อารยะขัดขืน

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:22, 6 กุมภาพันธ์ 2552 โดย Tora (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าใหม่: {{รอผู้ทรง}} ---- '''ผู้เรียบเรียง''' วนัส ปิยชัยกุลเดช ---- ==ประวัต...)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

บทความนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยโดยผู้ืทรงคุณวุฒิ


ผู้เรียบเรียง วนัส ปิยชัยกุลเดช


ประวัติ

คำว่า อารยะขัดขืน ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกโดยชัยวัฒน์ สถาอานันท์ โดยเป็นการถอดศัพท์จากคำภาษาอังกฤษว่า Civil Disobedience คำดังกล่าวชัยวัฒน์ใช้เพื่อต้องการแทนที่การแปลคำว่า 'Civil Disobedience' เป็น “สิทธิการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย” ที่นำเสนอโดยสมชาย ปรีชาศิลปกุล ในการต่อสู้ทางการเมืองไทย มีการนำคำคำนี้มาใช้โดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตรในปีพุทธศักราช 2549 และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ในปี 2550-2551

ความหมายของ อารยะขัดขืน

ชัยวัฒน์ อาศัยนิยามของจอห์น รอลส์ (John Rawls) ที่ให้นิยามการกระทำในลักษณะที่เป็น Civil Disobedience ว่าหมายถึง “การกระทำทางการเมืองซึ่งมีลักษณะเป็นสาธารณะ (public) สันติวิธี (nonviolent) และมีมโนธรรมสำนึก (conscientious) ที่ขัดต่อกฏหมาย ปรกติเป็นสิ่งที่ทำโดยมุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย (in the law) หรือในนโยบายของรัฐบาล” โดยการกระทำดังกล่าวต้องกระทำในสังคมที่ใกล้จะเป็นธรรมเท่านั้น

ตามทัศนะของชัยวัฒน์การกระทำที่ถือเป็นอารยะขัดขืนจะต้องประกอบด้วยลักษณะ 7 ประการดังต่อไปนี้

1) เป็นการละเมิดกฎหมาย หรือตั้งใจละเมิดกฎหมาย

2) ใช้สันติวิธี (nonviolent)

3) เป็นการกระทำสาธารณะโดยแจ้งให้ให้ฝ่ายรัฐรับรู้ล่วงหน้า

4) ประกอบด้วยความเต็มใจที่จะรับผลทางกฏหมายของการละเมิดกฎหมายดังกล่าว

5) ปรกติกระทำไปเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล

6) มุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรมของผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมือง

7) มุ่งเชื่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรมซึ่งโดยหลักแล้วเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายและสถาบันสังคม


การให้นิยามและลักษณะการกระทำที่ถือเป็นอารยะขัดขืนที่ชัยวัฒน์ใช้ข้างต้น จึงเป็นการกำหนดพื้นที่ เป้าหมายและเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมืองแบบอารยะขัดขืน กล่าวคือในประเด็นแรก พื้นที่ที่จะใช้อารยะขัดขืน จะต้องกระทำบนสังคมที่ใกล้จะเป็นธรรมที่หมายถึง “'สังคมที่ส่วนใหญ่มีการจัดระเบียบอย่างดี แต่ก็มีการละเมิดความยุติธรรมปรากฏอยู่บ้าง'” เท่านั้น


ในประเด็นที่สอง หากการกระทำอารยะขัดขืนต้องกระทำต่อสังคมที่ค่อนข้างจะเป็นธรรม เป้าหมายของอารยะขัดขืนของชัยวัฒน์จึงจำกัดอยู่เพียงการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือรูปแบบการปกครองแต่อย่างใด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คืออารยะขัดขืนเป็นการกระทำทางการเมืองที่มุ่งปรับปรุงรัฐหรือสังคมที่เป็นธรรมอยู่บ้างแล้ว ให้เป็นธรรมยิ่งขึ้นต่อไป ไม่ใช่การต่อสู้เพี่อโค่นล้มรัฐที่อยุติธรรม (unjust) แล้วสร้างรัฐที่เป็นธรรมขึ้นมา


นอกจากนี้ ในประเด็นสุดท้ายการกระทำอารยะขัดขืนต้องใช้วิธีการอะไรก็ตามที่เป็นการตั้งใจกระทำผิดกฎหมาย, การใช้สันติวิธีและการยอมรับผลจากการละเมิดกฎหมายนั้นๆ วิธีการทั้งสามมีไว้เพื่อทำให้สมาชิกอื่นของสังคมเห็นว่าการละเมิดกฎหมายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการที่จะได้ผลประโยชน์ส่วนตัว เพราะโดยทั่วไปแล้วการละเมิดกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวมักจะกระทำในที่ลับและพยายามแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เกิดจากความตั้งใจเพื่อหลีกเลี่ยงผลทางกฎหมายที่จะเกิดขึ้นจากการละเมิดกฎหมายนั้น ผู้กระทำอารยะขัดขืนจึงต้องมีความจงใจที่จะเปิดเผยให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างความถูกต้องทางศีลธรรมกับความถูกต้องทางกฎหมาย และขยายความขัดแย้งดังกล่าวเข้าสู่สำนึกของมหาชนทั่วไปในสังคม เพื่อมุ่งเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายที่ไม่ถูกต้องทางศีลธรรมหรืออยุติธรรม การต่อสู้ทางการเมืองด้วยวิธีการอารยะขัดขืนจึงเป็นการต่อสู้จากแรงผลักดันทางศีลธรรมของตัวผู้ต่อสู้และมุ่งสร้างจิตสำนึกและยกระดับทางศีลธรรมของสังคมโดยรวมด้วย ในสังคมหรือรัฐที่ค่อนข้างจะมีความยุติธรรมอยู่บ้าง