ยกกระบัตร
เรียบเรียงโดย : ดร.ชาติชาย มุกสง และ นายภาณุพงศ์ สิทธิสาร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
ยกกระบัตร
ยกกระบัตร ยกระบัตร ยกบัตร ยุกกระบัตร ยุกระบัตร หรือยุกรบัตร คือ ตำแหน่งข้าราชการสังกัดกระทรวงวัง มีหน้าที่ออกไปประจำอยู่ตามหัวเมืองเพื่อสอดส่องอรรถคดี [1] เป็นตำแหน่งราชการที่มีความสำคัญทางการปกครองมาแต่โบราณ คุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งยกกระบัตรในอดีตนั้น ต้องถึงพร้อมด้วยชาติวุฒิ เป็นผู้ดีมีตระกูล และคุณวุฒิ เป็นผู้มีความรอบรู้ทั้งด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ตลอดจนขนบธรรมเนียมปฏิบัติทางราชการเป็นอย่างดี [2] ทั้งนี้ ตำแหน่งยกกระบัตรเทียบได้กับตำแหน่งอัยการในปัจจุบัน
ความเป็นมาและความสำคัญ
การรักษาความยุติธรรมในอดีต พระมหากษัตริย์ทรงไม่อาจรับพระราชภาระชำระคดีความต่าง ๆ ได้ครอบคลุมทั่วทั้งพระราชอาณาจักรเพียงพระองค์เดียว จึงทรงแบ่งพระราชอำนาจให้ผู้อื่นช่วยในการรักษาความยุติธรรม ด้วยเหตุนี้ เสนาบดีกระทรวงวัง จึงมีหน้าที่ตั้งยกกระบัตรออกไปอยู่ตามหัวเมือง เมืองละคน สำหรับบอกรายงานการรักษาความยุติธรรมในเมืองนั้น ๆ เข้ามาถวายให้พระมหากษัตริย์ทรงทราบ [3]
นอกจากยกกระบัตรจะทำหน้าที่ดูแลความยุติธรรมประหนึ่งเป็นหัวหน้าศาลในหัวเมืองแล้ว ยังมีหน้าที่ไม่ต่างจากรองเจ้าเมือง ด้วยเป็นผู้ที่กรมวังตั้งออกไป เคยได้ฟังได้เห็นการปฏิบัติราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ได้ฟังใบบอกพระราชดำรัสตัดสินคดีต่าง ๆ จึงเป็นผู้รู้นโยบายจากทางเมืองหลวง [4] เมื่อออกไปรับตำแหน่งหน้าที่ตามหัวเมือง จึงเปรียบเสมือนผู้แทนต่างพระเนตรพระกรรณ คอยสอดส่องดูแลทั้งกระบวนการยุติธรรมและความประพฤติของกรมการเมืองอีกด้วย
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามพระอัยการครั้งแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1991 – 2031) ระบุไว้ว่า หัวเมืองเอก เมืองนครศรีธรรมราช ยกกระบัตร ศักดินา 1,600 ที่พระภักดีราช เมืองโท ยกกระบัตร ศักดินา 1,000 เมืองตรี ยกกระบัตร ศักดินา 600 และเมืองจัตวา ยกกระบัตร ศักดินา 500 [5]
บทบาทหน้าที่ของยกกระบัตร
อำนาจและหน้าที่ของยกกระบัตรที่ระบุไว้ในกฎหมายตราสามดวง สามารถจัดแบ่งหมวดหมู่ได้ ดังนี้ [6]
ด้านการบริหารและการปกครอง
- คอยสอดส่องดูแลความประพฤติของเจ้าเมืองและกรมการเมือง
- จัดทำรายงานกิจการความเป็นไปในหัวเมืองนั้น ๆ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์ อนึ่ง ยกกระบัตรจะมาเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์เมื่อใดก็ได้ เจ้าเมืองไม่มีสิทธิ์ห้าม
- ยกกระบัตรต้องรู้จำนวนไพร่พลภายในหัวเมือง เพื่อสามารถกะเกณฑ์จำนวนคนที่มีทะเบียนมาใช้ในราชการงานของหลวงได้ หากไม่รู้ถือว่ามีโทษ [7]
ด้านการทหาร
- หน้าที่เกี่ยวกับการรณรงค์สงคราม เช่น ติดตามเจ้าเมืองไปในราชการสงคราม หรือจัดหาเครื่องใช้ของทหาร
ด้านการยุติธรรม
- คอยสอดส่องอรรถคดีความในหัวเมือง เช่น ศาลมหาดไทย เจ้าเมืองจะออกว่าความตัดสินคดีแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้ ต้องมียกกระบัตรนั่งคู่ด้วย
ด้านการเศรษฐกิจและพิธีการ
- หน้าที่ดูแลเกี่ยวกับทรัพยากรอันมีค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ไม้ฝาง ให้เข้าสู่ท้องพระคลังอย่างปลอดภัย หากยกกระบัตรทุจริตเสียเอง จะได้รับโทษอย่างร้ายแรงถึงประหารชีวิตและริบราชบาตร [8]
- หน้าที่เกี่ยวกับการพระราชพิธี เช่น การจัดให้ข้าราชการและผู้เป็นยกกระบัตรเข้าถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือเจ้าเมืองจะประกอบพิธีการใด ๆ ยกกระบัตรต้องรู้เห็นด้วย
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ โดยมากไม่ปรากฏประวัติที่ชัดเจนของผู้ที่เคยรับตำแหน่งยกกระบัตร อย่างไรก็ตาม บุคคลสำคัญที่เคยรับตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าว คือ นายทองด้วง บุตรพระอักษรสุนทรศาสตร์ กับนางหยก รับราชการเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี [9] กระทั่งสิ้นสุดสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.2310 นายทองด้วงยังคงรับราชการต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ก่อนที่จะปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ปรากฏพระนามคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่_1
การยกเลิกตำแหน่งยกกระบัตร
เมื่อ พ.ศ.2436 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีการก่อตั้งกรมอัยการ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ตำแหน่งยกกระบัตรยังคงมีอยู่ในทุกหัวเมืองมณฑล โดยเรียกว่า ยกกระบัตรเมือง และยกกระบัตรมณฑล ครั้นถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่_6 เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2459 ทรงมีพระราชดำริเห็นว่า ยกกระบัตรนั้นเป็นคำที่มีมาแต่โบราณ ความหมายและการใช้งานย่อมเปลี่ยนแปลงไปมาก ด้วยเหตุนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมพนักงานอัยการซึ่งแยกกันอยู่หลายกระทรวง เข้ามาอยู่รวมกันในกรมอัยการ สังกัดกระทรวงยุติธรรม และประกาศให้ยกเลิกตำแหน่งยกกระบัตร ให้เรียกว่าอัยการ โดยที่พนักงานอัยการมีไว้สำหรับเป็นทนายแผ่นดิน [10]
บรรณานุกรม
จุลจักรพงษ์, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า, เจ้าชีวิต, พิมพ์ครั้งที่ 6, กรุงเทพฯ: ริเวอร์ บุ๊คส์, 2554.
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระ, ลักษณะการปกครองประเทศไทยแต่โบราณ, พระนคร: ธนาคารออมสิน, 2498.
เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระ, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยา และต้นรัตนโกสินทร์, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.
ยืนหยัด ใจสมุทร, ต้นตระกูลอัยการไทย, กรุงเทพฯ: ศยาม, 2537.
ราชบัณฑิตยสถาน, กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม '2', กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2550.
_______, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.'2554', พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2556.
สำนักงานอัยการสูงสุด, พิพิธภัณฑ์อัยการไทย, กรุงเทพฯ: สำนักงานอัยการสูงสุด, 2546.
_______, อัยการไทย, กรุงเทพฯ: สำนักอัยการสูงสุด, 2539.
[1] ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.'2554', (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2556), หน้า 938.
[2] ราชบัณฑิตยสถาน, กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม '2', (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2550), หน้า 42.
[3] สมเด็จฯ กรมพระดำรงราชานุภาพ, ลักษณะการปกครองประเทศไทยแต่โบราณ, (พระนคร: ธนาคารออมสิน, 2498), หน้า 25.
[4] สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549), หน้า 15.
[5] ยืนหยัด ใจสมุทร, ต้นตระกูลอัยการไทย, (กรุงเทพฯ: ศยาม, 2537), หน้า 26.
[6] สำนักงานอัยการสูงสุด, อัยการไทย, (กรุงเทพฯ: สำนักอัยการสูงสุด, 2539), หน้า 6 – 7.
[7] สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549), หน้า 49 – 50.
[8] ราชบัณฑิตยสถาน, กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม '2', (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2550), หน้า 45.
[9] พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์, เจ้าชีวิต, (พิมพ์ครั้งที่ 6, กรุงเทพฯ: ริเวอร์ บุ๊คส์, 2554), หน้า 67.
[10] สำนักงานอัยการสูงสุด, พิพิธภัณฑ์อัยการไทย, (กรุงเทพฯ: สำนักงานอัยการสูงสุด, 2546), หน้า 16.