สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง : ธิดารัตน์ อุ่นจันทร์

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง


ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 ประเทศไทยได้ใช้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุขของประเทศ ซึ่งรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย มีลักษณะเป็นสภาคู่ โดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา ประกอบไปด้วย 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) และวุฒิสภา (สภาสูง) ทั้งนี้ การเข้าสู่ตำแหน่งของสภาผู้แทนราษฎรโดยปกติมาจากการเลือกตั้ง ส่วนวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งหรือการแต่งตั้ง อย่างไรก็ตามการเข้าสู่ตำแหน่งของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดขึ้นมาในแต่ละยุคสมัย เช่นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 111 กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง และวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งและการสรรหา นอกจากนี้ สมาชิกรัฐสภาทั้ง 2 สภา คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา จะต้องมีกำหนดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง ส่วนจะมีวาระการดำรงตำแหน่งยาวนานเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศ ที่ได้กำหนดบทบัญญัติรองรับไว้

ความหมายของสมาชิกภาพ

คำว่า “สมาชิกภาพ” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Membership” หมายถึง สถานภาพทางกฎหมายของสมาชิกสภาในระดับชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกสภาที่เรียกชื่ออย่างอื่น เช่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นต้น ซึ่งรัฐธรรมนูญจะบัญญัติรองรับเกี่ยวกับสมาชิกภาพดังกล่าวเอาไว้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นสมาชิกภาพ การสิ้นสุดสมาชิกภาพ อำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่พึงได้รับในฐานะที่เป็น “ผู้แทนปวงชน” [1]

นอกจากนี้ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาที่ได้ถูกบัญญัติไว้ มีความสำคัญกับการปกครองประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความเกี่ยวพันและมีผลโดยตรงต่อกระบวนการทางด้านนิติบัญญัติของรัฐสภาในหลายส่วนด้วยกัน เช่น ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองก็จะมีผลให้ต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย หรือในกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาเป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของพรรคการเมือง ก็จะมีผลให้ต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาด้วย หรือในกรณีที่มีการยุบสภาผู้แทน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนก็จะสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพร้อมกันทั้งหมด หรือในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาบวชเป็นพระภิกษุ ก็จะสิ้นสุดสมาชิกภาพด้วย เพราะขาดคุณสมบัติ หรือในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดสมาชิกภาพ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นก็จะสิ้นสุดลงในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย

ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาในระดับชาตินั้นมีความสำคัญมาก ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีกระบวนการที่เกี่ยวกับสมาชิกภาพดังกล่าวบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน เมื่อมีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพของผู้ใด ก็ต้องให้องค์กรซึ่งมีหน้าที่โดยตรง ซึ่งได้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด เมื่อก่อนนี้ พอมีปัญหาการขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภา เป็นต้นว่า ไม่มีสัญชาติไทยโดยการเกิด มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่ครบกำหนดเวลาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เป็นโรคติดต่อเรื้อรัง หรือแม้แต่ประกาศลาออกด้วยวาจาแล้วมาพูดในภายหลังว่าไม่ได้ลาออก เหล่านี้ ไม่มีผู้ชี้ขาดว่าต้องพ้นจากสมาชิกภาพหรือไม่ และถ้าพ้นจะพ้นเมื่อไร แต่พอมีศาลรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ศาลรัฐธรรมนูญก็จะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด โดยเป็นที่สิ้นสุดเด็ดขาดว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้ใดต้องสิ้นสุดลงหรือไม่ หรือถึงแม้จะได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเริ่มต้นตั้งแต่วันเลือกตั้งก็ตาม แต่ถ้า กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) ยังไม่ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ยังไม่เกิด

ดังนั้น สมาชิกภาพในบางกรณีก็เกี่ยวโยงและส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของสมาชิกสภาด้วยกัน หรือตำแหน่งอื่น ๆ ด้วย และโดยเหตุที่ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติบังคับให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ดังนั้น การดำรงสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงสัมพันธ์กับการดำรงสมาชิกภาพของสมาชิกพรรคการเมือง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับระบุไว้เหมือน ๆ กันว่า ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดลาออกจากสมาชิกพรรคการเมืองที่ตนสังกัด ก็จะสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทันที แต่ในกรณีอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะบัญญัติไว้เหมือน ๆ กัน ยกเว้น กรณีการแยกหน้าที่ของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกับรัฐมนตรี ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ห้ามมิให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในขณะเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คนใดได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ก็จะสิ้นสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มิได้ห้าม ดังนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในขณะเดียวกันได้ ส่วนสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภา นั้น นอกจากรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับจะไม่บังคับให้ต้องสังกัดพรรคแล้ว ยังห้ามมิให้สังกัดพรรคด้วย ดังนั้น ถ้าสมาชิกวุฒิสภาคนใด เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองก็จะต้องพ้นจากสมาชิกภาพไปทันที

การเริ่มสมาชิกภาพ

2.1 การเริ่มสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

การเริ่มสมาชิกภาพนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้กำหนดการเริ่มต้นสมาชิกภาพไว้แตกต่างกัน เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 98 กำหนดให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเริ่มตั้งแต่วันเลือกตั้ง ซึ่งหลักการดังกล่าวได้มีการบัญญัติไว้เป็นครั้งแรก[2] ส่วนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 มาตรา 94 ได้กำหนดให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเริ่มแต่วันเปิดประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรก[3]

สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 105 กำหนดให้สมาชิกภาพของสภาผู้แทนราษฎรเริ่มตั้งแต่วันเลือกตั้ง โดยให้คงหลักการเดิมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540[4]

2.2 การเริ่มสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภา

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 117 ได้กำหนดให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งเริ่มตั้งแต่วันที่มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาเริ่มตั้งแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการสรรหา

สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภามีกำหนดคราวละหกปีนับแต่วันเลือกตั้ง หรือวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการสรรหา แล้วแต่กรณี โดยสมาชิกวุฒิสภาจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระไม่ได้

ให้สมาชิกวุฒิสภาซึ่งสิ้นสุดสมาชิกภาพตามวาระอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภาขึ้นใหม่[5]

ซึ่งการกำหนดหลักการเริ่มสมาชิกภาพ และวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้มีความชัดเจนในเรื่องการเริ่มสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ การจ่ายเงินเดือน และเพื่อความสะดวกในการนับวาระ

สมาชิกวุฒิสภาที่พ้นจากสมาชิกภาพแล้ว จะไม่สามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันสองวาระได้ เพื่อให้วุฒิสภามีความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ และไม่เอื้อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยมุ่งหวังจะได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาในวาระต่อไป[6]

การสิ้นสุดสมาชิกภาพ

3.1 การสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

เหตุที่ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงได้มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เป็นครั้งแรก[7] ตามมาตรา 21 ได้แก่ (1) ถึงคราวออกตามวาระ หรือยุบสภา (2) ตาย (3) ลาออก (4) ขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (5) สภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัยให้ออกจากตำแหน่งโดยเห็นว่ามีความประพฤติในทางจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่สภา มติในข้อนี้ต้องมีเสียงไม่ต่ำกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกที่มาประชุม[8]

อย่างไรก็ตามในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ก็ได้มีปรับปรุงแก้ไขเหตุที่ทำให้พ้นสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้แตกต่างกัน ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 106 ได้กำหนดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง เมื่อ[9]

(1) ถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร (เมื่อครบกำหนดคราวละสี่ปีนับแต่วันเลือกตั้ง) หรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร

(2) ตาย

(3) ลาออก

(4) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 101 (ว่าด้วยบุคคลผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง)

(5) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 102 (บุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เช่น ติดยาเสพติดให้โทษ เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตเป็นต้น)

(6) กระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 265 หรือมาตรา 266 (ที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ สร้างความเสียหายให้แก่รัฐหรือแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ก้าวก่าย หรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐ)

(7) ลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก หรือพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารของพรรคการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคการเมืองนั้น ให้พ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ลาออกหรือพรรคการเมืองมีมติ เว้นแต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นได้อุทธรณ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติคัดค้านว่ามติดังกล่าวมีลักษณะตามมาตรา 65 วรรคสาม (ขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือขัดหรือแย้งกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติดังกล่าวมิได้มีลักษณะตามมาตรา 65 วรรคสาม ให้ถือว่าสมาชิกภาพสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติดังกล่าวมีลักษณะตามมาตรา 65 วรรคสาม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นอาจเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

(8) ขาดจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นเป็นสมาชิก และไม่อาจเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง ในกรณีเช่นนี้ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดหกสิบวันนั้น

(9) วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง หรือศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากสมาชิกภาพ หรือศาลฎีกามีคำสั่งตามมาตรา 239 วรรคสอง (สมาชิกภาพสิ้นสุดลง เพราะเหตุกระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือมีคำสั่งเพิกถอนการสรรหา) ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติหรือศาลมีคำวินิจฉัยหรือมีคำสั่ง แล้วแต่กรณี

(10) ขาดประชุมเกินจำนวนหนึ่งในสี่ของจำนวนวันประชุมในสมัยประชุมที่มีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานสภาผู้แทนราษฎร

(11) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

3.2 การสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภา

สำหรับเหตุที่ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ตามมาตรา 119 ดังนี้[10]

(1) ถึงคราวออกตามวาระ

(2) ตาย

(3) ลาออก

(4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 115 (ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา เช่น มีสัญชาติไทยโดยการเกิด มีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีบริบูรณ์ในวันสมัครรับเลือกตั้งหรือวันที่ได้รับการเสนอชื่อ ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี เป็นต้น)

(5) กระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 116 มาตรา 265 หรือมาตรา 266 (มิให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งอื่น ที่อาจขัดแย้งกับการปฏิบัติหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่ง หรือการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ สร้างความเสียหายให้แก่รัฐหรือแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ก้าวก่าย หรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐ)

(6) วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง หรือศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากสมาชิกภาพตามมาตรา 91 หรือศาลฎีกามีคำสั่งตามมาตรา 239 วรรคสอง หรือมาตรา 240 วรรคสาม (ให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลง เพราะเหตุกระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือมีคำสั่งเพิกถอนการสรรหา) ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติหรือศาลมีคำวินิจฉัยหรือมีคำสั่ง แล้วแต่กรณี

(7) ขาดประชุมเกินจำนวนหนึ่งในสี่ของจำนวนวันประชุมในสมัยประชุมที่มีกำหนดเวลา ไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานวุฒิสภา

(8) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ (สมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นก็ต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพ พ้นจากการดำรงตำแหน่งด้วย ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่เหมาะสมที่จะให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เพราะเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับสภา) เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

นอกจากนี้ การขาดสมาชิกภาพส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาเป็นอันสิ้นสุดลง เว้นแต่สมาชิกวุฒิสภาซึ่งสิ้นสุดสมาชิกภาพตามวาระ ซึ่งสามารถอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภาขึ้นใหม่ นอกจากนั้นแล้วการขาดสมาชิกภาพจะส่งผลต่อการได้รับเงินประจำตำแหน่งและ ประโยชน์ตอบแทนของสมาชิกเป็นอันสิ้นสุดตามไปด้วย

อ้างอิง

  1. คณิน บุญสุวรรณ. 2556. ภาษารัฐสภา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : บริษัท เอมี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด. หน้า 57-58.
  2. สำนักกรรมาธิการ 3 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. 2550. เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. หน้า 105
  3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 มาตรา 94
  4. อ้างแล้ว, เชิงอรรถที่ 2 , หน้า 105
  5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 117
  6. อ้างแล้ว, เชิงอรรถที่ 2 , หน้า 117-118
  7. เชิงอรรถที่ 2 , หน้า 107
  8. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 มาตรา 21
  9. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 106
  10. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 119

หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

มนตรี รูปสุวรรณ. 2550. บทวิเคราะห์ทางวิชาการเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เล่ม 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เดือนตุลา.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 63 ตอนที่ 30 วันที่ 10 พฤษภาคม 2489.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 64 ตอนที่ 53 วันที่ 9 พฤศจิกายน 2490.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 91 ตอนที่ 169 วันที่ 7 ตุลาคม 2517.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 95 ตอนที่ 146 (ฉบับพิเศษ) วันที่ 22 ธันวาคม 2551.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 108 ตอนที่ 216 วันที่ 9 ธันวาคม 2534.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 112 ตอนที่ 7 ก วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2538.

วิสุทธิ์ โพธิแท่น. 2554. แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย. พิมพ์ครั้งที่ 3. สถาบันพระปกเกล้า กรุงเทพฯ : คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.

สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. 2556. ระบบงานรัฐสภา. กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.

บรรณานุกรม

คณิน บุญสุวรรณ. 2556. ภาษารัฐสภา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : บริษัท เอมี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด.

สำนักกรรมาธิการ 3 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 49 วันที่ 10 ธันวาคม 2475.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 85 ตอนพิเศษ (ฉบับพิเศษ) วันที่ 20 มิถุนายน 2511.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 124 ตอนที่ 47 ก วันที่ 24 สิงหาคม 2550.