ไทยรวมไทย

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


พรรคไทยรวมไทย

พรรคไทยรวมไทยเป็นพรรคการเมืองที่จดทะเบียนจัดตั้งตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2517 โดยมีนายสอิ้ง มารังกูล เป็นหัวหน้าพรรค นายสุวิทย์ สารวัตร เป็นเลขาธิการพรรค คำขวัญของพรรคไทยรวมไทย คือ “ถ้าคนส่วนมากจน เราจะทนได้อย่างไร เลือกพรรคไทยรวมไทย เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้อง”

นโยบายของพรรคไทยรวมไทย

นโยบายด้านการเมือง พรรคไทยรวมไทยเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2517 จำเป็นต้องมีการแก้ไขยกเลิกการมีวุฒิสภา กำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีอายุตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไป ผู้สมัครรับเลือกตั้งมีอายุอย่างน้อย 25 ปีขึ้นไป รัฐบาลต้องมีการปรึกษารัฐสภาทุกครั้งที่มีการตัดสินใจเกี่ยวกับการทหาร ควรมีการรับรองสิทธิของสตรีในการทำนิติกรรมสัญญาให้เท่าเทียมกับบุรุษ การกำหนดอัตราค่าแรงสตรีต้องเท่าเทียมกับบุรุษ

นโยบายด้านการบริหารราชการ พรรคไทยรวมไทย จะปฏิรูปโครงสร้างการบริหารราชการใหม่ทั้งหมด โดยพรรคไทยรวมไทยจะกำหนดให้มีกระทรวงต่าง ๆ 20 กระทรวง โดยนอกจากกระทรวงธรรมการ กระทรวงเกษตร กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาแล้ว จะเพิ่มกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงป้องกันประเทศ (ทหาร) กระทรวงเศรษฐการ กระทรวงโยธาธิการ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงการปกครอง กระทรวงโฆษณาการ กระทรวงประมวลข่าวสารแห่งชาติ กระทรวงรถไฟ กระทรวงการคลัง พลังงานแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงสหกรณ์ โดยแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกันไปแต่ละด้าน

นโยบายด้านการปกครอง พรรคไทยรวมไทยจะกำหนดให้ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ผู้พิพากษา และตำรวจในท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง โดยมีการเลือกตั้งทุกหมู่บ้านโดยกำหนดให้หมู่บ้านหนึ่งมีประมาณ 500 หลังคาเรือน จะสนับสนุนการศึกษาอบรมแพทย์ประจำตำบล ยกระดับเงินเดือนและสร้างบ้านพักอาศัยแก่แพทย์ประจำในทุกหมู่บ้าน

นโยบายด้านการต่างประเทศ พรรคไทยรวมไทยจะยึดมั่นในกฎบัตรสหประชาชาติ เป็นมิตรกับทุกประเทศในโลก ไม่ยอมให้ประเทศใดมามีอิทธิพลเหนือประเทศไทย จะเปิดเจรจากับทุกประเทศ ประกาศใช้นโยบายเป็นมิตรกับทุกประเทศโดยไม่เลือกข้างหรือค่ายใด จะสร้างความสัมพันธ์ทางการฑูต และติดต่อค้าขายกับทุกประเทศในโลก โดยมุ่งให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารเลี้ยงโลก พรรคไทยรวมไทยจะไม่กู้เงินจากต่างประเทศ และไม่ต้องการให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุน แต่จะให้รัฐบาลเป็นผู้ลงทุนในประเทศเอง

นโยบายด้านการพัฒนาประเทศ พรรคไทยรวมไทยจะดำเนินนโยบายการพัฒนาปัจจัยสี่ โดยมุ่งเน้นทั้งด้านการเกษตร การอุตสาหกรรม คมนาคม สาธารณสุข การศึกษาพร้อมกัน ในการดำเนินเศรษฐกิจจะจัดให้มีระบบสหกรณ์ และการปฏิรูปที่ดินโดยการจัดระบบนารัฐ โดยรัฐจะนำพื้นที่ว่างเปล่าที่ยังไม่มีเจ้าของมาจัดสรรเป็นนารัฐสำหรับการผลิตเกษตรกรรมทุกสาขา พรรคไทยรวมไทยจะยึดหลักเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง และสร้างสภาวการณ์ที่ทุกคนเป็นอยู่เท่าเทียมกัน หรือมีความใกล้เคียงกันมากที่สุด ให้ประชาชนทุกกลุ่มมีสถานที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสม โดยการยกระดับคุณภาพชีวิตโดยส่งเสริมการเกษตรแบบสหกรณ์ ซึ่งทุกคนมีหุ้นส่วนและรับผลประโยชน์ร่วมกัน โดยต้องมีการแก้ไขกฎหมายสหกรณ์และวิธีการดำเนินการสหกรณ์ใหม่ทั้งหมด

นโยบายด้านการศึกษา พรรคไทยรวมไทย จะมุ่งจัดการศึกษาแบบให้เปล่าทั่วประเทศ โดยมุ่งกระจายสถานศึกษาให้ไปตั้งอยู่ในภูมิภาคมากขึ้น ลดการกระจุกตัวในพื้นที่เดียว สำหรับการให้บริการการศึกษาแก่เยาวชนนั้น รัฐจะจัดให้การศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัยโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแม้แต่อย่างเดียว

นโยบายด้านการอุตสาหกรรม พรรคไทยรวมไทยจะเน้นการวางแผนการผลิตอุตสาหกรรมทีละประเภท โดยเอาแบบอย่างระบบสหกรณ์ในประเทศเยอรมันตะวันตก ซึ่งมีการควบคุมสหกรณ์ย่อยทั้งหมด เช่น มีการจัดระบบการจัดทำอุตสาหกรรมสินค้ากระป๋อง โดยแยกระหว่างฝ่ายผลิต ฝ่ายจำหน่าย อย่างเป็นระบบชัดเจน โดยรัฐจะเป็นผู้ลงทุนสร้างโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานเตรียมวัตถุดิบอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตเหล็กจากสินแร่ของประเทศไทยเองประมาณห้าพันตันต่อวัน มีการสร้างโรงงานผลิตสายไฟ โรงงานสร้างโรงงาน โรงงานสร้างเครื่องอะไหล่ทุกประเภท และขั้นต่อไปจะจัดตั้งโรงงานสร้างเครื่องบิน สร้างรถยนต์ สร้างรถจักร และโรงงานต่อเรือ

นโยบายด้านสังคม พรรคไทยรวมไทยจะให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบคนที่ไม่มีงานทำ คนไม่รู้หนังสือ คนเจ็บไข้ได้ป่วย โดยจัดระบบสเตทฟาร์ม ผู้บริหารสเตทฟาร์มมีหน้าที่รับผิดชอบประชาชนในพื้นที่ของตน มีการจัดระบบประกันสังคมกันเอง มีการจัดสรรที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน การศึกษา การดูแลสุขภาพ และมีบำนาญให้เมื่อปลดเกษียณเช่นเดียวกับข้าราชการ โดยรัฐบาลจะยกเลิกภาษีทุกชนิด ให้เหลือแต่ภาษีรายได้เพียงอย่างเดียว รายได้ของสเตทฟาร์มจะให้รัฐเก็บไปส่วนหนึ่ง และส่วนที่เหลือนำมาจัดสรรให้สมาชิกตามความสามารรถส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้เป็นสวัสดิการ ส่วนที่สามเป็นทุนสมทบเพื่อพัฒนาสเตทฟาร์มต่อไป ส่วนที่สี่สำหรับลงทุนก่อสร้าง เป็นต้น

ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 พรรคไทยรวมไทยส่งผู้สมัครลงแข่งขันรับเลือกตั้งในเขตต่าง ๆ ทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 10 คน แต่ไม่ได้รับเลือกตั้งแม้แต่คนเดียว

ที่มา

สุจิต บุญบงการ, การพัฒนาการเมืองของไทย: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทหาร สถาบันทางการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2531

เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช, การสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคการเมืองในประเทศไทย, วิทยานิพนธ์หลักสูตรชั้นปริญญาโท ภาค 2 ทางรัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2519

วสันต์ หงสกุล, 37 พรรคการเมือง ปัจจัยพิจารณาเปรียบเทียบ, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ตะวันนา, 2518

ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ, พรรคการเมืองและปัญหาพรรคการเมืองไทย, กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2524