ประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถาน
เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล และศิริน โรจนสโรช
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์
พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น โดยทรงซื้อที่ดินบริเวณสามเสน ระหว่างคลองผดุงกรุงเกษมถึงคลองสามเสนด้านตะวันออกจรดทางรถไฟ พระราชทานชื่อตำบล ว่า สวนดุสิต โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นวังที่ประทับ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ แรกเริ่มได้ก่อสร้างเป็นพลับพลาชั้นเดียวขนาดใหญ่ ต่อมา ใน พ.ศ. ๒๔๔๓ จึงให้รื้อ พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ จากเกาะสีชังมาปลูกสร้างขึ้นใหม่ที่สวนดุสิต แทนพลับพลาเดิมและพระราชทานชื่อว่า พระที่นั่งวิมานเมฆ และทรงสร้างเรือนต้น เป็นหมู่เรือนไทยขนาดใหญ่บริเวณริมคลองอ่างหยก ทรงใช้เสด็จออกให้ราษฎรที่ทรงรู้จักคุ้นเคยเมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นในต่างจังหวัดได้มาเฝ้าแหน เนื่องจากเป็นบรรยากาศที่ราษฎรคุ้นเคยมากกว่าบนพระที่นั่ง มีงานขึ้นบ้านใหม่ที่เรือนต้นในพ.ศ. ๒๔๔๔
ในพ.ศ. ๒๔๔๕ โปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระที่นั่งใหม่อีกองค์หนึ่งในเขตสวนดุสิตตรงบริเวณสวนแง่เต๋งพระราชทานชื่อว่า พระที่นั่งอัมพรสถาน เป็นอาคารเครื่องก่อสูง 3 ชั้น เมื่อแรกสร้างเป็นรูปตัว H หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตัวอาคารแบ่งเป็นสองส่วน มีโถงกลาง และมุขเทียบรถพระที่นั่งคั่นกลาง ปีกอาคารด้านเหนือเป็นอาคารสองชั้น ประกอบด้วยห้องเสวย ห้องอียิปต์ ห้องพระบรรทมเล็ก ปีกทิศใต้มีห้องรับรอง ห้องประชุมเสนาบดี ห้องเสวยใหญ่ ห้องแป๊ะต๋ง เป็นต้น ชั้นสามมีห้องพระบรรทมใหญ่ ห้องบรรณาคม (ห้องสมุด) และห้องพระ ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้ต่อเติมอาคารขยายออกไปทางทิศเหนือ เป็นอาคารสองชั้น มีสะพานเหล็กเชื่อมกับพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชทานชื่อว่าพระที่นั่งอุดรภาค สำหรับเป็นที่ประทับในพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี และขยายไปทางทิศตะวันตก คือ พระที่นั่งประจิมภาค มีห้องพระเครื่องต้น เป็นที่ประทับในพระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ ผู้ทรงควบคุมห้องพระเครื่องต้นในรัชกาลที่ ๕
บริเวณพระราชวังดุสิตน่ารื่นรมย์ด้วย “เรือนหมู่” อันเป็นที่ประทับของพระมเหสีเทวี เจ้านายฝ่ายใน รวมทั้งเจ้านายฝ่ายหน้าที่ยังทรงพระเยาว์ที่พำนักของเจ้าจอมมารดา และเจ้าจอมที่มิได้มีพระราชโอรสธิดา โปรดเกล้าฯ ให้เรียกแปลงที่ตั้งของแต่ละเรือนหมู่ว่า “สวน” และพระราชทานชื่อตามชื่อเครื่องกระเบื้อง ลายครามที่นิยมสะสมในสมัยนั้น สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์เมื่อยังมิได้เข้าพระราชพิธีโสกันต์ ประทับที่ตำหนักเล่งหมึงร่วมกับพระเชษฐาร่วมพระมารดา คือ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย
เมื่อก่อสร้างและตกแต่งสำเร็จ มีพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรพระที่นั่งอัมพรสถานระหว่างวันที่ ๑๘-๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๐
ต่อมาเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์เจริญพระชนมายุ๑๓ พรรษา ทรงโสกันต์และเฉลิมพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนศุโขไทยธรรมราชา โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ได้จัดพิธีส่งเสด็จที่พระที่นั่งวิมานเมฆ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถานเพียงสามปี ก็เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถานเป็นครั้งคราว
พระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
เมื่อเริ่มรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งอัมพรสถาน เป็นที่ประทับถาวรก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ นับตั้งแต่มีพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรขึ้นพระที่นั่ง เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระราชกิจประจำวัน ณ พระที่นั่งแห่งนี้ เริ่มตั้งแต่ตอนเช้า ตื่นพระบรรทมประมาณ ๙.๐๐ น. แต่หากมีพระราชกิจที่ต้องทรงปฏิบัติตอนเช้า ก็จะตื่นพระบรรทมประมาณ ๖.๐๐ น. และเสวยเครื่องเช้ากับสมเด็จพระบรมราชินี แต่ถ้าไม่มี ก็เสวยเครื่องเช้าร่วมกับกลางวันเวลา ๑๐.๐๐น. เวลาบ่าย ๑๖.๐๐ น.-๑๖.๓๐ น. เสวยเครื่องว่างกับสมเด็จพระบรมราชินีและเจ้านายรุ่นเล็กที่ทรงอุปการะ พระกระยาหารเช้าในห้องพระบรรทม ได้แก่ กาแฟ ขนมปังกรอบ เนยสด ตับบด เป็นต้น ตามปกติ ตอนเช้า เมื่อสมเด็จพระบรมราชินีเสด็จออกจากห้องพระบรรทมแล้ว เป็นเวลาที่เจ้านายรุ่นเยาว์และเด็กๆ ที่ทรงอุปการะ จะขึ้นเฝ้าฯ ในห้องพระบรรทม แต่ต้องมีมหาดเล็กมาเรียกก่อนจึงขึ้นเฝ้าฯ ได้ ผู้มีสิทธิพิเศษที่ขึ้นเฝ้าฯ ได้โดยไม่ต้องมีมหาดเล็กมาเรียก คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต พระราชบุตรบุญธรรมในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
การทรงพระสำราญกับเด็กๆ ที่ทรงอุปการะไว้ ระหว่างประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถานวิธีหนึ่งคือ ทรงเล่านิทานก่อนนอน เช่น เรื่อง ทาร์ซาน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์กับธรรมชาติ และการผจญภัยในป่า บางวันโปรดให้เด็กแจวเรือจากคลองในสวนดุสิตออกไปที่เขาดินวนาตอนเย็นและกลับมาตอนค่ำ
พระปรีชาสามารถที่โดดเด่นด้านหนึ่งคือ ดนตรี เพราะโปรดดนตรี พระที่นั่งอัมพรสถานจึงมีเสียงมโหรีบรรเลงในยามค่ำคืนระหว่างเสวยพระกระยาหารค่ำทุกวันพฤหัสบดี ทรงมีวงมโหรีหลวงสองวง คือ วงมโหรีหลวงฝ่ายหน้าซึ่งนักดนตรีส่วนใหญ่เป็นชาย และบางครั้งพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงดนตรีด้วย และวงมโหรีหลวงฝ่ายใน มีนักดนตรีเป็นหญิงล้วน มีหน้าที่บรรเลงถวายยามเสวยพระกระยาหารค่ำและรับแขกสำคัญ และได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทยสามเพลง คือ ราตรีประดับดาวเถา เขมรลออองค์เถา และโหมโรงคลื่นกระทบฝั่งสามชั้น บางเวลาที่ทรงว่าง ก็จะทรงซ้อมเพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์เอง บางครั้งก็ทรงเพลิดเพลินอยู่กับเครื่องไฟฟ้ากลไกต่างๆ เช่น เครื่องรับวิทยุ ซึ่งทรงเรียกว่า “วุ” และทรงตั้งไว้ในห้องอาวุธ (sitting room) ชั้นสองในพระที่นั่งอัมพรสถาน นอกจากนี้ ยังโปรดการออกกำลังพระวรกายเป็นนิจ เวลาบ่าย ๑๗.๐๐ น.ถึง ๑๘.๐๐ น. ทรงกอล์ฟ เทนนิส สควอช โปรดกีฬากอล์ฟมาก ถ้าไม่เสด็จฯ ราชตฤณมัยสมาคมก็ทรงกอล์ฟที่ราชกรีฑาสโมสร หรือสนามกอล์ฟสวนจิตรลดา ประมาณ ๑ ชั่วโมงก็เสด็จฯ กลับพระที่นั่งอัมพรสถาน บางวันทรงเทนนิสที่วังศุโขทัยตอนเย็นแล้วจึงเสด็จกลับ บางครั้งก็ทรงพายเรือในบริเวณพระราชวังดุสิต หรือทรงว่ายน้ำในสระว่ายน้ำซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ขุดไว้ให้เด็กๆ ในพระราชอุปการะลงว่ายเล่นเพื่อออกกำลังกาย
ด้วยสนพระราชหฤทัยด้านการศึกษา และทรงเอาพระทัยใส่ในการเรียนของเด็กๆ ที่แวดล้อมพระองค์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนเยาวกุมาร ขึ้นที่พระที่นั่งอภิเษกดุสิต เพื่ออบรมสั่งสอนเจ้านายรุ่นเยาว์และบุตรหลานข้าราชสำนักบางคน สำหรับเด็กที่พำนักอยู่ในวัง โปรดเกล้าฯ ให้จัดห้องนอนในองค์พระที่นั่งด้านใกล้กับศาลาทรงกีฬา มีห้องละ ๒-๓ เตียง โรงเรียนนี้มีหลักสูตรการเรียนการสอนเหมือนโรงเรียนทั่วไป และเน้นด้านวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ศีลธรรมและพุทธศาสนา ภายหลังโรงเรียนได้ย้ายไปอยู่ที่สวนจิตรลดา
นอกจากเป็นที่ประทับส่วนพระองค์แล้ว ยังเป็นที่ทรงงานราชการในฐานะพระมหากษัตริย์อีกด้วย เช่น เป็นสถานที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภา ซึ่งเป็นคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน แทบทุกสัปดาห์ การเสด็จออกให้ขุนนาง ข้าราชการ ชาวต่างประเทศได้เข้าเฝ้าฯ ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น วันพฤหัสบดีที่ ๒๖สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ โปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตพิเศษแห่งรัฐบาลฝรั่งเศสที่เข้ามาลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยอินโดจีนเฝ้าฯ รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำ วันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ โปรดเกล้าฯ ให้เซอร์รพินทรนาถ ฐากุร กวีเอกชาวอินเดียที่มาเยือนประเทศไทยเฝ้าฯ แสดงปาฐกถาเรื่องวัฒนธรรมระดับภูมิภาคของเอเชีย (Asian continental culture) ถวายเป็นการส่วนพระองค์และบ่อยครั้งที่โปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงานของกระทรวงต่างๆ
นอกจากนี้ยังทรงเป็นประธานการประชุมเสนาบดีสภาที่พระที่นั่งอนันตสมาคมในเขตพระราชฐานชั้นนอกของพระราชวังดุสิตเกือบทุกอาทิตย์ และยังเสด็จฯ ออกให้ขุนนางเข้าเฝ้าฯ ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมบ่อยครั้งด้วย
บางครั้งเสด็จฯ ลงพระราชทานน้ำพระมหาสังข์แด่คู่สมรสที่พระที่นั่งอัมพรสถาน เช่น วันศุกร์ที่ ๒๓พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๑ เวลา ๑๗.๐๐ น. เสด็จลงพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินี โปรดเกล้าฯ ให้ทำการเสกสมรสหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร กับหม่อมหลวงบัว สนิทวงศ์
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีช้างสำคัญเกิดขึ้นที่ป่าไม้ตำบลแม่ยางมึ้ม จังหวัดเชียงใหม่ ในเขตสัมปทานของบริษัทบอเนียว นายดี. เอ. แมคไฟ ผู้จัดการจึงแจ้งข่าวมายังทางการ เมื่อตรวจสอบแล้วจึงทราบว่ามีลักษณะตามตำราพระคชลักษณ์ เป็นพระยาเศวตกุญชรตระกูลอัคนิพงศ์ พระคชลักษณ์นามว่าปทุมหัตถี เมื่อเสด็จประพาสมณฑลพายัพจึงได้ทอดพระเนตรช้างเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ และมีพิธีสมโภชช้างเผือกเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ที่เชียงใหม่ ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้นำช้างสำคัญมายังพระนครทางรถไฟถึงพระราชวังดุสิต วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๐ โปรดเกล้าฯ ให้ตกแต่งซ่อมแซมโรงช้างถาวรเดิมที่พระราชวังดุสิตให้เป็นโรงสมโภช มีพิธีสมโภชช้างที่กรุงเทพฯ ในวันที่ ๑๕ และ ๑๖ พฤศจิกายน พระราชทานราชทินนามช้างดังกล่าวว่า
“พระเศวตคชเดชน์ดิลกประชาธิปกปุมรัตนดำรี อัคนีนิรุฒชุบเชิด กำเนิดนภีสีฉานเฉวียง ฉวีเยี่ยงบุษกรโกมล นขาขนขาวผ่องแผ้ว แก้วน้ำงึนงามลึก วันวณึกรรณาการ คเชนทรยานยวชยิ่ง มิ่งมงคลฉนำเฉลิมฉัตร สัตตมกษัตรทรงศร อมรรัตนโกษินทร์ รบือรบินบารมีทศ ยืนพระยศธรรมราชัย นิรามัยมนุญคุณ บุณยโศลกเลิศฟ้า”
ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ระหว่างแปรพระราชฐานไปประทับ ณ สวนไกลกังวล หัวหิน คณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้คณะราษฎรใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นที่ทำการของคณะราษฎรและที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว พระองค์มิได้ประทับที่พระที่นั่งอัมพรสถานอีกเลย
บรรณานุกรม
การวิก : ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมเจ้า การวิก จักรพันธุ์ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันจันทร์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕. (๒๕๔๕) . กรุงเทพฯ: มูลนิธิธนาคารกรุงเทพ.
ครูบรรเลง. (๒๕๔๖). กรุงเทพฯ: พิฆเนศ พริ้นติ้ง เซ็นเตอร์.
ชัยบูรณ์ ศิริธนะวัฒน์, พีรศรี โพวาทอง และ มงคลลักษณ์ ใหญ่มีศักดิ์. “พระที่นั่งอัมพรสถาน” ในสถาปัตยกรรมในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง, (๒๕๕๓). กรุงเทพฯ: แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส. หน้า ๘๖-๘๙.
แน่งน้อย ศักดิ์ศรี, ม.ร.ว., ณพิศร กฤตติกากุล และ ดรุณี แก้วม่วง. ๒๕๒๕. พระราชวังและวังในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พระราชวังและวังในกรุงเทพฯ (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๕๒๕). (๒๕๒๕). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, หน้า ๓๖๗-๓๘๔.
ศิริน โรจนสโรช. “พระที่นั่งอัมพรสถาน ที่ประทับต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” ใน . ๑๒๐ ปี ผ่านฟ้าประชาธิปก. (๒๕๕๖) . นนทบุรี: สำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, หน้า ๑๒๙-๑๔๕.
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยและจัดพิมพ์เอกสารทาง ประวัติศาสตร์และโบราณคดี.จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ . (๒๕๓๗)
สีดาดำรวง ชุมพล, หม่อมเจ้า. ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าหญิงสีดาดำรวง ชุมพล วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๓ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส. (๒๕๓๓) .กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (๑๙๙๔).