ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 304: บรรทัดที่ 304:
 
 
</div> </div> </div>  
</div> </div> </div>  
[[Category:รัฐธรรมนูญ]]
&nbsp;
 
[[Category:รัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2560]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 23:40, 18 มีนาคม 2563

ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายภัทระ คำพิทักษ์


ความเป็นมาของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

          ศาลรัฐธรรมนูญ (Constitution Court) มีฐานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญทำหน้าที่เป็นองค์กรตุลาการในการตีความรัฐธรรมนูญเพื่อธำรงไว้ซึ่งหลักความเป็นกฎหมายสูงสุด โดยจัดตั้งขึ้นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 สาเหตุของการนำแนวคิดของศาลรัฐธรรมนูญมาใช้สืบเนื่องจากในปี พ.ศ.2534 - พ.ศ.2540 ขณะนั้นมีการกำหนดให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ในการตีความรัฐธรรมนูญ แต่เกิดสภาพปัญหาในเรื่องของความเป็นอิสระและการปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่องอันเกิดจากการที่รัฐธรรมนูญ ณ เวลานั้นกำหนดให้อายุการดำรงวาระของตุลาการรัฐธรรมนูญสิ้นสุดตามวาระของสภาผู้แทนราษฎร ส่งผลให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญไม่มีสถานะเป็นองค์กรที่ถาวรเพราะเป็นเพียงองค์กรในรูปของคณะกรรมการอันมิใช่องค์กรของศาลที่มีความเป็นกลางและมีอิสระอย่างแท้จริง เนื่องจากสถานะของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีองค์ประกอบที่มาจากการเมือง นอกจากนี้ ปัญหาในด้านการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิที่ยังขาดความชัดเจน[1] ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.)[2] จึงได้มีการเสนอแนวคิดในส่วนของตุลาการรัฐธรรมนูญว่า ควรจะกำหนดให้มีจัดตั้งเป็นองค์กรขึ้นออกจากการเมือง โดยให้ตั้งเป็นองค์กรอิสระในรูปแบบของศาลรัฐธรรมนูญ และให้มีบุคลากรหรือตุลาการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ แยกอิสระออกมาทั้งในแง่ขององค์กร และหน่วยธุรการ มีวิธีพิจารณาและหลักเกณฑ์ในการทำคำพิพากษาที่ชัดเจนและมีมาตรฐาน ครอบคลุมในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญและองค์กรที่เกี่ยวข้องตามรัฐธรรมนูญอย่างครบถ้วน ด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้จึงได้กำหนดให้มีการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 แทนคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ถูกยกเลิกไป และยังกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และ 2560 เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนในบางประการเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและรองรับต่อปัญหาที่จะเกิดมีขึ้นในอนาคต

 

ลักษณะที่สำคัญของศาลรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

          ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่เป็นตุลาการอันมีลักษณะที่สำคัญหลายประการ ดังนี้[3]

1. มีฐานะเป็นฝ่ายตุลาการ การทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นลักษณะของการใช้อำนาจในการวินิจฉัยข้อพิพาททางกฎหมายเพื่อให้เป็นที่ยุติโดยตั้งอยู่บนหลักการที่สำคัญว่า “ที่ใดไม่มีผู้ฟ้องคดี ที่นั่นไม่มีผู้พิพากษา”[4] และมีความเป็นอิสระของการพิจารณาพิพากษาคดี ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็ว เป็นธรรมและปราศจากอคติทั้งปวง รวมถึงการห้ามมิให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดำรงตำแหน่งหรือกระทำการใดๆ อันส่งผลต่อความขัดแย้งหรือมีผลกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่ในฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

2. มีฐานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ เป็นองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาตามรัฐธรรมนูญและมีอำนาจหน้าที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ

3. มีการใช้วิธีพิจารณาความแบบไต่สวน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ทำหน้าที่ชี้ขาดข้อพิพาทจะทำหน้าที่ในการเสาะแสวงหาพยานหลักฐาน นอกเหนือจากการที่คู่ความนำมากล่าวอ้างแล้ว โดยการหมายเรียกให้ส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาจนกว่าจะสิ้นกระแสความ

 

องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

          องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญจะประกอบไปด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 9 ท่าน โดยคัดสรรมาจากผู้มีความรู้ความสามารถในแต่ละด้านจากหลาย ๆ องค์กร ดังนี้[5]

          1) ผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกามาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี จำนวน 3 คนซึ่งผ่านการคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา กรณีที่ไม่อาจเลือกผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาได้ ย่อมสามารถทำการคัดเลือกจากบุคคลผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาในศาลฎีกามาแล้วไม่น้อยกว่าสามปีแทนก็ได้

          2) ผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการในศาลปกครองสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี  จำนวน 2 คน ซึ่งผ่านการคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด

          3) ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ผู้ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาตราจารย์ของมหาวิทยาลัยใประเทศไทยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีและมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ จำนวน 1 คน ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยคณะกรรมการสรรหาตามรัฐธรรมนูญฯ ตามมาตรา 203[6]

          4) ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ผู้ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีและมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ จำนวน 1 คน ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยคณะกรรมการสรรหาตามรัฐธรรมนูญฯ

          5) ผู้ทรงคุณวุฒิที่รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี จำนวน 2 คน ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยคณะกรรมการสรรหาตามรัฐธรรมนูญฯ

          โดยผู้ได้รับการคัดเลือกทั้งหมดต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา ปัจจุบันผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีรายนามดังต่อไปนี้

  1. นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
  2. นายจรัญ ภักดีธนากุล
  3. นายชัช ชลวร
  4. นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ
  5. นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์
  6. นายบุญส่ง กุลบุปผา
  7. นายปัญญา อุดชาชน
  8. นายวรวิทย์ กังศศิเทียม
  9. นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี

อำนาจและหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

อำนาจและหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญนั้น สามารถสรุปจำแนกออกได้เป็น 6 ด้านที่สำคัญ ดังนี้[7]

ด้านที่หนึ่ง การพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมาย[8] อันเป็นการตรวจสอบก่อนประกาศใช้และหลังประกาศใช้กฎหมายนั้น ๆ

ด้านที่สอง การพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ[9] รวมทั้งมีอำนาจในการวินิจฉัยสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรีด้วย

ด้านที่สาม การจัดทำมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อควบคุมและตรวจสอบบุคคลผู้ใช้อำนาจรัฐ อันเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญร่วมกับองค์กรอิสระในการร่วมกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรม และใช้บังคับครอบคลุมกับตุลาการรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ[10] และให้ใช้บังคับรวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและคณะรัฐมนตรีด้วย

ด้านที่สี่ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายหากสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมการกระทำการใด ๆ อันเป็นการมีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยคำร้องที่เห็นว่ามีการกระทำการฝ่าฝืนดังกล่าวได้[11]

ด้านที่ห้า การปกครองและรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติ โดยศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยสั่งการให้บุคคลเลิกกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ด้านที่หก การปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนบุคคลผู้ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ โดยศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยคำร้องของบุคคลผู้ถูกละเมิดสิทธิที่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีคำวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้[12]

เปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญกับรัฐธรรมนูญฉบับเดิม

 

ประเด็นความแตกต่าง

รัฐธรรมนูญ ปี 2540

รัฐธรรมนูญ ปี 2550

รัฐธรรมนูญ ปี 2560

1 .ด้านองค์ประกอบ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1.1 จำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีจำนวน 15 คนโดยมาจาก (มาตรา 255 วรรคหนึ่ง)

  • ศาลฎีกา 5 คน
  • ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด 2 คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ 5 คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์จำนวน 3 คน

 

1.1 จำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีจำนวน 9 คนโดยมาจาก (มาตรา 204 วรรคหนึ่ง)

  • ศาลฎีกา 3 คน
  • ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด 2 คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ 2 คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์หรือสังคมศาสตร์ จำนวน 2 คน

 

 

 

 

1.1 จำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีจำนวน 9 คนโดยมาจาก (มาตรา 200)

  • ศาลฎีกา 3 คน
  • ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด 2 คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ 1 คน
  • ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 1 คน (มีการตัดสาขาสังคมศาสตร์ออก)
  • ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับสรรหาจากผู้รับหรือเคยรับราชการไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการหรือไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุด จำนวน 2 คน (มีการเพิ่มผู้ทรงวุฒิเข้ามา)

2.ด้านคุณสมบัติ

2.1 เฉพาะผู้ทรงวุฒิต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปีบริบูรณ์ (มาตรา 256)

2.2 ไม่ได้กำหนดคุณสมบัติทางการศึกษา

2.3 ไม่ได้กำหนดในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตไว้อย่างชัดเจน

2.4 กำหนดลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 256 (5) ว่าต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น

2.1 เฉพาะผู้ทรงวุฒิต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปีบริบูรณ์ (มาตรา 205)

2.2 ไม่ได้กำหนดคุณสมบัติทางการศึกษา

2.3 ไม่ได้กำหนดในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตไว้อย่างชัดเจน

2.4 กำหนดลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 205 (5) ว่าต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น

2.1 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปีแต่ไม่เกินหกสิบแปดปีในวันที่ได้รับการคัดเลือกหรือวันสมัครเข้ารับการสรรหา (มาตรา 201) (มีการกำหนดอายุขั้นต่ำและขั้นสูงไว้)

2.2 กำหนดคุณสมบัติทางการศึกษาต้องไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

2.3 กำหนดในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

2.4. กำหนดในเรื่องสุขภาพว่าต้องมีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.5 กำหนดลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 202 (4)  ว่าต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะเวลาสิบปีก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา

3. ด้านคณะกรรมการสรรหา

3.1 มาตรา 257 วรรคหนึ่ง ไม่มีการกำหนดให้ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเป็นคณะกรรมการสรรหาแต่กำหนดให้มีคณบดีคณะนิติศาสตร์หรือเทียบเท่าของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทุกแห่งซึ่งเลือกกันเอง 4 คน คณบดีคณะรัฐศาสตร์หรือเทียบเท่าของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทุกแห่งซึ่งเลือกกันเอง 4 คน

3.1 มีการกำหนดให้ประธานองค์กรอิสระตามศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเลือกกันเอง 1 คนเป็นคณะกรรมการสรรหา

3.2 มาตรา 206 วรรคหนึ่ง กำหนดให้คณะกรรมการสรรหามีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วยกับวุฒิสภาและหากคณะกรรมการสรรหามีมติยืนยันตามมติเดิมด้วยคะแนนเอกฉันท์แล้วสามารถส่งรายชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ประธานวุฒิสภานำกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งต่อไปได้โดยที่วุฒิสภาไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องดังกล่าวนี้ได้อีก แต่หากมติเดิมไม่เป็นเอกฉันท์ คณะกรรมการสรรหาต้องเริ่มกระบวนการสรรหาใหม่

3.1 ตามมาตรา 203 (4) ไม่มีการกำหนดประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแต่มีการกำหนดให้บุคคลซึ่งองค์กรอิสระแต่งตั้งขึ้นมาจากผู้ไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ในศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระ องค์กรละ 1 คน ขึ้นมาเป็นกรรมการแทน้ได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา หากวุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกรายใด ให้ดำเนินการขึ้นมาใหม่แทนผู้นั้นแล้วเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป

4. วาระการดำรงตำแหน่ง

4.1 ตามมาตรา 259 วรรคหนึ่งกำหนดให้ดำรงตำแหน่ง 9 ปี วาระเดียว

4.1 ดำรงตำแหน่ง 9 ปี วาระเดียวเช่นเดียวกับ ปี 2540

4.1 ตามมาตรา 207 กำหนดให้ดำรงตำแหน่ง 7 ปี วาระเดียว

5.การพ้นจากตำแหน่ง

5.1 มาตรา 260 วรรคหนึ่ง (2) กำหนดอายุ 70 ปี

5.2 ต้องคำพิพากษาให้จำคุก (มาตรา 260 วรรคหนึ่ง (7))

5.1 มาตรา 209 วรรคหนึ่ง (2) กำหนดเวลา 70 ปี

5.2 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกแม้คดียังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอลงโทษ ยกเว้น กรณีเป็นการกระทำโดยประมาท ลหุโทษหรือฐานหมิ่นประมาท (มาตรา 209 วรรคหนึ่ง (7))

5.1 มาตรา 208 (4) ขยายระยะเวลาเป็น 75 ปี

5.2 มาตรา 208 (5) กำหนดให้มติให้พ้นจากตำแหน่งด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เพราะเหตุฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ

 

6. องค์คณะในการนั่งพิจารณาและทำคำวินิจฉัย

6.1 ตามมาตรา 267 กำหนดให้มีองค์คณะไม่น้อยกว่า 9 คน

6.1 ตามมาตรา 216 กำหนดให้มีองค์คณะไม่น้อยกว่า 5 คน

6.1 ตามมาตรา 211 กำหนดให้มีองค์คณะไม่น้อยกว่า 7 คน

บรรณานุกรม

คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.). ข้อเสนอในการปฏิรูปการเมืองไทย. หน้า 25 หน้า 38 และ 38 อ้างใน

ฤทัย หงส์ศิริ. ศาลรัฐธรรมนูญกับการปฏิรูปการเมืองไทย.

วรเจตน์ ภาคีรัตน์. วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ: ศึกษาเปรียบเทียบกรณีของศาลรัฐธรรมนูญต่างประเทศกับศาล

รัฐธรรมนูญ. กรุงเทพฯ: วิญญูชน.2546.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ราชกิจจานุเบกษา 2544/73ก/1/ 2 กันยายน 2544

ศรันยา สีมา. เรื่องอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. รายการ

ร้อยเรื่อง...เมืองไทย. สถานีวิทยุกระจายเสียงรัฐสภาและสำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.ออกอากาศเมื่อกันยายน 2561.

สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ. (2551). จดหมายเหตุศาลรัฐธรรมนูญ ฉบับปฐมฤกษ์.กรุงเทพฯ: สไตล์ครีเอทีฟเฮ้าส์.

สุรพล นิติไกรพจน์. ศาลรัฐธรรมนูญกับการปฏิบัติพันธกิจตามรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพ: วิญญูชน. 2546.

สุวิทย์ ปัญญาวงศ์. กฎหมายมหาชน. กรุงเทพฯ: วิญญูชน, 2561.

 

อ้างอิง

[1] สุรพล นิติไกรพจน์. ศาลรัฐธรรมนูญกับการปฏิบัติพันธกิจตามรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพ: วิญญูชน. 2546. หน้า 72-73.

[2] คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.). ข้อเสนอในการปฏิรูปการเมืองไทย. หน้า 25 หน้า 38 และ 38 อ้างใน ฤทัย หงส์ศิริ. ศาลรัฐธรรมนูญกับการปฏิรูปการเมืองไทย. หน้า 10-11.

[3] สุวิทย์ ปัญญาวงศ์. กฎหมายมหาชน. กรุงเทพฯ: วิญญูชน, 2561. หน้า 172-173.

[4] หมายถึง การจะเริ่มต้นในการดำเนินคดีของศาลรัฐธรรมนูญนั้นจะต้องเกิดจากการมีผู้ก่อการด้วยการเริ่มต้นเป็นคำฟ้องหรือคำร้องเข้ามายังศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญหามีอำนาจใด ๆ หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นมาดำเนินการวินิจฉัยหรือตัดสินใจด้วยตนเองได้ไม่โดยผลของคดีจะผูกพันคู่ความเป็นเด็ดขาดและมีผูกพันองค์กรทางการเมืองและองค์กรทางปกครองทุกองค์กร

[5] ตามมาตรา 200 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

[6] ตามมาตรา 203 คณะกรรมการสรรหาจะประกอบไปด้วย (1) ประธานศาลฎีกา (2) ประธานสภาผู้แทนราษฎรและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (3) ประธานศาลปกครองสูงสุด และ (4) บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากองค์กรอิสระเป็นผู้แต่งตั้งมาองค์กรละ 1 คน

[7] ศรันยา สีมา. เรื่องอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. รายการ ร้อยเรื่อง...เมืองไทย. สถานีวิทยุกระจายเสียงรัฐสภาและสำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.ออกอากาศเมื่อกันยายน 2561.

[8] ตามมาตรา 210 (1)  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

[9] ตามมาตรา 210 (2) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

[10] ตามมาตรา 219 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

[11] ตามมาตรา 144 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

[12] ตามมาตรา 213 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560