ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Teeraphan (คุย | ส่วนร่วม)
พระราชอำนาจในการยุบสาผู้แทนราษฎร ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น [[พระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎ�
 
Teeraphan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
'''พระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร'''
'''พระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร'''


การยุบสภาผู้แทนราษฎรถือเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ซึ่งต้องกระทำโดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูบและนำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติรองรับพระราชอำนาจองพระมหากษัตริย์ในการยุบสภาผู้แทนราษฎรไว้ดังนี้
การยุบสภาผู้แทนราษฎรถือเป็น[[พระราชอำนาจ]]ของ[[พระมหากษัตริย์]]ซึ่งต้องกระทำโดยการตราเป็น[[พระราชกฤษฎีกา]] [[นายกรัฐมนตรี]]จะเป็นผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูบและนำร่าง[[พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร]]ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย โดย[[นายกรัฐมนตรี]]เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่ง[[รัฐธรรมนูญ]]ฉบับปัจจุบันได้บัญญัติรองรับ[[พระราชอำนาจ]]ของพระมหากษัตริย์ในการ[[ยุบสภ]]าผู้แทนราษฎรไว้ดังนี้


“มาตรา ๑๑๖ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่
“มาตรา ๑๑๖ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่


การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในหกสิบวันและวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวัน[[เลือกตั้ง]][[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]ใหม่เป็น[[การเลือกตั้งทั่วไป]]ภายในหกสิบวันและวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร


'''การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน'''
'''การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน'''
พระราชอำนาจในการแต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
พระราชอำนาจในการแต่งตั้ง[[ประธานสภาผู้แทนราษฎร]]และ[[วุฒิสภา]] และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา


รัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งแต่ละสภาจะต้องมีประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา โดยจะมีรองประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานวุฒิสภาคนหนึ่งหรือสองคนให้เป็นไปตามมติของแต่ละสภา แล้วแต่กรณี ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติรับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งประธานและรองประธานของแต่ละสภา ไว้ดังนี้
รัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งแต่ละสภาจะต้องมีประธานสภาผู้แทนราษฎรและ[[ประธานวุฒิสภา]] โดยจะมีรองประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานวุฒิสภาคนหนึ่งหรือสองคนให้เป็นไปตามมติของแต่ละสภา แล้วแต่กรณี ซึ่ง[[รัฐธรรมนูญ]]ฉบับปัจจุบันได้บัญญัติรับพระราชอำนาจของ[[พระมหากษัตริย์]]ในการแต่งตั้งประธานและรองประธานของแต่ละสภา ไว้ดังนี้


“มาตรา ๑๕๑ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่ละสภา มีประธานสภาคนหนึ่งและรองประธานคนหนึ่งหรือสองคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมาชิกแห่งสภานั้นๆ ตามมติของสภา”
“มาตรา ๑๕๑ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่ละสภา มีประธานสภาคนหนึ่งและรองประธานคนหนึ่งหรือสองคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมาชิกแห่งสภานั้นๆ ตามมติของสภา”
บรรทัดที่ 16: บรรทัดที่ 16:
'''พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร'''
'''พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร'''


รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติรองรับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ไว้ดังนี้
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติรองรับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็น[[หัวหน้าพรรคการเมือง]]ขึ้นเป็น[[ผู้นำฝ่ายค้าน]]ใน[[สภาผู้แทนราษฎร]] ไว้ดังนี้


“มาตรา ๑๒๐ ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่สมาชิกในสังกัดของพรรคตนมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และมีจำนวนมากที่สุดในบรรดาพรรคการเมืองที่สมาชิกในสังกัดมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรในขณะแต่งตั้ง เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
“มาตรา ๑๒๐ ภายหลังที่[[คณะรัฐมนตรี]]เข้า[[บริหารราชการแผ่นดิน]]แล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้เป็นหัวหน้า[[พรรคการเมือง]]ใน[[สภาผู้แทนราษฎร]]ที่สมาชิกในสังกัดของพรรคตนมิได้ดำรงตำแหน่ง[[รัฐมนตรี]] และมีจำนวนมากที่สุดในบรรดาพรรคการเมืองที่สมาชิกในสังกัดมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรในขณะแต่งตั้ง เป็น[[ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร]]


ในกรณีที่ไม่มีพรรคการเมืองใดในสภาผู้แทนราษฎรมีลักษณะที่กำหนดไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนข้างมากจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคการเมืองที่สมาชิกในสังกัดของพรรคนั้น มิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรในกรณีที่มีเสียงสนับสนุนเท่ากัน ให้ใช้วิธีจับฉลาก
ในกรณีที่ไม่มีพรรคการเมืองใดในสภาผู้แทนราษฎรมีลักษณะที่กำหนดไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนข้างมากจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคการเมืองที่สมาชิกในสังกัดของพรรคนั้น มิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรในกรณีที่มีเสียงสนับสนุนเท่ากัน ให้ใช้วิธีจับฉลาก


ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนอง[[พระบรมราชโองการ]]แต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร


ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรยอ่มพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดคุณสมบัติดังกล่าวในวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง และให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๕๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีเช่นนี้พระมหากษัตริย์จะได้ทรงแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่ง ที่ว่าง”
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรยอ่มพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดคุณสมบัติดังกล่าวในวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง และให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๕๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีเช่นนี้พระมหากษัตริย์จะได้ทรงแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่ง ที่ว่าง”

รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:52, 30 สิงหาคม 2553

พระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร

การยุบสภาผู้แทนราษฎรถือเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ซึ่งต้องกระทำโดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำความขึ้นกราบบังคมทูบและนำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติรองรับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการยุบสภาผู้แทนราษฎรไว้ดังนี้

“มาตรา ๑๑๖ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่

การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในหกสิบวันและวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน พระราชอำนาจในการแต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

รัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งแต่ละสภาจะต้องมีประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา โดยจะมีรองประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานวุฒิสภาคนหนึ่งหรือสองคนให้เป็นไปตามมติของแต่ละสภา แล้วแต่กรณี ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติรับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งประธานและรองประธานของแต่ละสภา ไว้ดังนี้

“มาตรา ๑๕๑ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่ละสภา มีประธานสภาคนหนึ่งและรองประธานคนหนึ่งหรือสองคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมาชิกแห่งสภานั้นๆ ตามมติของสภา”

พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติรองรับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ไว้ดังนี้

“มาตรา ๑๒๐ ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่สมาชิกในสังกัดของพรรคตนมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และมีจำนวนมากที่สุดในบรรดาพรรคการเมืองที่สมาชิกในสังกัดมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรในขณะแต่งตั้ง เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

ในกรณีที่ไม่มีพรรคการเมืองใดในสภาผู้แทนราษฎรมีลักษณะที่กำหนดไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนข้างมากจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคการเมืองที่สมาชิกในสังกัดของพรรคนั้น มิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรในกรณีที่มีเสียงสนับสนุนเท่ากัน ให้ใช้วิธีจับฉลาก

ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรยอ่มพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดคุณสมบัติดังกล่าวในวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง และให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๕๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีเช่นนี้พระมหากษัตริย์จะได้ทรงแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่ง ที่ว่าง”