วังบางขุนพรหม
ผู้แต่ง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
วังบางขุนพรหมเป็นวังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้แก่พระราชโอรสของพระองค์คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต วังนี้ตั้งอยู่ปลายถนนวิสุทธิ์กษัตริย์ตัดกับถนนสามเสน มีประตูวังอยู่ตรงมุมด้านถนนสามเสนกับถนนท่าเกษม ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่วังนี้เป็นจุดประวัติศาสตร์ทางการเมือง ก็มาจากเหตุในเช้าตรู่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เมื่อคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองนำกำลังทหารมาตั้งที่ลานพระบรมรูปทรงม้าและใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นที่ตั้งศูนย์บัญชาการนั้นทางคณะผู้ก่อการฯ ได้ส่งนายทหารมาที่วังบางขุนพรหม เพื่อควบคุมตัวสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้มีอำนาจมาก และเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แปรพระราชฐานไปประทับที่หัวหิน ดังมีบันทึกเรื่องราวเอาไว้
ครั้นเมื่อกองกำลังทหารของคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ผ่านเข้ามาถึงกลางพระนครโดยมาตั้งมั่นเรียบร้อยอยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าแล้ว แผนการขั้นต่อมาที่ต้องรีบดำเนินการโดยพลันก็คือควบคุมตัวบุคคลสำคัญที่มีอำนาจเอามาเป็นตัวประกัน ดังนั้นจึงมีการปฏิบัติการเพื่อควบคุมตัว กรมพระนครสวรรค์วรพินิตเกิดขึ้น เป็นแผนการขั้นที่สอง
แผนการขั้นที่สองนี้คือ “เชิญเจ้าชั้นผู้ใหญ่บางองค์เข้ามาควบคุมไว้ในพระที่นั่งอนันต์สำหรับเป็นประกัน...ผู้บังคับการกรมต่าง ๆ ผู้บัญชาการกองพล แม่ทัพของทหารในกรุงเทพฯ ตลอดจนเสนาธิการทหารบกจะต้องถูกนำตัวมาควบคุมไว้” ตามที่ พ.อ. พระยาทรงสุรเดชวางแผนกำหนด
“พระประศาสน์ฯ ไปจับกรมพระนครสวรรค์ฯ พระยาสีหราชเดโชชัยและพระยาเสนาสงคราม”
คำสั่งที่พระประศาสน์ฯ บอกว่าพระยาทรงฯ เป็นผู้สั่งท่านให้ดำเนินการ จับกรมพระนครสวรรค์ฯ นั้น เพราะพระองค์ท่านเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีอำนาจมาก เป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จฯ ไปประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน จอมพล สมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์ฯ ได้ดำรงตำแหน่ง “ผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร” ส่วนพระยาสีหราชเดโชชัยนั้นเป็น เสนาธิการทหารและพระยาเสนาสงครามเป็น ผู้บังคับการกองพล 1
พระยาทรงสุรเดชระบุถึงกำลังที่ไปกับพระประศาสน์พิทยายุทธไว้ ดังนี้
“ขบวนของพระประศาสน์ฯ เต็มไปด้วยนักเรียนนายร้อยที่สมัครไปด้วย พวกนักเรียนนายร้อยเป็นกำลังอันสำคัญที่สุดในวันที่ 24 มิถุนายน พวกนี้แสดงความยินดีปรีดาทั่วกัน และสมัครไปทุกแห่งไม่ว่าจะไปทำอะไรที่ไหน”
แต่นายทหารที่ไปปฏิบัติการที่วังบางขุนพรหม เช้ามืดวันนั้นนอกจากพระประศาสน์ฯ แล้ว ยังมี พ.ต.หลวงพิบูลสงคราม ทหารบก กับ ร.อ.หลวงนิเทศกลกิจ นายทหารเรือที่ได้ร่วมไปตัดสายโทรศัพท์กับนายควง อภัยวงศ์ มาก่อนแล้ว ดังที่พระประศาสน์ฯ เล่าเอาไว้
“ข้าพเจ้าและนายพันตรี หลวงพิบูลสงครามสั่งนักเรียนนายร้อย นายดาบบรรจุกระสุนพร้อม และเตรียมขนกระสุนขึ้นรถเตรียมไว้ให้เพียงพอ สั่งทหารเรือและคนสนิทร่วมใจของเราขึ้นรถบรรทุกโดยด่วน ฝ่ายทหารเรือมีนายเรือเอก หลวงนิเทศกลกิจ (กลาง โรจนเสน) เป็นหัวหน้าไป ท่านผู้นี้แหละเป็นทหารเอกที่จะไปกู้ชีวิตข้าพเจ้าในชั่วพริบตาที่จะเป็นหรือตายเท่ากัน”
แต่วังบางขุนพรหมนั้นก็เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวังที่มีรั้วรอบขอบชิดที่มีความมั่นคงมาก “กำแพงวังเป็นคอนกรีตและรั้วเหล็กแข็งกล้า” ทั้งที่หน้าวังก็ยังมีทหารรักษาการณ์ประจำอยู่ และมีสถานีตำรวจที่หน้าวังอีกด้วย ดังนั้น พ.ท. พระประศาสน์ฯ จึงต้องวางแผนที่จะเข้าไปปฏิบัติการในวังให้ดีและสำเร็จ
“...ในขณะนั้น ข้าพเจ้าคิดว่า วังสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ นี้มีรั้วเหล็กรอบขอบชิด ยากนักที่จะเข้าไปได้..สถานีตำรวจบางขุนพรหมผู้รักษาวังนั่นเองก็จะเป็นผู้เปิดวังให้แก่ข้าพเจ้าเพราะตำรวจวังต้องฟังคำสั่งนายสถานีตำรวจรักษาวังนั้น ข้าพเจ้าจะไปจับผู้บังคับกองตำรวจนั่นเองไปเปิดวังบางขุนพรหมให้ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าขอพบผู้บังคับกองตำรวจทันที นายร้อยตำรวจโทหนุ่มผู้หนึ่งออกมาพบเราในตำแหน่งผู้บังคับการ ข้าพเจ้าขอเชิญขึ้นรถกับพวกทันที”
นายร้อยตำรวจโทผู้นั้นถูกคุมตัวได้ เมื่อได้ตัวผู้บังคับกองตำรวจของสถานีมาขึ้นรถ พระประศาสน์ฯ ก็นำกำลังไปที่ประตูวังบางขุนพรหมและพอตำรวจรักษาวังเห็นผู้บังคับกองที่เป็นนายของตนอยู่ที่หน้ารถก็เปิดประตูวัง ขบวนรถของพระประศาสน์ฯ ก็แล่นผ่านประตูเข้าไปที่พระตำหนักหลังใหญ่
“ในขณะนั้นเองมีนายตำรวจผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากพระตำหนัก ซึ่งทราบภายหลังว่าคือพระอาสาพลนิกร ชักปืนออกมายิงรัวมายังข้าพเจ้าปัง ๆ ๆ...ลูกศิษย์ข้าพเจ้าที่อยู่ในรถยนต์หุ้มเกราะก็ยิงปืนกลสวนควับออกไปเสียงปรุ้มปรุ้ม แต่เรายิงขึ้นไปบนฟ้า...พระอาสาพลนิกรก็วิ่งหลบหนีหายไปทางเบื้องหลังพระที่นั่ง...”
นี่เป็นคำบอกเล่าของพระประศาสน์พิทยายุทธ
ถึงตอนนี้กองกำลังที่นำโดยพระประศาสน์พิทยายุทธจึงสั่งทหารของตนมาขยายแถวเรียงรายเตรียมพร้อม และให้นายร้อยตำรวจโทที่เอาตัวมาขึ้นไปทูลเชิญสมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์ฯ แต่เวลาผ่านไป 15 นาทีก็ยังเงียบอยู่ พระประศาสน์ฯ จึงสั่งทหารขยายแถวล้อมวังและเดินเข้าไปสู่พระตำหนัก ดังที่ท่านเล่าต่อไปว่า
“ก็ปรากฏว่าสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ และบริพารตั้งร้อยคับคั่งอยู่ที่ท่าน้ำเตรียมหนีทางเรือ แต่เนื่องจากความรอบคอบของฝ่ายเรา เรือรบของฝ่ายเราได้ติดเครื่องบรรจุกระสุนปืนในอาการที่จะเคลื่อนไหวได้ในทันทีอยู่ ณ เบื้องหน้า ทำให้ทรงงันงงไม่มีใครกล้าจะลงเรือหนี”
ที่สมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์ฯ และบริพารลังเลอยู่ที่ท่าน้ำนั้น พลโทประยูร ภมรมนตรี ได้มาเขียนเล่าในตอนหลังว่า
“จอมพลสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ เตรียมจะเสด็จหนีลงเรือ ก็พอดีเรือตอร์ปิโดหาญทะเลในความควบคุมของ ร.ท.จิบ ศิริไพบูลย์ (น.ต.) ผู้บังคับการเรือ ซึ่ง น.ต.หลวงสินธุสงครามชัยสั่งให้มาลอยลำคอยควบคุมอยู่ สั่งทหารเรือเตรียมยิง...”
พ.ต.พระประศาสน์พิทยายุทธ จึงเดินเข้าไปเฝ้า พอกรมพระนครสวรรค์วรพินิตเห็นหน้าว่าเป็นใคร ก็มีรับสั่งดังที่พระประศาสน์ฯ เล่า
“เอ๊ะ” ทรงมีรับสั่ง “อีตาวันก็เป็นกบฏกับเขาด้วยหรือ”
“มิได้ ฝ่าพระบาท เราต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของเราไม่มีเจตนาสักนิดเดียวที่จะทำลายกษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์และมิเป็นการสมควรที่จะกราบทูลเรื่องอันเป็นความลับต่อฝ่าพระบาทด้วยเสียงอันดังต่อหน้าธารกำนัล ฉะนั้นเกล้ากระหม่อมขอเชิญเสด็จไปเจรจาการเมืองเรื่องสำคัญอันลับอย่างยิ่งนี้หน้าสนามหญ้าพระตำหนักพะย่ะค่ะ” พระประศาสน์ฯ กราบทูล
ขณะที่เจรจากันอยู่ได้มีเหตุการณ์เกือบจะเสียเลือดเสียเนื้อกันขึ้น เพราะตอนหนึ่งระหว่างที่พระประศาสน์ฯ ได้พยายามอธิบายและขอให้เสด็จนั้น “พระยาอธิกรณ์ประกาศ” (อธิบดีกรมตำรวจ) ได้ควักปืนออกเงื้อฟาดลงจะยิงข้าพเจ้าในทันที... คุณหลวงนิเทศกลกิจกระโดดเข้าเตะมือพระยาอธิกรณ์ประกาศปืนกระเด็นตกลงยังพื้นดิน..
เมื่อการณ์เป็นไปเช่นนี้ พ.ท.พระประศาสน์ฯ จึงจำเป็นเร่งให้กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสด็จไปกับตน แม้จะมีการเจรจาเกี่ยงกันอยู่อีกบ้างก็ตามในที่สุดก็ทรงยอมดังที่พระประศาสน์ฯ เล่าว่า
“สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตผู้ทรงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ในเครื่องฉลองพระองค์เพียงกางเกงจีนกับเสื้อกุยเฮง พร้อมด้วยพระชายา ก็ยินดีขึ้นรถกระบะไปกับพวกเรา ข้าพเจ้าดีใจเป็นล้นพ้น สั่งทหารขึ้นรถเป็นการด่วน”
พ.ท.พระประศาสน์ฯ และคณะทหารสามารถนำสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต มาควบคุมไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคมได้ รวมกับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่มีความสำคัญ
ตอนบ่ายวันที่ 24 มิถุนายนนั่นเองก็มีคำประกาศของผู้สำเร็จราชการรักษาพระนครสมเด็จ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต รับรองการยึดอำนาจของคณะราษฎรความว่า
“ด้วยตามที่คณะราษฎรได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินไว้ได้ โดยมีความประสงค์ข้อใหญ่ที่จะให้ประเทศสยามมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน
ข้าพเจ้าขอให้ทหาร ข้าราชการ และราษฎรทั้งหลาย จงช่วยกันรักษาความสงบอย่าให้เสียเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกันโดยไม่จำเป็น”
คำประกาศนี้คณะราษฎรได้เร่งจัดทำเผยแพร่ออกไปโดยเร็ว มีการตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ในวันต่อมา หลังคำประกาศของผู้สำเร็จราชการรักษาพระนครแล้ว ทางคณะราษฎรก็ได้ออกคำสั่งประกาศสั่งข้าราชการตามออกมาเรียกว่า “คำประกาศแก่บรรดาข้าราชการ” ของคณะราษฎร ลงวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ความว่า
“ตามที่คณะราษฎรได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินไว้ โดยมีความประสงค์ข้อใหญ่ที่จะให้ประเทศสยามมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน และบัดนี้สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตก็ได้ลงพระนามรับรองคณะราษฎรแล้ว ผู้รักษาพระนครจึงสั่งข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ให้มาปฏิบัติราชการตามเคย ผู้ใดละทิ้งหน้าที่จะต้องมีความผิด”
ตกเย็นเวลาประมาณบ่ายสี่โมง คณะผู้รักษาพระนครฯ ก็ได้เชิญเสนาบดี และปลัดทูลฉลองของทุกกระทรวงมาประชุมที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อรับฟังคำชี้แจงและคำสั่งของคณะราษฎร มีเสนาบดีและปลัดทูลฉลองจำนวน 12 ท่าน จาก 8 กระทรวงมาประชุม โดยพระยาพหลฯ หัวหน้าคณะผู้รักษาพระนครฯ เป็นผู้เปิดประชุม และหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นผู้ชี้แจงเรื่องราวต่าง ๆ โดยสั่งให้ไปชี้แจงกับข้าราชการต่อไป ทั้งนี้เน้นให้เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงกับทูตและต่างประเทศ กับให้ปลัดฯ กระทรวงมหาดไทยสั่งการไปหัวเมือง