กำเนิดราชบัณฑิตยสภา

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

พุทธศักราช ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ว่า “สยามควรมีสมาคมแห่งความรู้ อย่างประเทศทางตะวันตก” จึงทรงบูรณาการภารกิจหน้าที่เกี่ยวกับการหอสมุดสำหรับพระนคร การวรรณคดีสโมสร การตรวจรักษาของโบราณ การพิพิธภัณฑสถานและการบำรุงวิชาช่างเข้าด้วยกันในองค์กรเดียวใช้ชื่อว่า “ราชบัณฑิตยสภา” โดยแปลงมาจากชื่อของกรมราชบัณฑิตย์ซึ่งแต่โบราณเป็นที่รวมผู้ทรงความรู้ แต่เวลานั้นมีฐานะเป็นแค่เพียงกรมเล็ก ๆในกระทรวงธรรมการ มีหน้าที่เพียงการรักษาพระไตรปิฎกและทำพิธีบางอย่าง

ราชบัณฑิตยสภา แบ่งเป็น ๓ แผนก คือ

• แผนกวรรณคดี มีหน้าที่จัดการหอพระสมุดสำหรับพระนครและสอบสวนพิจารณาวิชาอักษรศาสตร์

• แผนกโบราณคดี จัดการพิพิธภัณฑสถาน ตรวจรักษาโบราณวัตถุสถาน และ

• แผนกศิลปากร จัดการบำรุงรักษาวิชาช่าง ทั้งจิตรกรรม สถาปัตยกรรมและดุริยางคศิลป

ต่อมารัฐบาลยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ ได้ยกเลิกราชบัณฑิตยสภา และจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่ ๒ หน่วยงานคือ ราชบัณฑิตยสถาน และ กรมศิลปากร ทั้งนี้เพื่อให้มีบุคคลที่หลากหลายมากขึ้นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง โดยราชบัณฑิตยสถาน เป็นสถาบันที่รวบรวมนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ทำหน้าที่ติดต่อแลกเปลี่ยนความรู้กับองค์กรปราชญ์และสถาบันทางวิชาการอื่น ๆ ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ เพื่อทำการค้นคว้า วิจัย ประมวลความรู้ออกเผยแพร่ให้ประชาชน ผู้สนใจได้นำไปศึกษาต่อ

อาจกล่าวได้ว่าแม้จนทุกวันนี้ราชบัณฑิตยสถานยังคงสนองพระราชวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในด้านการเป็นสมาคมด้านความรู้ สืบค้น สะสางชำระความรู้ใหม่ให้ยังประโยชน์แก่ปัจจุบัน

ที่มา

บทสารคดี “ปกเกล้าธรรมราชา” สารคดีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ในวโรกาสครบ ๑๒๐ ปี แห่งวันพระบรมราชสมภพและเป็นบุคคลสำคัญของโลก โดยองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ประจำปี ๒๕๕๖