การเอาชนะสงครามพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ผู้เรียบเรียง เก่งกิจ กิตติเรียงลาภ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
รัฐบาลไทยเริ่มปฏิเสธการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์และใช้นโยบายป้องกันและปราบปรามด้วยมาตรการทางกฎหมาย ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา และมีบางสมัยได้แก้ไขปัญหาด้วยวิถีทางรัฐสภา จนกระทั่งเมื่อมาถึงสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ การปราบปรามคอมมิวนิสต์ของรัฐบาลก็มีลักษณะที่รุนแรงมากขึ้น จอมพลสฤษด์ได้ใช้อำนาจในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติ (20 ตุลาคม 2501) ใช้มาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครอง ทำการจับกุมคุมขังและประหารชีวิตผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ ต่อมาในปี 2508 – 2509 ภายใต้รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร การปราบปรามของรัฐก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปี 2510 จอมพลถนอมเริ่มใช้มาตรการการปราบปรามด้วยทหาร ตำรวจ พลเรือน ควบคู่ไปกับการพัฒนา แต่ก็ยังความรุนแรงอยู่มีการจับกุมแบบเหวี่ยงแห ใช้หลักการปราบปรามให้สิ้นซากด้วยกำลังทหาร ในภาคใต้มีการปราบปรามอย่างรุนแรงโดยใช้วิธีที่เรียกว่า “ถีบลงเขาเผาลงถังแดง” มีการเผาหมู่บ้านนาทรายในภาคอีสาน แม้ว่าในปี 2512 จะเริ่มใช้มาตรการทางการเมืองแทนการทหาร แต่ก็ไม่ได้ผลนัก ตั้งแต่ปี 2518 รัฐบาลจึงเริ่มใช้วิธีการจัดตั้งกลุ่มพลังเป็นหน่วยต่างๆ เพื่อร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่การปราบปรามก็ยังมีลักษณะที่รุนแรงอยู่เช่นเดิม และที่รุนแรงมากก็คือการปราบปรามนิสิตนักศึกษาในกรณี 6 ตุลาคม 2519
อย่างไรก็ตาม การปราบปรามดังกล่าวล้วนแล้วแต่กลับเป็นการเสริมหรือช่วยให้พรรคคอมมิวนิสต์เจริญเติบโตยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีนักศึกษาและประชาชนจำนวนมากหลั่งไหลเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในช่วงหลังกรณี 6 ตุลาคม 2519 การปราบปรามที่รุนแรงแทนที่จะทำให้คอมมิวนิสต์หมดไปตามเป้าหมาย กลับขยายพื้นที่ปฏิบัติงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ทำให้รัฐบาลในสมัยต่อมาได้ข้อสรุปว่า การปราบปรามคอมมิวนิสต์โดยใช้วิธีการที่รุนแรงนั้น ผลมักออกมาในทางตรงกันข้ามเสมอ ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ การปราบปรามคอมมิวนิสต์ในสมัยที่นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์แพร่ขยายใหญ่โตและเข้มแข็งขึ้นมากกว่าเดิม
ในเวลาต่อมา การเมืองไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร ถูกรัฐประหารโค่นอำนาจลงในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2520 รัฐบาลชุดใหม่ของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ซึ่งตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2521 ได้ใช้นโยบายผ่อนปรนทางการเมือง ยอมเปิดให้มีประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง, เปิดความสัมพันธ์กับประเทศสังคมนิยมอีกครั้ง และประกาศนิรโทษกรรมนักศึกษาที่ถูกจับกรณี 6 ตุลา, ปราบปรามคอมมิวนิสต์โดยใช้นโยบายการเมืองนำการทหารและยอมให้นักศึกษาออกจากป่าโดยไม่เอาผิด ต่อมานโยบายนี้ได้ถูกพัฒนาไปเป็นนโยบาย 66/2523 ในสมัยที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดังกล่าว ส่งผลเสียต่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอย่างหนัก เกิดความแตกแยกระส่ำระสายภายในขบวนการและนำไปสู่การแยกตัวของสมาชิกพรรคเป็นจำนวนมาก[1]
ในความเป็นจริง การใช้นโยบายป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์โดยใช้นโยบายทางการเมืองแทนการทหาร ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วตั้งแต่ปี 2512 แต่ในเวลานั้น เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมีความเข้าใจผิดหรือมีการตีความทางการเมืองที่แคบเกินไป คิดว่าการเมืองคือ วิถีทางรัฐสภาเท่านั้น เพราะฉะนั้น คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 110/12 ลว. 30 พฤษภาคม 2512 จึงไม่ได้ผล คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 66/23 เป็นนโยบายที่มีลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ว่านโยบายนี้ได้ออกมาขานรับหรืออกมาได้จังหวะกับสถานการณ์ความขัดแย้งทั้งภายนอกและภายในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยพอดี
เกี่ยวกับนโยบายในการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ของรัฐบาล ยังพบว่าได้มีพัฒนาการและมีวิธีการที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลมาจากประสบการณ์และการศึกษาทั้งทางตรง ทางอ้อม และจากการศึกษาอบรมจากสถาบันที่เกี่ยวกับการปกครองทั้งในประเทศและนอกประเทศของเจ้าหน้าที่รัฐบาลในแต่ละสมัย แต่ที่สำคัญ นโยบายในการป้องกันและปราบปรามของรัฐบาลได้เริ่มเข้าไปอิงหรือพึ่งพิงอเมริกาในช่วงตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม และปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดมากในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่หลังจากสิ้นสุดสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ไปจนถึงช่วงกรณี 14 ตุลาคม 2516 การพึ่งพิงก็เริ่มลดลง [2]
อ้างอิง
- ↑ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. “ว่าด้วยบทเรียนทางประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” ใน วารสาร อักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ 26 ฉบับที่ 2 ธันวาคม 2546 – พฤษภาคม 2547. หน้า 151 – 179.
- ↑ บัญชา สุมา. การเคลื่อนไหวของพวกคอมมิวนิสต์กับนโยบายป้องกันและปราบปรามของรัฐบาล (พ.ศ. 2500 – 2523). วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2528.