สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
เรียบเรียงโดย : อาจารย์บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.ปธาน สุวรรณมงคล
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 8 ของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงครองราชสมบัติเป็นเวลานานที่สุดในบรรดาพระมหากษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาคือ 40 ปี (พ.ศ.1991-2031) ตลอดรัชสมัยมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญ เช่นการรวมราชอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับราชอาณาจักรอยุธยา ในด้านการเมืองการปกครองทรงปฏิรูปการปกครองที่ทำให้เกิดการรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ราชอาณาจักรอยุธยา การสร้างระบบการถ่วงดุลอำนาจโดยแยกกิจการทหารออกจากกิจการพลเรือน สร้างระบบศักดินาที่เป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์ทางชนชั้นในสังคมไทย
การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกลายเป็นหลักการในการปกครองมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมระยะเวลากว่า 400 ปี
พระราชประวัติ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถประสูติเมื่อ พ.ศ.1974 ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จเจ้าสามพระยาและมารดาเป็นเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์สุโขทัย เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ 4 แห่งราชวงศ์สุโขทัยสวรรคตในปี พ.ศ.1981 พระบรมไตรโลกนาถเมื่อครั้งดำรงพระยศเป็น พระราเมศวร มีพระชันษาเพียง 7 ปี ได้ถูกส่งขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งราชอาณาจักรสุโขทัยในขณะนั้น เมื่อเจ้าสามพระยาสวรรคตในปี พ.ศ.1991 พระองค์จึงทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ของอยุธยา และทรงสวรรคตในปี พ.ศ.2031[1]
รูปแบบการปกครองของราชอาณาจักรอยุธยาก่อนสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ในราชอาณาจักรอยุธยาตอนต้นได้มีการแบ่งการบริหารราชการออกเป็นสองส่วนคือ
1.การบริหารราชการส่วนกลาง
ได้จัดการปกครองที่เรียกว่า จตุสดมภ์ คือมีกรมสำคัญ 4 กรม คือ เวียง วัง คลัง นา โดยมีการแบ่งอำนาจ หน้าที่ดังนี้[2]
กรมเวียง เป็นพนักงานปกครองท้องที่ รักษาความสงบเรียบร้อยภายในเขตเมืองหลวงและบริเวณใกล้เคียง
กรมวัง เป็นหัวหน้าในพระราชสำนักและดูแลรับผิดชอบในเรื่องความยุติธรรม
กรมคลัง เป็นพนักงานรับจ่ายและเก็บรักษาพระราชทรัพย์ที่ได้มาจากภาษีอากร
กรมนา เป็นพนักงานตรวจตราการทำไร่นา ทำหน้าที่เก็บหางข้าวหรือข้าวที่รัฐเก็บจากชาวนาเป็นอากรค่านา ไว้ในฉางหลวงเพื่อใช้ในราชการ
2.การบริหารราชการหัวเมือง
ได้กำหนดให้มีเมืองสำคัญอยู่ 4 ทิศเรียกว่าเมืองลูกหลวง ประกอบด้วย[3]
ทางเหนือ เมืองลพบุรี
ทางใต้ เมืองพระประแดง
ทางตะวันออก เมืองนครนายก
ทางตะวันตก เมืองสุพรรณบุรี
เมืองเหล่านี้พระมหากษัตริย์จะส่งเจ้านายชั้นสูงไปปกครอง เมืองลูกหลวงแต่ละเมืองจะมีเมืองเล็กๆเป็นบริวาร สำหรับเมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้ราชธานี ส่วนกลางจะส่งขุนนางไปปกครองและให้ขึ้นตรงต่อเมืองหลวง ความสัมพันธ์ทางปกครองระหว่างเมืองหลวงกับเมืองลูกหลวงเป็นโครงสร้างการปกครองแบบหลวม[4]
เมืองประเทศราช ได้แก่สุโขทัย นครศรีธรรมราช จันทบุรี พระมหากษัตริย์จะให้ผู้ปกครองเป็นอิสระแต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการตามเวลาที่กำหนดไว้[5]
การปฏิรูปการปกครอง
การปฏิรูปการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีสาเหตุหลายประการ[6]
(1) การขยายตัวของอาณาจักรอยุธยาทำให้เกิดความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จึงต้องมีการปรับโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ ทำให้มีระบบราชการแบบใหม่เพื่อปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่
(2) การขยายอาณาเขตและการรบกับอาณาจักรล้านนา จึงจำเป็นต้องมีการปรับการบริหารใหม่ที่เหมาะสม
(3) เพื่อปกครองราชอาณาจักรที่ใหญ่ขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างอำนาจให้ปึกแผ่นมั่นคง จึงจำเป็นต้องปฏิรูปการเมือง การบริหารและสังคม เพื่อควบคุมกำลังคนซึ่งเป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร และมุ่งเพิ่มพูนอำนาจในการาควบคุมกำลังคนของรัฐให้สูงสุด
(4) การปฏิรูปสังคมโดยการสร้างระบบศักดินาและไพร่ เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์ทางชนชั้นในสังคมไทย
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงได้ปฏิรูปการปกครองแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม โดยใช้หลัก 3 ประการ ได้แก่ การรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่และหลักการถ่วงดุลอำนาจ[7] ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ คือ
1.การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง
จากเดิมที่การปกครองหัวเมืองยังไม่มีการรวมศูนย์อำนาจหรือปกครองแบบหลวมๆ มีเพียงเมืองลูกหลวงและเมืองบริวารของเมืองลูกหลวงเท่านั้น แต่การที่ราชอาณาจักรอยุธยาแผ่ขยายอาณาเขตออกไปมากขึ้นโดยเฉพาะการควบอาณาจักรสุโขทัยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาใน พ.ศ.1981 ภายหลังพระมหาธรรมราชาที่ 4 แห่งสุโขทัยเสด็จสวรรคต สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงขึ้นไปเรียกร้องสิทธิในราชบัลลังก์โดยอ้างถึงการสืบพระราชวงศ์ทางสายมารดา[8] การปกครองอาณาจักรที่ใหญ่ยิ่งขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างอำนาจให้ปึกแผ่นมั่นคง จึงต้องมีการปฏิรูปการปกครอง เพื่อยึดโยงความสัมพันธ์ระหว่างราชธานีกับหัวเมืองต่างๆ การควบคุมกำลังคนและการสร้างอำนาจในทางเศรษฐกิจ โดยแบ่งหัวเมืองออกเป็นหัวเมืองชั้นในและหัวเมืองชั้นนอกหรือเมืองพระยามหานคร
(1) หัวเมืองชั้นใน ทรงลดฐานะเมืองลูกหลวงลงมาเป็นเมืองชั้นจัตวา อยู่ภายใต้การปกครองของราชธานี จะส่งขุนนางที่เรียกว่า “ผู้รั้ง”ออกไปปกครอง ขึ้นตรงต่อเมืองหลวง โดยหัวเมืองชั้นในมีดังนี้
ทิศเหนือถึงเมืองชัยนาท
ทิศตะวันออกถึงเมืองปราจีนบุรี
ทิศตะวันตกถึงเมืองสุพรรณบุรี
ทิศใต้ถึงเมืองกุยบุรี
(2) หัวเมืองชั้นนอก หรือเมืองพระยามหานคร อยู่ถัดจากเขตหัวเมืองชั้นในออกไป โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงผนวกหัวเมืองประเทศราชในสมัยอยุธยาตอนต้น ได้แก่ สุโขทัย นครศรีธรรมราช เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอยุธยา หัวเมืองชั้นนอกจะแบ่งออกเป็น หัวเมืองชั้นเอก ชั้นโทและชั้นตรี ตามขนาดและความสำคัญของหัวเมือง หัวเมืองชั้นนอกที่สำคัญได้แก่ เมืองพิษณุโลก นครศรีธรรมราช หัวเมืองพระรายามหานครอื่นๆได้แก่ เมืองศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร
ผู้ปกครองหรือเจ้าเมือง ราชธานีจะส่งเจ้านายหรือขุนนางจากส่วนกลางไปปกครอง เจ้าเมืองจะมีอิสระในการปกครองมากพอสมควรแต่ต้องอยู่ในความควบคุมของเมืองหลวงและใช้กฎหมายจากส่วนกลางในการปกครอง
ในการรวมศูนย์อำนาจ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์ทางชนชั้นในสังคมไทยโดยสร้างระบบศักดินา ซึ่งเป็นการกำหนดสถานะของบุคคลให้สังคมไทยเพื่อให้สะดวกต่อการควบคุมกำลังคน และยังทำให้เกิดการจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคมที่มีฐานะแตกต่างกันด้วย เช่น แบ่งคนออกเป็นชนชั้นปกครอง ได้แก่ เจ้านาย ขุนนาง และชนชั้นผู้ถูกปกครอง ได้แก่ ไพร่ ทาส
ปรับปรุงระบบกฎหมาย ซึ่งเป็นรากฐานของระบบศักดินาของอยุธยา คือการประกาศใช้กฎมณเฑียรบาล พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน พระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง ซึ่งกฎหมายเหล่านี้กำหนดให้เจ้า ขุนนาง พระสงฆ์ ราษฎร(ไพร่-ทาส) ต้องมีศักดินา 5-1000,000 ไร่[9]
2.การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่
จากเดิมที่การบริหารราชการแบ่งออกเป็น 4 ฝ่ายที่เรียกว่าจตุสดมภ์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงตราพระไอยการตำแหน่งนาทหารและนาพลเรือน แบ่งหน้าที่ฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร มีอัครมหาเสนาบดี 2 ตำแหน่ง คือ
สมุหพระกลาโหม เป็นอัครมหาเสนาบดีว่าราชการฝ่ายทหารทั้งในราชธานีและหัวเมืองต่างๆ ควบคุมไพร่พลที่เป็นกรมฝ่ายทหาร
สมุหนายก เป็นอัครมหาเสนาบดี ว่าราชการฝ่ายพลเรือน
และทรงปรับปรุงจตุสดมภ์พร้อมเปลี่ยนชื่อจากเวียง วัง คลัง นา เป็น
กรมนครบาล มีหน้าที่ปกครองท้องที่ ปราบปรามโจรผู้ร้าย รักษาความสงบเรียบร้อยภายใน รวมทั้งพิจารณาคดีความที่เป็นมหันตโทษ
กรมธรรมาธิกรณ์ มีหน้าที่รับผิดชอบงานในราชสำนักและงานยุติธรรม รับผิดชอบงานยกกระบัตรในหัวเมืองต่างๆ และดูและกรมที่ขึ้นกับกระทรวง วัง เช่น กรมชาวที่ กรมภูษามาลา เป็นต้น
กรมโกษาธิบดี ทำหน้าที่รับผิดชอบเก็บจ่าย รักษาพระราชทรัพย์ที่ได้จากภาษีอากร รับผิดชอบการค้าสำเภาของพระมหากษัตริย์ และดูแลกรมพระคลังสินค้า กรมท่าซ้ายและกรมท่าขวา
กรมเกษตราธิการ ทำหน้าที่ตรวจตราและส่งเสริมการทำนา การเก็บหางข้าว ออกโฉนดที่นา จัดซื้อข้าวขึ้นฉางหลวง
3.การถ่วงดุลอำนาจ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแยกอำนาจโดยให้สมุหพระกลาโหมคุมอำนาจทหารและสมุหนายกคุมอำนาจพลเรือน ผลของการปฏิรูปที่แยกอำนาจของฝ่ายทหารและพลเรือนออกจากกันจึงเป็นการถ่วงดุลอำนาจ และทำให้พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ
ผลของการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
(1) ทำให้ราชธานีหรือศูนย์กลางมีอำนาจในการปกครองหัวเมืองต่างๆเพิ่มมากขึ้น และสามารถควบคุมอำนาจทางเศรษฐกิจ ทำให้ส่วนกลางมีความมั่งคั่ง
(2) ระบบศักดินาทำให้เกิดโครงสร้างทางชนชั้น เป็นเครื่องมือที่สำคัญในทางปกครอง กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง กำหนดสิทธิและหน้าที่
(3) เกิดเสถียรภาพในการปกครอง โดยเฉพาะอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่มีการรวมศูนย์ มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างทหารและพลเรือน
การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมีผลต่อการปกครองไทยเป็นเวลายาวนานจนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินใน พ.ศ.2435
บรรณานุกรม
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ,อยุธยา : ประวัติศาสตร์และการเมือง.(กรุงเทพมหานคร, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่สี่, 2548).
ธันยวัฒน์ รัตนสัค, การบริหารราชการไทย, (เชียงใหม่: สำนักวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555) .
บุศรา ชูสง่า.(2543) การปฏิรูปการปกครองกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991-2031) วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ลิขิต ธีรเวคิน,วิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย,พิมพ์ครั้งที่ 9 กรุงเทพมหานคร,สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2548) .
ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล,การเมืองการปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.1893-2112 เอกสารการสอนชุดวิชาประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองไทย,พิมพ์ครั้งที่ 6 (นนทบุรี : สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ,2533) .
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี,บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์,(กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549).
ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล,การเมืองการปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.1893-2112 เอกสารการสอนชุดวิชาประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองไทย,พิมพ์ครั้งที่ 6 (นนทบุรี : สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2533) .
อ้างอิง
- ↑ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา : ประวัติศาสตร์และการเมือง.(กรุงเทพมหานคร, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่สี่, 2548) ,หน้า 29.
- ↑ ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล,การเมืองการปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.1893-2112 เอกสารการสอนชุดวิชาประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองไทย, พิมพ์ครั้งที่ 6 (นนทบุรี : สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ,2533) ,หน้า 131.
- ↑ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี,บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์,(กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549) ,หน้า 28.
- ↑ ธันยวัฒน์ รัตนสัค, การบริหารราชการไทย, (เชียงใหม่: สำนักวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555) ,หน้า 29.
- ↑ ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล,การเมืองการปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.1893-2112 เอกสารการสอนชุดวิชาประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองไทย, หน้า 131-132.
- ↑ ลิขิต ธีรเวคิน,วิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย,พิมพ์ครั้งที่ 9 กรุงเทพมหานคร,สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2548) หน้า 29
- ↑ ธันยวัฒน์ รัตนสัค, การบริหารราชการไทย, หน้า 30-36.
- ↑ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ,อยุธยา ประวัติศาสตร์และการเมือง, หน้า 176
- ↑ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา : ประวัติศาสตร์และการเมือง.กรุงเทพมหานคร, หน้า 11.
หนังสืออ่านประกอบ
บุศรา ชูสง่า.(2543) การปฏิรูปการปกครองกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991-2031) วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี,(2549),บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์,กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ(2548),อยุธยา : ประวัติศาสตร์และการเมือง.พิมพ์ครั้งที่สี่.กรุงเทพมหานคร, มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ลิขิต ธีรเวคิน.(25648).วิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย,พิมพ์ครั้งที่ 9 กรุงเทพมหานคร,สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.