สุพัฒน์ สุธาธรรม

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง: ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


สุพัฒน์ สุธาธรรม : ขุนคลังหลัง 6 ตุลาคม 2519

        หลังเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน โดยคณะทหารที่นำโดยพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ จากนั้นได้มีการตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นมา มีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชื่อ สุพัฒน์ สุธาธรรม แต่ก็อาจเป็นรัฐมนตรีที่คนมักนึกไม่ออกว่าท่านอยู่กระทรวงใด ทั้งๆ ที่กระทรวงการคลังที่ท่านเป็นเจ้ากระทรวงนั้นก็เป็นกระทรวงสำคัญ และท่านรัฐมนตรีสุพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีคุมกระทรวงการคลังอยู่ต่อเนื่องถึงสองรัฐบาล นำโดยนายกฯ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร และนายกฯ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ดังนั้นมาดูชีวิตนอกวงการเมือง และในวงการเมืองที่ท่านพลัดเข้ามาเดินโดยไม่ได้ตั้งใจดูบ้าง

          สุพัฒน์ สุธาธรรม เป็นคนเมืองหลวง เกิดที่บ้านในพื้นที่อำเภอป้อมปราบศัตรูพ่าย จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2519 ท่านเป็นบุตรของนาย ประสาน กับนางผึ้ง สุธาธรรม ตามประวัติระบุว่าท่านเรียนที่โรงเรียนพาณิชยการวัดสามพระยานี่เอง แต่ท่านเป็นคนเรียนเก่งทีเดียว ตอนที่อายุประมาณ 24 ปีจึงสอบชิงทุนรัฐบาลตามความต้องการของสำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น โดยได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Rikkyo เมื่อปี 2482 และเรียนอยู่ 2 ปี จนถึงปี 2484 เรียนจบได้ปริญญาโททางด้านพาณิชยศาสตร์ กลับมาเมืองไทยมาทำงานที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และท่านก็เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างดีในอาชีพ ท่านทำงานอยู่ที่หน่วยงานตรวจเงินแผ่นดินแทบจะตลอดเวลาที่รับราชการ พออายุได้ 37 ปีก็ได้เป็นหัวหน้ากองในหน่วยงานซึ่งถือว่าเร็ว เพราะการมีปริญญาโทจากเมืองนอกก็มีส่วนสนับสนุนให้ท่านก้าวหน้าได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว ทางด้านครอบครัวนั้น สุพัฒน์ สุธาธรรม ได้แต่งงานกับนางสาวมาลี อุณหสุวรรณ บุตรีคุณหลวงประกอบธนกิจ อดีตอธิบดีกรมสรรพสามิต ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังด้วย

          ครั้นถึงปี 2508 สุพัฒน์ สุธาธรรม ก็ได้ตำแหน่งเป็นหมายเลขหนึ่งของสำนักงาน คือเป็นเลขาธิการคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ถือได้ว่าเป็นข้าราชการประจำที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการรับราชการ และนับเป็นความโชคดีด้วยที่ท่านไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในช่วงนั้น เพราะการเมืองไทยก็ผกผันอยู่เหมือนกัน ท่านได้ไปช่วยเป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ตำแหน่ง " ศาสตราจารย์พิเศษ " จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2508 ด้วย อีก 7 ปีต่อมาสุพัฒน์ สุธาธรรม ได้ตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ในปี 2515 และในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนี้ หลังการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2515 ได้มีการตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติขึ้นมา สุพัฒน์ สุธาธรรม ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย และเป็นสภานิติบัญญัติที่มีอยู่ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองในวันที่ 14 ตุลาคม ปี 2516 จึงยุ่งยากหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แล้ว สุพัฒน์ สุธาธรรม ก็ยังรับราชการต่อมาจนถึงต้นปี 2518 อันเป็นปีที่ท่านจะมีอายุครบเกษียณอายุตอนปลายปี ท่านก็ได้ลาออกจากราชการในวันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2518 เพื่อรับบำนาญ ขณะนั้นบรรยากาศทางการเมืองไทยค่อนข้างจะคึกคัก เพราะเป็นการเมืองหลังการมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2517 ที่มีการจัดตั้งพรรคการเมืองกันมาก เพื่อเตรียมลงสนามแข่งขันกันเป็นผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งทั่วไป สุพัฒน์ไม่ได้สนใจไปร่วมพรรคการเมืองใดเลย เชื่อได้ว่าสุพัฒน์ สุธาธรรม คงไม่คิดว่าวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้เขาจะต้องเข้ามาสู่วงการเมือง

          การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2519 ได้เปลี่ยนชีวิตการทำงานหลังเกษียณของสุพัฒน์ สุธาธรรม ท่านได้เข้าร่วมรัฐบาลของนายกฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร รัฐบาลนี้มีข้าราชการอาวุโสหลายคนเข้าร่วมเป็นรัฐมนตรี และมีนักการเมืองหนุ่มที่เคยเป็นผู้แทนราษฎรในกรุงเทพฯ คือ นาย สมัคร สุนทรเวช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อันเป็นกระทรวงสำคัญมากนอกเหนือจากกระทรวงกลาโหมที่มีนายทหารมาเป็นเจ้ากระทรวง เมื่อสุพัฒน์ สุธาธรรมมาเป็นขุนคลังของรัฐบาลผู้คนก็ให้ความสนใจมาก เพราะงานเดิมของท่านคือตรวจการใช้เงินของหน่วยงานอื่น คราวนี้ท่านจะมาเป็นผู้ดูแลทั้งหาเงินและใช้เงินของรัฐบาล เรื่องความเป็นคนตรงก็มีคนหลายคนยอมรับ แต่ก็กล่าวกันว่าการทำนโยบายของกระทรวงคงจะเรียบๆ มีลักษณะอนุรักษ์นิยมมากหน่อย จะไม่เหมือนรัฐมนตรีที่มาจากภาคธุรกิจเอกชน หรือที่มาจากนักการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้ง ที่น่าสังเกตก็คือท่านดูเหมือนจะเป็นรัฐมนตรีคลังที่เรียนมาจากญี่ปุ่น

          รัฐบาลของนายกฯ ธานินทร์นั้น ปัญหาที่เผชิญอยู่จะเป็นการเมืองมากกว่าเศรษฐกิจ และด้านความมั่นคงก็มีปัญหา ดังที่เกิดกรณี  “กบฏ 26 มีนาคม” ในเดือนมีนาคม ปี 2520 แต่รัฐบาลและคณะทหารที่สนับสนุนยังคุมสถานการณ์ได้ กระนั้นรัฐบาลก็ต้องเผชิญกับแรงบีบในสังคมที่มาจากหลายภาคส่วน เมื่อความไม่พอใจต่อรัฐบาลมากขึ้น คณะทหารที่ตั้งรัฐบาลมากับมือก็ยึดอำนาจซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2520 

          ครั้งนี้ผู้ที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็คือบุคคลในคณะทหารเอง  ได้แก่ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์และในรัฐบาลนี้ก็มีรัฐมนตรีในรัฐบาลก่อนร่วมอยู่ด้วยบางท่าน ในจำนวนนี้มี สุพัฒน์ สุธาธรรม คงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสืบมา นี่ก็แสดงว่าฝีมือที่ไปคุมกระทรวงการคลังนั้นเป็นที่ประจักษ์ และความสัมพันธ์ของท่านกับคณะทหารก็เป็นไปด้วยดี สุพัฒน์ สุธาธรรม ได้เป็นรัฐมนตรีอยู่จนมีรัฐธรรมนูญใหม่ตอนเดือนธันวาคม พ.ศ.2521 และมีเลือกตั้งในปี 2522 โดยท่านก็ไม่ได้สนใจไปลงเลือกตั้งแต่อย่างใด และก็ไม่ได้สนใจที่ร่วมรัฐบาลต่อมาด้วย

          สุพัฒน์ สุธาธรรม ออกมามีชีวิตสบายนอกวงการเมืองหลายปี จนถึงแก่อนิจกรรมในวันที่ 10 มิถุนายน ปี 2527