือนหนึ่งเป็นวันปีใหม่

ต่อมาก็เปลี่ยนมาเป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนห้า ซึ่งก็คือวันสงกรานต์ เป็นการเอาวันแรกที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีมีนมาสู่ราศีเมษ

ในปี พ.ศ. 2432 ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 เมษายน คือ เผอิญปีนั้นวันที่ 1 เมษายน ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนห้า จึงยึดเอาวันที่ 1 เมษายน เป็นหลัก เพราะคงที่ไม่ใช่ดูวันข้างแรมหรือข้างขึ้นซึ่งจะไม่ตรงกับวันที่ 1 เมษายน ทุกปีไป

มาถึง พ.ศ. 2484 ที่เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 มกราคมนั้น เป็นการคล้อยตามที่ประเทศต่าง ๆ ในโลกตะวันตกใช้ ค.ศ.

ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2483 รัฐบาลของนายพลตรีหลวง พิบูลสงคราม ได้เสนอข่าวพระราชบัญญัติ ปีปฏิทินหลวงต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยหลวงวิจิตรวาทการ รัฐมนตรีได้เป็นผู้แทนรัฐบาลแถลงเหตุผลต่อสภาผู้แทนราษฎรอย่างยืดยาว ดังที่ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ ได้บันทึกคำอภิปรายไว้ให้ปรากฏ จะขอตัดตอนมาให้อ่านพอสังเขปโดยตอนแรกอ้างถึงความเป็นมาในอดีตที่น่ารู้ว่า

“...ชาติไทยของเราตั้งแต่โบราณนั้น เราได้ขึ้นปีใหม่เมื่อเดือนอ้าย เพราะเหตุนี้เราจึงได้เรียกเดือนว่าเดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม และเดือนสี่ มาในชั้นหลังนี้ได้เกิดมีความสงสัยและมีผู้ตั้งปัญหากันอยู่เสมอว่า เพราะเหตุใดเราจึงตั้งต้นปีใหม่ด้วยเดือน 5 ซึ่งความจริงตั้งแต่โบราณนั้น เราได้ถือเดือนอ้าย และเคยมีข้อความซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่าน ทรงอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า วิธีนับปีใหม่ของไทยเราตั้งแต่โบราณนั้น ได้ถือเดือนอ้าย แรม 1 ค่ำ เป็นวันขึ้นต้นปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงอธิบายไว้ว่าจึงถือเป็นกลางปี ส่วนฤดูฝนเป็นฤดูครื้มเหมือนกลางคืน ทางโบราณจึงถือว่า เป็นปลายปี เพราะเหตุนี้จึงได้นับเดือน 1 มาตั้งแต่เดือนอ้าย...”

ในรัฐบาลตอนนั้น คุณหลวงวิจิตรวาทการก็ถือว่าเป็นผู้มีความรู้ดีเป็นนักเขียน เป็นปราชญ์ของรัฐบาล อธิบายอะไรก็น่าฟัง ได้ความรู้ดี ท่านก็ได้อภิปรายต่อไปอีกว่าได้มีการปรึกษาหารือผู้รู้ มาถึงการที่จะต้องเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ โดยมีฐานความรู้และได้มาสรุปที่เป็นข้อเสนอของรัฐบาลที่เลือกเอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ มีความว่า

“...รวมความว่าในส่วนที่รัฐบาลได้เสนอพระราชบัญญัติที่จะกำหนดปีปฏิทินนี้ คือ 1. เดิมชาติไทยเราได้เคยถือเดือนอ้ายเป็นต้นปีมาแล้ว 2. ต่อมาเราได้รับนับถือสุริยคติ ซึ่งเป็นวิธีนับเดือนปีที่ถูกต้องและเป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไป เราควรจะได้กลับไปหาเดือนอ้ายของเรา และเมื่อกลับไปหาเดือนอ้ายของเรา และเรามีความจำเป็นต้องถือสุริยคติด้วยแล้ว ก็ไม่มีวันใดวันหนึ่งที่จะเหมาะเท่ากับวันที่ 1 มกราคม รัฐบาลเชื่อว่าถ้าเราได้ตกลงถือวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่แล้ว ก็จะเป็นการอนุโลมตามจารีตประเพณีของไทยเราตั้งแต่โบราณนั้นอย่างหนึ่ง และเป็นการเข้าระดับสากล ซึ่งทำความสะดวกในการติดต่อกับต่างประเทศ ในฐานะที่เราประเทศที่มีความเจริญแล้ว ถ้าหากว่าเราได้ถืออะไรให้ตรงตามที่ถือกันโดยทั่ว ๆ ไป เราก็จะได้รับความนิยมนับถือว่าเป็นพวกที่มีความเจริญด้วย” กฎหมายนี้ผ่านสภาผู้แทนราษฎร ออกมาใช้ในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2483

รัฐบาลของพลตรีหลวงพิบูลสงครามนั้น เป็นรัฐบาลที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยมาก ได้พยายามจะทำสิ่งที่อ้างกันว่า “ทันสมัย” หรือ “เข้าระดับสากล” อยู่หลายกรณี ซึ่งผู้นำที่จะทำได้ต้องเป็นผู้นำซึ่งนอกจากจะมีความรู้ทางด้านต่าง ๆ ดีแล้ว ยังจะต้องมี ความกล้าที่จะทำการเปลี่ยนแปลงด้วย และในเรื่องต่าง ๆ ที่ผู้นำได้เปลี่ยนแปลงไปนั้น ก็ย่อมมีทั้งที่คนในสังคมเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยบางเรื่องก็อยู่ยืนยง บางเรื่องอยู่ได้ไม่นาน

ก็เลิกหายไปเมื่อผู้นำหมดอำนาจ และบางเรื่องนั้นอาจมีความเหมาะสมในสมัยก่อน และหมดความนิยมจะใช้ในสมัยปัจจุบัน แต่การกระทำที่ผ่านมายังเป็นสิ่งที่ท้าทายให้หันกลับไปศึกษา