จอมพล ป. พิบูลสงครามถึงแก่อสัญกรรมที่ญี่ปุ่น

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง จุฑามาศ และ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


ปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2499 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2499 ฉบับใหม่ และกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 จอมพล ป. พิบูลสงครามในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีมนังคศิลาพร้อมด้วยสมาชิกพรรคอีก 8 นาย ลงสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดพระนคร ผลปรากฏว่า จอมพล ป. พิบูลสงครามพร้อมด้วยสมาชิกพรรคอีก 6 นาย ได้รับเลือกตั้ง ส่วนในต่างจังหวัดสมาชิกของพรรคได้รับเลือก 79 นาย รวมเป็นผู้แทนสังกัดพรรคเสรีมนังคศิลา 86 นาย จากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนทั้งหมด 160 นาย พรรคเสรีมนังคศิลาจึงรับหน้าที่จัดตั้งรัฐบาลโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2500[1]

แม้ว่าผลการเลือกตั้งจะทำให้ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย แต่ชัยชนะของรัฐบาลในครั้งนี้ ถูกนักศึกษาที่ไปสังเกตการณ์การเลือกตั้งจับได้ว่ามีการโกงการเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมากกว่า 5000 คน ได้ชุมนุมประท้วง “การเลือกตั้งสกปรก” โดยพากันเดินขบวนประท้วงไปตามถนนราชดำเนิน มุ่งไปยังทำเนียบรัฐบาลและมีการชุมนุมไฮด์ปาร์คของประชาชนนับหมื่นคนที่สนามหลวงเพื่อขับไล่รัฐบาล[2]

การเลือกตั้งสกปรกและการประท้วงการเลือกตั้งของนักศึกษา ประชาชน ทำให้สถานะความชอบธรรมทางการเมืองของ จอมพล ป. พิบูลสงครามตกต่ำและหมดไปในที่สุด พล.อ. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ลาออกจากคณะรัฐบาลเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2500 และนำคณะทหารเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีจึงสิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยการรัฐประหารและได้ตัดสินใจเดินทางออกจากประเทศไทยทางจังหวัดตราด เข้าสู่กัมพูชา และไปลี้ภัยการเมืองอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น

จอมพล ป.พิบูลสงครามได้พำนักในประเทศญี่ปุ่น ที่ตำบลชินจูกุ ชานกรุงโตเกียวเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีเต็ม ในบ้านของนายวาด้า คหบดีญี่ปุ่น ผู้จัดการบริษัทน้ำมันมารูเซ็น ซึ่งได้ยกบ้านหลังหนึ่งให้เป็นที่อยู่อาศัย ต่อมาได้เดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา พักที่เมืองเบิร์กเล่ย์ รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นเวลา 2 ปี ก่อนที่จะกลับมายังประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง และได้เดินทางไปอุปสมบทที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2503 ตามที่ได้ปณิธานไว้ รวมเวลาที่อยู่ในเพศบรรพชิต 24 วัน[3]

เมื่อลาสิกขาบทแล้ว ได้เดินทางกลับมาพำนักอยู่ที่บ้านเดิมของนายวาด้า จนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2506 จึงย้ายเข้าบ้านบ้านหลังเล็กที่ซื้อไว้ที่เมืองซากามิฮาร่า ห่างจากรุงโตเกียวประมาณ 30 กิโลเมตร และได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ในบ้านหลังนี้อย่างสงบ

ในระหว่างที่พำนักในประเทศญี่ปุ่น จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีอาการเจ็บไข้เล็กๆน้อยๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของอากาศ มีเพียงครั้งเดียวที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ผ่าตัดถุงน้ำดี เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2506 ภายหลังการผ่าตัดสุขภาพอนามัยของจอมพล ป.พิบูลสงครามแข็งแรงดี โดยมีกิจกรรมที่โปรดปรานคือการขับรถไปทัศนาจรในที่ต่างๆระยะไกล เล่นกอล์ฟ พรวนดินทำสวน ปลูกต้นไม้ ในยามว่างจอมพล ป. พิบูลสงคราม มักจะพาครอบครัวไปเที่ยวตามเมืองต่างๆหลายแห่งที่มีสิ่งน่าสนใจ บางครั้งก็พาไปทานอาหารตามภัตราคารที่มีชื่อเสียงในโตเกียว บ่อยครั้งก็พาไปตามร้านอาหารเล็กๆนอกเมืองที่มีอาหารพิเศษของร้านโดยเฉพาะ[4] และที่บ้านซากามิฮาร่าในตอนกลางวันมักจะมีแขกเหรื่อมาเยี่ยมเยียนจอมพล ป,พิบูลสงครามทุกวันตั้งแต่เช้า หลังอาหารกลางวันจอมพล ป. พิบูลสงครามมักจะนอนพักถ้าไม่ขับรถออกไปเที่ยวนอกเมือง ครั้นเวลาเย็นจะลงสวนปลูกต้นไม้พรวนดินและแต่งสวนสนามหญ้าจนถึงเวลาอาหารค่ำจึงขึ้นบ้าน จอมพล ป.พิบูลสงครามจะอยู่ท่ามกลางมิตรสหายใจดีทั่วไป ชาวญี่ปุ่นทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะรู้จักจอมพล ป. พิบูลสงครามในนาม “พิบูลซัง” เป็นอย่างดี[5]

จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะมีกิจวัตรประจำวันเช่นนี้มาโดยตลอด ขณะเดียวกันก็ปรากฏอาการเจ็บหน้าอกซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคหัวใจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว จนกระทั่งวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2507 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคหัวใจวาย รวมอายุได้ 66 ปี 10 เดือน 11 วัน พิธีฌาปนกิจศพ จอมพล ป, พิบูลสงคราม ประกอบขึ้นที่วัดเรอิเกนจิ ตำบลโกทันดา เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ.2507 โดยได้รับความอนุเคราะห์จาก พล.ท. วิฑูร หงสเวช เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว อัฐิของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทั้งหมดได้เชิญมายังประเทศไทยเมื่อวันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2507[6]

จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้ที่ได้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติในหลายๆด้าน ตลอดระยะเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดคือ 14 ปี 11 เดือน 18 วัน ได้รับประกาศเกียรติคุณจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกให้เป็นศิษย์เก่าดีเด่นเป็นคนแรก ดังนั้นพิธีต้อนรับอัฐิที่สนามบินดอนเมืองจึงจัดอย่างสมเกียรติท่ามกลางข้าราชการและประชาชน ตลอดจนพระภิกษุจากอารามต่างๆอีกหลายรูปซึ่งเดินทางมาร่วมในพิธีต้อนรับอัฐิ จอมพล ป.พิบูลสงคราม กลับสู่ประเทศไทย[7]

อัฐิของจอมพล ป, พิบูลสงคราม ถูกเชิญมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านซอยชิดลมจนถึงวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2507 จึงได้นำไปบรรจุในเจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ร่วมกับอัฐิของผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 อัฐิอีก 2 ชิ้น ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้มอบให้โรงเรียนวัดเขมิภิรตาราม ซึ่งเป็นโรงเรียนแรกของจอมพล ป.พิบูลสงคราม อีกชิ้นหนึ่งได้เชิญไปบรรจุไว้ในเจดีย์องค์เล็กร่วมกับบิดา มารดาของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในบริเวณวัดปากน้ำ ริมคลองบางเขนเก่า จังหวัดนนทบุรี

อ้างอิง

  1. พลตรี ไพบูลย์ กาญจนพิบูลย์ (บรรณาธิการ), อนุสรณ์ครบรอบ 100 ปี ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม 14 กรกฎาคม 2540, ลพบุรี : ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ค่ายพหลโยธิน, 2540, หน้า 47.
  2. ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, ธรรมศาสตร์การเมืองไทย จากปฏิวัติ 2475 ถึง 14 ตุลา 2516 – 6 ตุลา 2519 , กรุงเทพฯ : มติชน, 2547, หน้า 100.
  3. พลตรี ไพบูลย์ กาญจนพิบูลย์ (บรรณาธิการ), อนุสรณ์ครบรอบ 100 ปี ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม 14 กรกฎาคม 2540, หน้า 52.
  4. เรื่องเดียวกัน, หน้า 53.
  5. เรื่องเดียวกัน, หน้า 54.
  6. เรื่องเดียวกัน, หน้า 54.
  7. เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน.


ดูเพิ่มเติม