ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางการเมือง"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ---- '''ผู้ทรงคุณวุฒิป...
 
Teeraphan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 9: บรรทัดที่ 9:
== การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางการเมือง ==
== การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางการเมือง ==


การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางการเมือง หรือมักเรียกว่า พรรคชนชั้น (Cadre Party) หรือ พรรคแบบดั้งเดิม (Traditional Party) นั้น ถือได้ว่าเป็นรูปแบบการก่อกำเนิดพรรคการเมืองที่เก่าแก่ มักประกอบด้วยชนชั้นสูงหรือชนชั้นนำในสังคม โดยที่พรรคการเมืองในยุคแรกๆ ของประเทศต่างๆ มักเป็นไปในรูปแบบนี้ทั้งสิ้น  เนื่องจากในยุคแรกของการมีการจัดตั้งพรรคการเมือง ผู้ที่จะมีโอกาสได้รับเลือก ต้องเป็นผู้ที่มีฐานะดีหรือมีเกียรติยศชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในเขตนั้นๆ เมื่อบุคคลเหล่านี้มารวมตัวกันเข้าเป็นพรรคการเมืองก็มักไม่ต้องการสมาชิกเพื่อเป้าหมายในการสนับสนุนพรรคมากนัก เพราะต่างมีเงินทุนและชื่อเสียงดีอยู่แล้ว   
การก่อตั้ง[[พรรคการเมือง]]โดยกลุ่ม[[ผู้นำทางการเมือง]] หรือมักเรียกว่า [[พรรคชนชั้น]] (Cadre Party) หรือ [[พรรคแบบดั้งเดิม]] (Traditional Party) นั้น ถือได้ว่าเป็นรูปแบบการก่อกำเนิดพรรคการเมืองที่เก่าแก่ มักประกอบด้วยชนชั้นสูงหรือชนชั้นนำในสังคม โดยที่พรรคการเมืองในยุคแรกๆ ของประเทศต่างๆ มักเป็นไปในรูปแบบนี้ทั้งสิ้น  เนื่องจากในยุคแรกของการมีการจัดตั้งพรรคการเมือง ผู้ที่จะมีโอกาสได้รับเลือก ต้องเป็นผู้ที่มีฐานะดีหรือมีเกียรติยศชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในเขตนั้นๆ เมื่อบุคคลเหล่านี้มารวมตัวกันเข้าเป็นพรรคการเมืองก็มักไม่ต้องการสมาชิกเพื่อเป้าหมายในการสนับสนุนพรรคมากนัก เพราะต่างมีเงินทุนและชื่อเสียงดีอยู่แล้ว   


โดยทั่วไป พรรคการเมืองที่ก่อตั้งโดยชนชั้นนำในประเทศตะวันตกในศตวรรษที่ 19  มักมีคุณลักษณะ ที่มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและการมีส่วนร่วมในพรรคการเมืองที่จำกัดเฉพาะกลุ่ม โดยเน้นที่สมาชิกซึ่งเป็นชนชั้นนำในสังคม  จึงมีการกระจายของทรัพยากรทางการเมืองที่จำกัดเฉพาะกลุ่ม เน้นสถานภาพหรือชนชั้นทางสังคมเป็นกลไกในการแสวงหาฐานสนับสนุน ทำให้ไม่ให้ความสำคัญกับการรณรงค์หาเสียง เนื่องจากแหล่งทุนและการสื่อสารของพรรคมาจากความสัมพันธ์ส่วนตัว ดังตัวอย่างพรรคการเมืองแบบชนชั้นในยุโรปที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือเป็นต้นแบบของพรรคชนชั้น ได้แก่ พรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) พรรคเสรีนิยม (Liberal Party) และพรรคก้าวหน้า (Radical Party)  ทั้งสามพรรคนี้เกิดขึ้นในอังกฤษ โดยทั้งสามพรรคเน้นการรักษาโครงสร้างหรือลักษณะของความเป็นชนชั้นนำ (Elite) ได้แก่ การเป็นพรรคการเมืองที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในการรวบรวมสมาชิกให้มีจำนวนมากที่สุด แต่ให้ความสำคัญกับการรวมสมาชิกเฉพาะที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ผู้มีฐานะดีและมีศักยภาพในการสนับสนุนด้านการเงินแก่พรรคการเมือง เพื่อใช้จ่ายในการเลือกตั้ง อีกทั้งในด้านการบริหารเน้นการรวมอำนาจไว้ที่ผู้นำหรือกลุ่มผู้นำพรรคเป็นหลัก
โดยทั่วไป พรรคการเมืองที่ก่อตั้งโดยชนชั้นนำในประเทศตะวันตกในศตวรรษที่ 19  มักมีคุณลักษณะ ที่มีจำนวน[[ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง]]และการมีส่วนร่วมในพรรคการเมืองที่จำกัดเฉพาะกลุ่ม โดยเน้นที่สมาชิกซึ่งเป็นชนชั้นนำในสังคม  จึงมีการกระจายของทรัพยากรทางการเมืองที่จำกัดเฉพาะกลุ่ม เน้นสถานภาพหรือชนชั้นทางสังคมเป็นกลไกในการแสวงหาฐานสนับสนุน ทำให้ไม่ให้ความสำคัญกับ[[การรณรงค์หาเสียง]] เนื่องจากแหล่งทุนและการสื่อสารของพรรคมาจากความสัมพันธ์ส่วนตัว ดังตัวอย่างพรรคการเมืองแบบชนชั้นในยุโรปที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือเป็นต้นแบบของพรรคชนชั้น ได้แก่ [[พรรคอนุรักษ์นิยม]] (Conservative Party) [[พรรคเสรีนิยม]] (Liberal Party) และ[[พรรคก้าวหน้า]] (Radical Party)  ทั้งสามพรรคนี้เกิดขึ้นในอังกฤษ โดยทั้งสามพรรคเน้นการรักษาโครงสร้างหรือลักษณะของความเป็น[[ชนชั้นนำ]] (Elite) ได้แก่ การเป็น[[พรรคการเมือง]]ที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในการรวบรวมสมาชิกให้มีจำนวนมากที่สุด แต่ให้ความสำคัญกับการรวมสมาชิกเฉพาะที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ผู้มีฐานะดีและมีศักยภาพในการสนับสนุนด้านการเงินแก่พรรคการเมือง เพื่อใช้จ่ายในการเลือกตั้ง อีกทั้งในด้านการบริหารเน้นการรวมอำนาจไว้ที่ผู้นำหรือกลุ่มผู้นำพรรคเป็นหลัก


ในกรณีของไทยนั้น  พรรคการเมืองไทยที่มีลักษณะของการก่อตั้งโดยกลุ่มผู้นำทางการเมือง เช่น พรรคสหประชาไทย ที่จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร จัดตั้งขึ้น โดยอาศัยการสนับสนุนจากเหล่าทหารและกลุ่มข้าราชการ รวมทั้งเน้นการชักชวนบุคคลสำคัญหรือผู้นำทางการเมืองที่มีความโดดเด่นในแต่ละจังหวัดเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค  ตลอดจนได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจตะวันตกในการป้องกันประเทศจากการรุกรานภายนอก เป็นต้น
ในกรณีของไทยนั้น  พรรคการเมืองไทยที่มีลักษณะของการก่อตั้งโดยกลุ่มผู้นำทางการเมือง เช่น พรรค[[สหประชาไทย]] ที่จ[[อมพลถนอม กิตติขจร]] และ[[จอมพลประภาส จารุเสถียร]] จัดตั้งขึ้น โดยอาศัยการสนับสนุนจากเหล่าทหารและกลุ่มข้าราชการ รวมทั้งเน้นการชักชวนบุคคลสำคัญหรือผู้นำทางการเมืองที่มีความโดดเด่นในแต่ละจังหวัดเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค  ตลอดจนได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจตะวันตกในการป้องกันประเทศจากการรุกรานภายนอก เป็นต้น


อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในภาพรวมถึงพัฒนาการของพรรคการเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยเฉพาะในระหว่าง พ.ศ. 2489 – 2531 ถือได้ว่าเกิดขึ้นและดำเนินไปภายใต้การครอบงำของคณะทหารและระบบราชการในฐานะที่เป็นกลุ่มผู้นำทางการเมืองที่มีความสำคัญในช่วงเวลานั้น ซึ่งผลที่เกิดขึ้นต่อระบบการเมืองไทย ก็คือ การขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมือง เพราะมักถูกการปฏิวัติของคณะทหารเข้ามาแทรกแซง ผลก็คือพรรคการเมืองไทยไม่สามารถเจริญเติบโตอย่างมีลำดับขั้นตอนที่เป็นธรรมชาติ และแสดงความสามารถในการพัฒนาประเทศให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่  
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในภาพรวมถึงพัฒนาการของพรรคการเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยเฉพาะในระหว่าง พ.ศ. 2489 – 2531 ถือได้ว่าเกิดขึ้นและดำเนินไปภายใต้การครอบงำของ[[คณะทหาร]]และ[[ระบบราชการ]]ในฐานะที่เป็นกลุ่มผู้นำทางการเมืองที่มีความสำคัญในช่วงเวลานั้น ซึ่งผลที่เกิดขึ้นต่อระบบการเมืองไทย ก็คือ การขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมือง เพราะมักถูกการปฏิวัติของคณะทหารเข้ามาแทรกแซง ผลก็คือพรรคการเมืองไทยไม่สามารถเจริญเติบโตอย่างมีลำดับขั้นตอนที่เป็นธรรมชาติ และแสดงความสามารถในการพัฒนาประเทศให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่  


ลักษณะสำคัญ ของผู้นำและสมาชิกของพรรคการเมืองไทยภายใต้การครอบงำของทหารและระบบราชการ แบ่งออกได้เป็น 4 ประการดังนี้คือ
ลักษณะสำคัญ ของผู้นำและสมาชิกของพรรคการเมืองไทยภายใต้การครอบงำของทหารและระบบราชการ แบ่งออกได้เป็น 4 ประการดังนี้คือ


(1) บทบาทและหน้าที่ในการคัดเลือกผู้นำทางการเมือง (Political Elite Recruitment)  ในห้วงเวลาที่อยู่ภายใต้การครอบงำของทหารและระบบราชการ พรรคการเมืองไทยมิได้ทำหน้าที่สรรหาและแต่งตั้งผู้นำของประเทศ กล่าวอย่างชัดเจนก็คือในสังคมที่ระบอบการปกครองเป็นแบบอำนาจนิยม และในช่วงของรัฐบาลพลเอกเปรม หรือ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” นั้น ผู้นำทางการเมืองไม่ได้มาจากพรรคการเมือง แต่เติบโตมาจากกองทัพหรือระบบราชการ ถึงแม้ภายใต้การครอบงำของทหารบางขณะ ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งที่มีการแข่งขันค่อนข้างเสรี แต่การจัดตั้งรัฐบาลแต่ละครั้ง พรรคการเมืองต้องรวบรวมพรรคร่วมรัฐบาล 3-5 พรรคเข้าด้วยกัน อีกทั้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมากดังกล่าว พรรคการเมืองก็ยังต้องหันหน้าไปพึ่งพานายทหารให้เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังเช่นรัฐบาลพลเอกเปรมที่บริหารประเทศอย่างต่อเนื่องกว่า 8 ปี  ตลอดจนการเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำคัญ ๆ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น  นอกจากนี้แล้วลักษณะเด่นของผู้นำทางการเมืองคือ เป็นผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้รวมไปถึงคณะรัฐมนตรีจำนวนหนึ่ง และวุฒิสมาชิกทั้งสภาด้วย
(1) บทบาทและหน้าที่ในการคัดเลือกผู้นำทางการเมือง (Political Elite Recruitment)  ในห้วงเวลาที่อยู่ภายใต้การครอบงำของทหารและระบบราชการ พรรคการเมืองไทยมิได้ทำหน้าที่สรรหาและแต่งตั้งผู้นำของประเทศ กล่าวอย่างชัดเจนก็คือในสังคมที่ระบอบการปกครองเป็นแบบ[[อำนาจนิยม]] และในช่วงของ[[รัฐบาล]]พลเอกเปรม หรือ “[[ประชาธิปไตยครึ่งใบ]]” นั้น ผู้นำทางการเมืองไม่ได้มาจากพรรคการเมือง แต่เติบโตมาจากกองทัพหรือระบบราชการ ถึงแม้ภายใต้การครอบงำของทหารบางขณะ ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งที่มีการแข่งขันค่อนข้างเสรี แต่การจัดตั้งรัฐบาลแต่ละครั้ง พรรคการเมืองต้องรวบรวมพรรคร่วมรัฐบาล 3-5 พรรคเข้าด้วยกัน อีกทั้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมากดังกล่าว พรรคการเมืองก็ยังต้องหันหน้าไปพึ่งพานายทหารให้เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังเช่นรัฐบาลพลเอกเปรมที่บริหารประเทศอย่างต่อเนื่องกว่า 8 ปี  ตลอดจนการเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำคัญ ๆ เช่น [[กระทรวงกลาโหม]] [[กระทรวงมหาดไทย]] เป็นต้น  นอกจากนี้แล้วลักษณะเด่นของผู้นำทางการเมืองคือ เป็นผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้รวมไปถึงคณะรัฐมนตรีจำนวนหนึ่ง และวุฒิสมาชิกทั้งสภาด้วย


(2) บทบาทและหน้าที่ในการจัดทำนโยบายที่ใช้ในการบริหารประเทศ ซึ่งนโยบายเป็นผลงานของระบบราชการและกลุ่มขุนนางนักวิชาการ (Technocrats) ลักษณะของนโยบายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ไม่ได้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแสวงหา สร้างความชอบธรรมและขยายฐานคะแนนเสียงของพรรคการเมือง การขาดนโยบายที่บูรณาการ มีความสอดคล้อง เชื่อมโยงกันทั้งคณะรัฐบาล สามารถนำไปประสานปฏิบัติได้ เนื่องจาก พรรคร่วมรัฐบาลที่แตกแยกเป็นกลุ่ม และ “มุ้ง” การเมือง  
(2) บทบาทและหน้าที่ในการจัดทำนโยบายที่ใช้ในการบริหารประเทศ ซึ่งนโยบายเป็นผลงานของ[[ระบบราชการ]]และ[[กลุ่มขุนนางนักวิชาการ]] (Technocrats) ลักษณะของนโยบายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ไม่ได้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแสวงหา สร้าง[[ความชอบธรรม]]และขยาย[[ฐานคะแนน]]เสียงของพรรคการเมือง การขาดนโยบายที่บูรณาการ มีความสอดคล้อง เชื่อมโยงกันทั้งคณะ[[รัฐบาล]] สามารถนำไปประสานปฏิบัติได้ เนื่องจาก พรรคร่วมรัฐบาลที่แตกแยกเป็นกลุ่ม และ “[[มุ้ง]]” การเมือง  


(3) ความสามารถในการรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อเป็นฐานคะแนนในระยะยาวของพรรคได้รับการให้ความสำคัญน้อยมาก ทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่พรรคและนักการเมืองต่างตระหนักดีว่าการรัฐประหาร การยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ พรรคการเมืองและนักการเมืองจึงพยายามสร้างความนิยมส่วนตัวในระยะสั้นๆ ที่เห็นผลทันตามากกว่าเน้นการวางยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อสะสมคะแนนเสียงในระยะยาว เทคนิคในการหาเสียงจึงเป็นการสร้างความผูกพันแบบอุปถัมภ์โดยการแจกจ่ายเงิน สิ่งของ สร้างถนน ขุดบ่อ คือเป็นการให้ทางวัตถุที่สร้างบุญคุณต่อกัน
(3) ความสามารถในการรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อเป็นฐานคะแนนในระยะยาวของพรรคได้รับการให้ความสำคัญน้อยมาก ทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่พรรคและ[[นักการเมือง]]ต่างตระหนักดีว่าการ[[รัฐประหาร]] การ[[ยุบสภา]]และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ พรรคการเมืองและ[[นักการเมือง]]จึงพยายามสร้างความนิยมส่วนตัวในระยะสั้นๆ ที่เห็นผลทันตามากกว่าเน้นการวางยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อสะสมคะแนนเสียงในระยะยาว เทคนิคในการหาเสียงจึงเป็นการสร้างความผูกพันแบบ[[อุปถัมภ์]]โดยการแจกจ่ายเงิน สิ่งของ สร้างถนน ขุดบ่อ คือเป็นการให้ทางวัตถุที่สร้างบุญคุณต่อกัน


(4) การขาดจริยธรรมทางการเมือง และไร้ซึ่งความจงรักภักดีต่อพรรคของเหล่าบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและนักการเมือง ลักษณะเช่นนี้เป็นที่มาของความล้มเหลวและความไร้เสถียรภาพของพรรคการเมืองไทย และถูกใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของคณะทหารอยู่เสมอ
(4) การขาด[[จริยธรรมทางการเมือง]] และไร้ซึ่งความจงรักภักดีต่อพรรคของเหล่าบรรดา[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]และ[[นักการเมือ]]ง ลักษณะเช่นนี้เป็นที่มาของความล้มเหลวและความไร้เสถียรภาพของพรรคการเมืองไทย และถูกใช้เป็นข้ออ้างในการเข้า[[แทรกแซงทางการเมือง]]ของคณะทหารอยู่เสมอ


นอกจากนี้แล้ว บทบัญญัติของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เช่น รัฐธรรมนูญปี 2521 ยังเป็นปัจจัยแทรกแซงที่สำคัญที่เอื้อให้พรรคการเมืองอยู่ภายใต้การครอบงำของคณะทหารและระบบราชการ เนื่องจากมีบทบัญญัติที่ไม่เปิดโอกาสให้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ต้องใช้เสียงข้างมากจากทั้งสองสภา กล่าวคือ ต้องได้รับความยินยอมจากวุฒิสภาซึ่งมาจากการแต่งตั้งด้วย
นอกจากนี้แล้ว บทบัญญัติของ[[กฎหมาย]]และ[[รัฐธรรมนูญ]] เช่น รัฐธรรมนูญปี 2521 ยังเป็นปัจจัยแทรกแซงที่สำคัญที่เอื้อให้พรรคการเมืองอยู่ภายใต้การครอบงำของคณะทหารและระบบราชการ เนื่องจากมีบทบัญญัติที่ไม่เปิดโอกาสให้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ต้องใช้เสียงข้างมากจากทั้งสองสภา กล่าวคือ ต้องได้รับความยินยอมจาก[[วุฒิสภา]]ซึ่งมาจากการแต่งตั้งด้วย


== ที่มา ==
== ที่มา ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 18:15, 23 สิงหาคม 2553

ผู้เรียบเรียง นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางการเมือง

การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางการเมือง หรือมักเรียกว่า พรรคชนชั้น (Cadre Party) หรือ พรรคแบบดั้งเดิม (Traditional Party) นั้น ถือได้ว่าเป็นรูปแบบการก่อกำเนิดพรรคการเมืองที่เก่าแก่ มักประกอบด้วยชนชั้นสูงหรือชนชั้นนำในสังคม โดยที่พรรคการเมืองในยุคแรกๆ ของประเทศต่างๆ มักเป็นไปในรูปแบบนี้ทั้งสิ้น เนื่องจากในยุคแรกของการมีการจัดตั้งพรรคการเมือง ผู้ที่จะมีโอกาสได้รับเลือก ต้องเป็นผู้ที่มีฐานะดีหรือมีเกียรติยศชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในเขตนั้นๆ เมื่อบุคคลเหล่านี้มารวมตัวกันเข้าเป็นพรรคการเมืองก็มักไม่ต้องการสมาชิกเพื่อเป้าหมายในการสนับสนุนพรรคมากนัก เพราะต่างมีเงินทุนและชื่อเสียงดีอยู่แล้ว

โดยทั่วไป พรรคการเมืองที่ก่อตั้งโดยชนชั้นนำในประเทศตะวันตกในศตวรรษที่ 19 มักมีคุณลักษณะ ที่มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและการมีส่วนร่วมในพรรคการเมืองที่จำกัดเฉพาะกลุ่ม โดยเน้นที่สมาชิกซึ่งเป็นชนชั้นนำในสังคม จึงมีการกระจายของทรัพยากรทางการเมืองที่จำกัดเฉพาะกลุ่ม เน้นสถานภาพหรือชนชั้นทางสังคมเป็นกลไกในการแสวงหาฐานสนับสนุน ทำให้ไม่ให้ความสำคัญกับการรณรงค์หาเสียง เนื่องจากแหล่งทุนและการสื่อสารของพรรคมาจากความสัมพันธ์ส่วนตัว ดังตัวอย่างพรรคการเมืองแบบชนชั้นในยุโรปที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือเป็นต้นแบบของพรรคชนชั้น ได้แก่ พรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) พรรคเสรีนิยม (Liberal Party) และพรรคก้าวหน้า (Radical Party) ทั้งสามพรรคนี้เกิดขึ้นในอังกฤษ โดยทั้งสามพรรคเน้นการรักษาโครงสร้างหรือลักษณะของความเป็นชนชั้นนำ (Elite) ได้แก่ การเป็นพรรคการเมืองที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในการรวบรวมสมาชิกให้มีจำนวนมากที่สุด แต่ให้ความสำคัญกับการรวมสมาชิกเฉพาะที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ผู้มีฐานะดีและมีศักยภาพในการสนับสนุนด้านการเงินแก่พรรคการเมือง เพื่อใช้จ่ายในการเลือกตั้ง อีกทั้งในด้านการบริหารเน้นการรวมอำนาจไว้ที่ผู้นำหรือกลุ่มผู้นำพรรคเป็นหลัก

ในกรณีของไทยนั้น พรรคการเมืองไทยที่มีลักษณะของการก่อตั้งโดยกลุ่มผู้นำทางการเมือง เช่น พรรคสหประชาไทย ที่จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร จัดตั้งขึ้น โดยอาศัยการสนับสนุนจากเหล่าทหารและกลุ่มข้าราชการ รวมทั้งเน้นการชักชวนบุคคลสำคัญหรือผู้นำทางการเมืองที่มีความโดดเด่นในแต่ละจังหวัดเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค ตลอดจนได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจตะวันตกในการป้องกันประเทศจากการรุกรานภายนอก เป็นต้น

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในภาพรวมถึงพัฒนาการของพรรคการเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยเฉพาะในระหว่าง พ.ศ. 2489 – 2531 ถือได้ว่าเกิดขึ้นและดำเนินไปภายใต้การครอบงำของคณะทหารและระบบราชการในฐานะที่เป็นกลุ่มผู้นำทางการเมืองที่มีความสำคัญในช่วงเวลานั้น ซึ่งผลที่เกิดขึ้นต่อระบบการเมืองไทย ก็คือ การขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมือง เพราะมักถูกการปฏิวัติของคณะทหารเข้ามาแทรกแซง ผลก็คือพรรคการเมืองไทยไม่สามารถเจริญเติบโตอย่างมีลำดับขั้นตอนที่เป็นธรรมชาติ และแสดงความสามารถในการพัฒนาประเทศให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่

ลักษณะสำคัญ ของผู้นำและสมาชิกของพรรคการเมืองไทยภายใต้การครอบงำของทหารและระบบราชการ แบ่งออกได้เป็น 4 ประการดังนี้คือ

(1) บทบาทและหน้าที่ในการคัดเลือกผู้นำทางการเมือง (Political Elite Recruitment) ในห้วงเวลาที่อยู่ภายใต้การครอบงำของทหารและระบบราชการ พรรคการเมืองไทยมิได้ทำหน้าที่สรรหาและแต่งตั้งผู้นำของประเทศ กล่าวอย่างชัดเจนก็คือในสังคมที่ระบอบการปกครองเป็นแบบอำนาจนิยม และในช่วงของรัฐบาลพลเอกเปรม หรือ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” นั้น ผู้นำทางการเมืองไม่ได้มาจากพรรคการเมือง แต่เติบโตมาจากกองทัพหรือระบบราชการ ถึงแม้ภายใต้การครอบงำของทหารบางขณะ ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งที่มีการแข่งขันค่อนข้างเสรี แต่การจัดตั้งรัฐบาลแต่ละครั้ง พรรคการเมืองต้องรวบรวมพรรคร่วมรัฐบาล 3-5 พรรคเข้าด้วยกัน อีกทั้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมากดังกล่าว พรรคการเมืองก็ยังต้องหันหน้าไปพึ่งพานายทหารให้เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังเช่นรัฐบาลพลเอกเปรมที่บริหารประเทศอย่างต่อเนื่องกว่า 8 ปี ตลอดจนการเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำคัญ ๆ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น นอกจากนี้แล้วลักษณะเด่นของผู้นำทางการเมืองคือ เป็นผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้รวมไปถึงคณะรัฐมนตรีจำนวนหนึ่ง และวุฒิสมาชิกทั้งสภาด้วย

(2) บทบาทและหน้าที่ในการจัดทำนโยบายที่ใช้ในการบริหารประเทศ ซึ่งนโยบายเป็นผลงานของระบบราชการและกลุ่มขุนนางนักวิชาการ (Technocrats) ลักษณะของนโยบายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ไม่ได้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแสวงหา สร้างความชอบธรรมและขยายฐานคะแนนเสียงของพรรคการเมือง การขาดนโยบายที่บูรณาการ มีความสอดคล้อง เชื่อมโยงกันทั้งคณะรัฐบาล สามารถนำไปประสานปฏิบัติได้ เนื่องจาก พรรคร่วมรัฐบาลที่แตกแยกเป็นกลุ่ม และ “มุ้ง” การเมือง

(3) ความสามารถในการรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อเป็นฐานคะแนนในระยะยาวของพรรคได้รับการให้ความสำคัญน้อยมาก ทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่พรรคและนักการเมืองต่างตระหนักดีว่าการรัฐประหาร การยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ พรรคการเมืองและนักการเมืองจึงพยายามสร้างความนิยมส่วนตัวในระยะสั้นๆ ที่เห็นผลทันตามากกว่าเน้นการวางยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อสะสมคะแนนเสียงในระยะยาว เทคนิคในการหาเสียงจึงเป็นการสร้างความผูกพันแบบอุปถัมภ์โดยการแจกจ่ายเงิน สิ่งของ สร้างถนน ขุดบ่อ คือเป็นการให้ทางวัตถุที่สร้างบุญคุณต่อกัน

(4) การขาดจริยธรรมทางการเมือง และไร้ซึ่งความจงรักภักดีต่อพรรคของเหล่าบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและนักการเมือง ลักษณะเช่นนี้เป็นที่มาของความล้มเหลวและความไร้เสถียรภาพของพรรคการเมืองไทย และถูกใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของคณะทหารอยู่เสมอ

นอกจากนี้แล้ว บทบัญญัติของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เช่น รัฐธรรมนูญปี 2521 ยังเป็นปัจจัยแทรกแซงที่สำคัญที่เอื้อให้พรรคการเมืองอยู่ภายใต้การครอบงำของคณะทหารและระบบราชการ เนื่องจากมีบทบัญญัติที่ไม่เปิดโอกาสให้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ต้องใช้เสียงข้างมากจากทั้งสองสภา กล่าวคือ ต้องได้รับความยินยอมจากวุฒิสภาซึ่งมาจากการแต่งตั้งด้วย

ที่มา

โกสินทร์ วงศ์สุรวัฒน์ และ นรนิติ เศรษฐบุตร (บรรณาธิการ).พรรคการเมือง.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2521 หน้า 4 และ110.

วิทยา นภาศิริกุลกิจ และ สุรพล ราชมัณฑารักษ์. พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์. กรุงเทพฯ :มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2544 หน้า 41.

สิริพรรณ นกสวน, “พรรคการเมืองและระบบพรรคการเมือง” ใน เอก ตั้งทรัพย์วัฒนา และ ม.ร.ว. พฤทธิสาน ชุมพล (บรรณาธิการ). คำและความคิดในรัฐศาสตร์ร่วมสมัย (Concepts in contemporary political science) .กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550 หน้า 252, 257-258.