การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผู้เรียบเรียง พัชร์ นิยมศิลป
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ศาสตราจารย์ ดร. ไชยวัฒน์ ค้ำชู
ข้อมูลพื้นฐาน
ในยุคปัจจุบัน ประเด็นการแข่งขันในสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงไปจากยุคสมัยเดิม จากการแข่งขันของประเทศมหาอำนาจในยุคล่าอาณานิคม เพื่อหาทรัพยากรและตลาดใหม่ๆ มาตอบสนองความต้องการของประเทศมหาอำนาจเหล่านั้น ปัจจุบันประเทศต่างๆ ได้หันมาแข่งขันขยายอำนาจทางเศรษฐกิจแทนการขยายอำนาจทางการทหาร จำนวนสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) และประเทศผู้สังเกตการณ์ที่มีกว่า 180 ประเทศ ทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า ประเทศต่างๆ ได้เข้ามามีบทบาทในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ดีประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กนั้นประสบอุปสรรคในการแข่งขันกับประเทศที่มีความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจสูงอย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอินเดียและประเทศจีนได้ ประเทศต่างๆ ในอาเซียนก็ได้ตระหนักถึงข้อเสียเปรียบดังกล่าวเป็นอย่างดีจึงได้มีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในอาเซียนขึ้น เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจในเวทีโลก ทั้งนี้การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจไม่เพียงแต่จะทำให้อาเซียนสามารถแข่งขัน หรือเพิ่มอำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจในเวทีโลกเท่านั้น แต่ยังทำให้เศรษฐกิจภายในภูมิภาคนั้นดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อประชาชนทำให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอีกด้วย
ความหมายของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ คือ การที่ประเทศตั้งแต่สองประเทศขึ้นไปได้ตกลง ที่จะร่วมมือกันทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ โดยปรกติการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจจะเป็นการรวมกลุ่มของประเทศที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน กระนั้นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจอาจเกิดขึ้นระหว่างประเทศที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างเดียวกันโดยมีความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น การยกเลิกการเรียกเก็บภาษีศุลกากร การใช้นโยบายทางการค้าร่วมกัน การออกมาตรการเพื่อขจัดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน เป็นต้น เมื่อมีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจแล้ว ประเทศสมาชิกจะกำหนดให้สิทธิพิเศษต่างๆ แก่ประเทศที่รวมกลุ่มหรือสร้างมาตรการพิเศษเพื่อคุ้มครองเศรษฐกิจภายในกลุ่มจากการรุกของเศรษฐกิจนอกกลุ่ม การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจนั้นมีรูปแบบการรวมกลุ่มอยู่ 6 ประเภท ดังนี้
1.การจัดทำข้อตกลงเพื่อแลกเปลี่ยนสิทธิพิเศษทางการค้า : เป็นกรณีการทำข้อตกลงร่วมกันในการลดภาษีศุลกากรและข้อจำกัด หรือ อุปสรรคทางการค้าต่างๆ ที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร ระหว่างประเทศในกลุ่มในลักษณะการลดภาษีอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนประเทศนอกกลุ่ม แต่ประเทศก็ยังสามารถกำหนดอัตราเองได้ปกติ
2.เขตการค้าเสรี : เป็นกรณีรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเพื่อยกเลิกมาตรการการเก็บภาษีศุลกากร การนำเข้าสินค้า จากประเทศในกลุ่ม และไม่สนับสนุนการกีดกันทางการค้าในทุกรูปแบบ ส่วนประเทศนอกกลุ่มนั้นสามารถเก็บภาษีศุลกากรได้อย่างอิสระ
3.สหภาพศุลกากร : เป็นกรณีการยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากร การยกเลิกข้อจำกัดทางการค้า และมาตรการต่างๆ ระหว่างประเทศสมาชิก และกำหนดนโยบายอัตราภาษีศุลกากรกับประเทศอื่นๆในอัตราเดียวกัน
4.ตลาดร่วม : เป็นกรณีการยกเลิกข้อกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกทุกรูปแบบ การกำหนดภาษีศุลกากรกับประเทศนอกกลุ่มในอัตราเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถเคลื่อนย้ายสินค้า และปัจจัยการผลิตต่างๆภายในกลุ่มประเทศได้อย่างเสรี
5.สหภาพทางเศรษฐกิจ : เป็นการรวมกลุ่มลักษณะเดียวกันกับตลาดร่วม แต่ได้เพิ่มเงื่อนไขให้ประเทศในกลุ่มใช้นโยบายทางการเงินและการคลังแบบเดียวกัน
6.สหภาพเหนือชาติ : เป็นการรวมกลุ่ม โดยประเทศสมาชิก จะมีนโยบายเดียวกัน ทุกรัฐจะยินยอมสละอำนาจอธิปไตยของตน เพื่อผลสุดท้ายประเทศต่างๆจะรวมกันเสมือนเป็นประเทศเดียวกัน
การริเริ่มการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
หลังจากกำแพงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งฝ่ายโลกเสรีและฝ่ายคอมมิวนิสต์ ได้ถูกทำลายลงในเดือน พฤศจิกายน 1989 ซึ่งเป็นผลทำให้ยุคสงครามเย็นนั้นสิ้นสุดลง กระแสโลกก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความมั่นคงก็ได้เปลี่ยนมาเป็นประเด็นทางด้านเศรษฐกิจ โดยในขณะนั้นผู้นำประเทศต่างๆทั่วโลกกังวลว่าประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมากนั้นจะเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจของตน ประเทศต่างๆ จึงได้มีแนวความคิดในการรวมตัวทางเศรษฐกิจทั้งภายในภูมิภาคของตนและภายนอกภูมิภาคเพื่อถ่วงดุลการค้ากับประเทศสหรัฐอเมริกาในขณะเดียวกัน ก็เป็นการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับกลุ่มประเทศของตนด้วย
อาเซียนก็ได้ตระหนักถึงความจำเป็นดังกล่าวในการรวมตัวทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาค ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 27-29 มกราคม ค.ศ.1992 ที่ประเทศสิงคโปร์ นายอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้น ได้เสนอการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) เพื่อส่งเสริมการค้าของอาเซียนให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น มุ่งลดต้นทุนการผลิตของสินค้าให้มีราคาต่ำลง อีกทั้งยังเป็นการดึงดูดเม็ดเงินจากนอกภูมิภาคให้เข้ามาลงทุนในอาเซียนด้วย การก่อตั้ง AFTA นับเป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่เป็นทางการและเป็นรูปธรรมครั้งแรกของอาเซียน แม้ก่อนหน้านั้นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความพยายามที่จะรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจอยู่เสมอ แต่ข้อเสนอเหล่านั้นก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใดนัก เช่น ความตกลงว่าด้วยสิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างกัน (PTA) ที่ประสบปัญหา เนื่องจากแต่ละประเทศเกรงว่า การลดภาษีมากๆ หรือการให้สิทธิพิเศษต่างๆ นั้น จะทำให้สินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านไหล่บ่าเข้ามายังตลาดภายในของของตน
พัฒนาการการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นับแต่สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1967 อาเซียนได้มีวิวัฒนาการในความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่อง โดยอาจแบ่งได้เป็น 4 ระยะดังนี้
1.ช่วงแรกหลังการก่อตั้ง ASEAN (ค.ศ.1967-1977) : ในระยะแรกอาเซียนยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาด้านความมั่นคง ทำให้การรวมตัวทางเศรษฐกิจในระยะนี้ ยังไม่เป็นรูปธรรมมากเท่าใดนัก แต่ทิศทางเศรษฐกิจก็มีแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้น หลังจากการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 23-24 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1976 ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีการลงนามในปฏิญญาความร่วมมืออาเซียน (Declaration of ASEAN Concord) และ สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC)
2.ช่วงการขยายตัวความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (ค.ศ.1978-1997) : ในช่วงนี้อาเซียนได้มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในปี ค.ศ.1990 มาเลเซียได้เสนอให้มีความร่วมมือทางเขตเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออก ได้แก่ประเทศในกลุ่มอาเซียน ประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น และประเทศเกาหลีใต้ เพื่อถ่วงดุลทางเศรษฐกิจของประเทศอเมริกา แต่ก็ได้ถูกยกเลิกไปในที่สุด อย่างไรก็ดีอาเซียนได้บรรลุข้อตกลงในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 4 ณ ประเทศสิงคโปร์ ใน ค.ศ.1992 โดยเหล่าผู้นำอาเซียนได้ลงนามในความตกลงแม่บทว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียน และความตกลงว่าด้วยอัตราภาษีที่เท่ากันสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน อันเป็นความมุ่งหวังในการเปิดการค้าเสรีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยมุ่งยกเลิกอุปสรรคทางการค้าทั้งด้านภาษี และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี หลังจากนั้นอาเซียนก็มีแนวความคิดพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจเรื่อยมา เช่น การจัดทำความตกลงทางด้านบริการของอาเซียน (AFAS) ใน ค.ศ.1995 เป็นต้น
3.ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ (ค.ศ.1998-2004) : ในระยะนี้อาเซียนได้ประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง ทำให้อาเซียนมีความจำเป็นต้องวางแผนด้านเศรษฐกิจให้ชัดเจนขึ้น เพื่อดึงความแข็งแกร่งและศักยภาพทางเศรษฐกิจของอาเซียน ให้กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง โดยในการประชุมสุดยอดอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 14-16 ธันวาคม ค.ศ.1997 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เหล่าผู้นำอาเซียนได้ประกาศวิสัยทัศน์อาเซียน (ASEAN Vision 2020) อันเป็นแนวทางในการร่วมมือทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 ของอาเซียน และในระยะนี้แม้ว่าอาเซียนจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่ก็ได้พยายามผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น กรอบความตกลงเขตลงทุนอาเซียน (AIA) ใน ค.ศ.1998 ความคิดริเริ่มเพื่อการรวมตัวกันของอาเซียน (IAI) ในค.ศ.2000 เป็นต้น
4.ช่วงการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ค.ศ.2005-ปัจจุบัน) : จากกระแสโลกที่ได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจการค้า อาเซียนได้จัดทำเขตการค้าเสรีกับประเทศคู่เจรจาต่างๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป เป็นต้น เพื่อบูรณาการเศรษฐกิจของอาเซียนกับประเทศภายนอกภูมิภาค อาเซียนได้ตระหนักถึงความจำเป็น ที่จะต้องมีการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาคเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่แปด ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา นาย โก๊ะ จ๊ก ตง ได้เสนอให้อาเซียนจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เช่นเดียวกับที่สหภาพยุโรปจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งในการประชุมสุดยอกอาเซียนครั้งต่อมาที่เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ผู้นำอาเซียนก็ได้ลงมติเห็นชอบให้มีการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนขึ้น จากการลงนามในปฏิญญาว่าด้านความร่วมมืออาเซียนฉบับที่สอง (Declaration of ASEAN Concord II) และปฏิญญาเซบูว่าด้วยการเร่งรัดจัดตั้งประชมคมอาเซียน 2015 (Cebu Declaration on the Acceleration of the Establishment of an ASEAN Community by 2015)
ก้าวต่อไปของการร่วมกลุ่มทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จากการรวมตัวทางเศรษฐกิจอาเซียน ในปัจจุบันมีการเน้นไปที่การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นอย่างมาก ซึ่งการรวมตัวกันเป็นตลาดเดียวจะทำให้การค้าการลงทุนภายในภูมิภาคนั้นเป็นไปอย่างเสรี การเก็บภาษีศุลกากรก็จะมีอัตราน้อยลง ทำให้หลายประเทศอาจวิตกกังวลว่า ผลจากการเปิดการค้าเสรีอาเซียนนั้นจะทำให้แต่ละประเทศมีรายได้ลดลง ซึ่งถ้าหากประเทศใดมียุทธศาสตร์และนโยบายที่อาศัยข้อได้เปรียบจากการเปิดเสรีทางการค้า แม้รัฐจะมีรายได้จากภาษีศุลกากรลดลงแต่รัฐจะเก็บภาษีทางอื่นได้มากขึ้น เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น และแม้จะมีการแข่งขันกันทางเศรษฐกิจที่รุนแรง แต่หากมองในแง่ดี เราจะได้ใช้สินค้าในราคาที่ถูกลง รวมถึงต้นทุนวัตถุในการผลิตก็จะมีราคาต่ำลงด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการปรับตัวและการใช้โอกาสทางเศรษฐกิจ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ดังนั้นอาจสรุปได้ว่าการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในภูมิภาคต่อเมื่อประเทศสมาชิกปรับนโยบายและโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้เข้ากับกติกาการค้าใหม่ๆ ที่ต้องการให้ปัจจัยการผลิตที่เพิ่มมากขึ้นเพราะวัตถุดิบมีราคาถูกลง แรงงานมีฝีมือสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกขึ้นซึ่งทำให้แรงงานต้องแข่งขันกันเพิ่มทักษะ รวมถึงกติกาการลงทุนและการเคลื่อนย้ายทุนที่จะมีความเป็นสากลเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น
เอกสารอ้างอิง
กรมอาเซียน กระทรวงต่างประเทศ . บันทึกการเดินทางอาเซียน. กรุงเทพฯ : กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ., 2552.
กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ. ASEAN Mini book . กรุงเทพฯ : กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ,2556.
ธิดารัตน์ โชคสุชาติ. ประเภทและผลกระทบทางเศรษฐกิจของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ : วารสารวิชาการและวิจัย มทธ.พระนคร ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 .2553.
ธิดารัตน์ โชคสุชาติ.2557.ศักยภาพของประเทศสมาชิกอาเซียนกับการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย. <http://www.bu.ac.th/knowledgecenter/executive_journal/july_sep_12/pdf/aw04.pdf> (accessed June 23 ,2014).
นันทนา กปิลกาญจน์.ประวัติศาสตร์และอารยธรรมโลก. กรุงเทพฯ:โอเดียนสโตร์.,2546.
ประภัสสร์ เทพชาตรี .ประชาคมอาเซียน. กรุงเทพฯ : เสมาธรรม., 2554.
ไพศาล หรูพานิชกิจ. เอเชียตะวันออก บนเส้นทางสู่การเป็นประชาคม. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.2553.
วิทย์ บัณฑิตกุล . รู้จักประชาคมอาเซียน. กรุงเทพ ฯ : วีพริ้นท์(1991)., 2555.
สถาบันดำรงราชานุภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย.2554.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน. www.coj.go.th/jla/userfiles/doc/aec/report/ASEAN_2.pdf (accessed June 25 ,2014).
สุรินทร์ พิศสุวรรณ. อาเซียน รู้ไว้ ได้เปรียบแน่. กรุงเทพฯ : อมรินทร์ พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง., 2555.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร .การก้าวสู่ประชาคมอาเซียน. กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.,2555.
สำนักนโยบายและแผน สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย.2557.รายงานการศึกษา โอกาสและผลกระทบของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนต่อกระทรวงมหาดไทย. <www.ppb.moi.go.th/midev01/upload/asean_final.pdf> (accessed June 23 ,2014). สำนักมาตรการทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ . 2557. จากเขตการค้าเสรีอาเซียนสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน. <http://www.thaifranchisecenter.com/download_file/files/group10120110906200640.pdf> (accessed June 22 ,2014).
อัทธ์ พิศาลวานิช.2557.ทฤษฎีและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ. elearning2.utcc.ac.th/officialtcu/econtent/EC341/lesson3.pdf (accessed June 24 ,2014).
Asian Knowledge Institute.2557.อนาคตประเทศไทยกับ TPP และ RCEP (ASEAN+6). http://www.akiedu.org/aki_talk_19122012_more.php (accessed June 25 ,2014).
Donald E. Weatherbee . อาเซียน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. กรุงเทพฯ: แปลนพริ้นท์ติ้ง., 2556.
Hew Denis. 2008. “Towards an ASEAN Economic Community by 2015.” ASEAN Studies Centre report series. no.1