ผลต่างระหว่างรุ่นของ "คณะองคมนตรี (privy council)"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 8: | บรรทัดที่ 8: | ||
'''คณะองคมนตรี''' | '''คณะองคมนตรี''' | ||
คณะองคมนตรี หมายถึงคณะบุคคลซึ่ง[[พระมหากษัตริย์]]ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย[[ประธานองคมนตรี]]คนหนึ่งและองคมนตรีอื่นอีกไม่เกิน ๑๘ คน คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ[1] | คณะองคมนตรี หมายถึงคณะบุคคลซึ่ง[[พระมหากษัตริย์|พระมหากษัตริย์]]ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย[[ประธานองคมนตรี|ประธานองคมนตรี]]คนหนึ่งและองคมนตรีอื่นอีกไม่เกิน ๑๘ คน คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ[1] | ||
'''คณะองคมนตรี''' หรือ privy council ในภาษาอังกฤษ คำว่า "privy" หมายถึง "ส่วนตัว" หรือ "ลับ" ดังนั้นแรกเริ่มเดิมที privy council คือคณะที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของกษัตริย์ที่ให้คำปรึกษาที่รักษาเป็นความลับในเรื่องกิจการรัฐ | '''คณะองคมนตรี''' หรือ privy council ในภาษาอังกฤษ คำว่า "privy" หมายถึง "ส่วนตัว" หรือ "ลับ" ดังนั้นแรกเริ่มเดิมที privy council คือคณะที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของกษัตริย์ที่ให้คำปรึกษาที่รักษาเป็นความลับในเรื่องกิจการรัฐ | ||
ประเทศที่มี[[สภาองคมนตรี]]หรือองค์กรเทียบเท่าในปัจจุบัน ได้แก่ สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ประเทศแคนาดา ราชอาณาจักรเดนมาร์ก ราชอาณาจักรตองกา และราชอาณาจักรไทย | ประเทศที่มี[[สภาองคมนตรี|สภาองคมนตรี]]หรือองค์กรเทียบเท่าในปัจจุบัน ได้แก่ สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ประเทศแคนาดา ราชอาณาจักรเดนมาร์ก ราชอาณาจักรตองกา และราชอาณาจักรไทย | ||
'''ความเป็นมา''' | '''ความเป็นมา''' | ||
คณะองคมนตรีมีมาตั้งแต่สมัย[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ในระยะแรกนั้นไม่ได้เรียก “คณะองคมนตรี” แต่จะใช้คำว่า “ปรีวีเคาน์ซิล” “ปรีวีเคาน์ซิลลอร์” หรือ “ที่ปรึกษาในพระองค์” ส่วนคำว่า “[[องคมนตรี]]” เริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน ทั้งนี้ในรายงานการประชุมเสนาบดีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ร.ศ.111 (พ.ศ.2435) และใน “ประกาศการพระราชพิธีศรีสัจปานกาล พระราชทานพระไชยวัฒน์องค์เล็กแลเครื่องราชอิศริยาภรณ์ แลตั้งองคมนตรี” เมื่อ ร.ศ.111 ปรากฏว่ามีการใช้คำว่า “องคมนตรี” แล้ว | คณะองคมนตรีมีมาตั้งแต่สมัย[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ในระยะแรกนั้นไม่ได้เรียก “คณะองคมนตรี” แต่จะใช้คำว่า “ปรีวีเคาน์ซิล” “ปรีวีเคาน์ซิลลอร์” หรือ “ที่ปรึกษาในพระองค์” ส่วนคำว่า “[[องคมนตรี|องคมนตรี]]” เริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน ทั้งนี้ในรายงานการประชุมเสนาบดีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ร.ศ.111 (พ.ศ.2435) และใน “ประกาศการพระราชพิธีศรีสัจปานกาล พระราชทานพระไชยวัฒน์องค์เล็กแลเครื่องราชอิศริยาภรณ์ แลตั้งองคมนตรี” เมื่อ ร.ศ.111 ปรากฏว่ามีการใช้คำว่า “องคมนตรี” แล้ว | ||
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการตั้งปรีวีเคาน์ซิลล์หรือคณะที่ปรึกษาในพระองค์หลายครั้ง ทั้งนี้ “...จำนวนทีปรึกษาในพระองค์นั้น มากน้อยเท่าใดไม่มีกำหนด ตามแต่พระราชประสงค์...แล้วต้องรับตำแหน่งที่อยู่จนสิ้นแผ่นดิน...” ต่อเมื่อทรงเห็นว่าผู้ใดมีความเหมาะสมก็จะทรงตั้งเพิ่มเติม และมีการผลัดเปลี่ยนได้ตามแต่จะทรงเห็นสมควร | ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการตั้งปรีวีเคาน์ซิลล์หรือคณะที่ปรึกษาในพระองค์หลายครั้ง ทั้งนี้ “...จำนวนทีปรึกษาในพระองค์นั้น มากน้อยเท่าใดไม่มีกำหนด ตามแต่พระราชประสงค์...แล้วต้องรับตำแหน่งที่อยู่จนสิ้นแผ่นดิน...” ต่อเมื่อทรงเห็นว่าผู้ใดมีความเหมาะสมก็จะทรงตั้งเพิ่มเติม และมีการผลัดเปลี่ยนได้ตามแต่จะทรงเห็นสมควร | ||
ในรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] แบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรียังคงเป็นไปแบบเดิม ไม่มีการแก้ไขประการใด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งองคมนตรีขึ้นใหม่ตามพระราชอัธยาศัย แต่ทั้งนี้ ทรงตั้งประเพณีไว้อย่างหนึ่ง คือในเดือนมีนาคมให้กระทรวงมุรธาธรทำบัญชีผู้ได้รับพระราชทานพานทองเครื่องยศในคราวพระราชพิธีฉัตรมงคลเดือนพฤศจิกายนขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อเลือกองคมนตรี แล้วจะทรงตั้งเป็นองคมนตรีในวันที่ 4 เมษายนของทุกปี เนื่องในพระราชพิธีศรีสัจปานกาล ([[ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา|พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา]]) เป็นผลให้องคมนตรีในรัชกาลนี้มีมากถึง 32 คน และอยู่ในตำแหน่งไปจนสิ้นรัชกาล [2] | ในรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] แบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรียังคงเป็นไปแบบเดิม ไม่มีการแก้ไขประการใด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งองคมนตรีขึ้นใหม่ตามพระราชอัธยาศัย แต่ทั้งนี้ ทรงตั้งประเพณีไว้อย่างหนึ่ง คือในเดือนมีนาคมให้กระทรวงมุรธาธรทำบัญชีผู้ได้รับพระราชทานพานทองเครื่องยศในคราวพระราชพิธีฉัตรมงคลเดือนพฤศจิกายนขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อเลือกองคมนตรี แล้วจะทรงตั้งเป็นองคมนตรีในวันที่ 4 เมษายนของทุกปี เนื่องในพระราชพิธีศรีสัจปานกาล ([[ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา|พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา]]) เป็นผลให้องคมนตรีในรัชกาลนี้มีมากถึง 32 คน และอยู่ในตำแหน่งไปจนสิ้นรัชกาล [2] | ||
สมัย[[รัชกาลที่_7]] [[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงยึดแบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรีตามแบบประเพณีในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างคือ ทรงเลือกผู้ที่ไม่ได้รับพระราชทานเครื่องยศชั้นพานทองด้วย อีกทั้งจำนวนองคมนตรีมีจำนวนมาก ไม่สะดวกในการเรียกเข้าประชุม รัชกาลที่ 7 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “[[สภากรรมการองคมนตรี]]” ขึ้นตาม[[พระราชบัญญัติองคมนตรี_พุทธศักราช_2470]] และทรงคัดเลือกองคมนตรีที่ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ จำนวน 40 คน เข้ามาเป็นกรรมการองคมนตรีเพื่อทำหน้าที่ “ประชุมปรึกษาหารือข้อราชการตามแต่จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานลงมาให้ปรึกษา” นอกจากนี้ยังมีพระราชดำริจะให้สภากรรมการองคมนตรีเป็นที่ประชุมตัวอย่างสำหรับการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเสรีอีกด้วย ตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ 7 สภาองคมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่และทำการประชุมอย่างสม่ำเสมอ | สมัย[[รัชกาลที่_7|รัชกาลที่ 7]] [[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงยึดแบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรีตามแบบประเพณีในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างคือ ทรงเลือกผู้ที่ไม่ได้รับพระราชทานเครื่องยศชั้นพานทองด้วย อีกทั้งจำนวนองคมนตรีมีจำนวนมาก ไม่สะดวกในการเรียกเข้าประชุม รัชกาลที่ 7 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “[[สภากรรมการองคมนตรี|สภากรรมการองคมนตรี]]” ขึ้นตาม[[พระราชบัญญัติองคมนตรี_พุทธศักราช_2470|พระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470]] และทรงคัดเลือกองคมนตรีที่ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ จำนวน 40 คน เข้ามาเป็นกรรมการองคมนตรีเพื่อทำหน้าที่ “ประชุมปรึกษาหารือข้อราชการตามแต่จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานลงมาให้ปรึกษา” นอกจากนี้ยังมีพระราชดำริจะให้สภากรรมการองคมนตรีเป็นที่ประชุมตัวอย่างสำหรับการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเสรีอีกด้วย ตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ 7 สภาองคมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่และทำการประชุมอย่างสม่ำเสมอ | ||
จนกระทั่งมี[[การเปลี่ยนแปลงการปกครอง_24_มิถุนายน_2475|การเปลี่ยนแปลงการปกครอง]]จาก[[ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์]]มาเป็น[[ระบอบประชาธิปไตย]] จึงได้มีประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470 องคมนตรีทั้งหมดจึงพ้นจากตำแหน่ง และว่างเว้นมาเป็นเวลา 15 ปี จนกระทั่งในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 จึงมีบทบัญญัติคล้ายคลึงกันโดยกำหนดให้มี "[[คณะอภิรัฐมนตรี]]" ทำหน้าที่นี้ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น "คณะองคมนตรี" ใน[[รัฐธรรมนูญ_พ.ศ._2492]] และใช้มาตราบจนถึงปัจจุบัน | จนกระทั่งมี[[การเปลี่ยนแปลงการปกครอง_24_มิถุนายน_2475|การเปลี่ยนแปลงการปกครอง]]จาก[[ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์|ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์]]มาเป็น[[ระบอบประชาธิปไตย|ระบอบประชาธิปไตย]] จึงได้มีประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470 องคมนตรีทั้งหมดจึงพ้นจากตำแหน่ง และว่างเว้นมาเป็นเวลา 15 ปี จนกระทั่งในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 จึงมีบทบัญญัติคล้ายคลึงกันโดยกำหนดให้มี "[[คณะอภิรัฐมนตรี|คณะอภิรัฐมนตรี]]" ทำหน้าที่นี้ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น "คณะองคมนตรี" ใน[[รัฐธรรมนูญ_พ.ศ._2492|รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492]] และใช้มาตราบจนถึงปัจจุบัน | ||
ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช]] [[รัชกาลที่_9]] ได้มีประกาศแต่งตั้งอภิรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2470 ซึ่งมีรายละเอียดบัญญัติไว้ดังนี้ | ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช|พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช]] [[รัชกาลที่_9|รัชกาลที่ 9]] ได้มีประกาศแต่งตั้งอภิรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2470 ซึ่งมีรายละเอียดบัญญัติไว้ดังนี้ | ||
“มาตรา 9 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสำหรับถวายคำปรึกษาในราชการแผ่นดิน มาตรา 10 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง จะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ จะได้แต่งตั้งอภิรัฐมนตรีขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ...” | “มาตรา 9 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสำหรับถวายคำปรึกษาในราชการแผ่นดิน มาตรา 10 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง จะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ จะได้แต่งตั้งอภิรัฐมนตรีขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ...” | ||
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ระบุว่าเป็นคณะบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิเป็น ประธานองคมนตรี คนหนึ่งและ องคมนตรี อื่นอีกไม่เกิน 18 คน ความเห็นที่ถวายต่อพระมหากษัตริย์ ต้องเป็นพระราชกรณียกิจ ที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษาเท่านั้น การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรีหรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดย ประธานองคมนตรี เป็นผู้รับสนอง[[พระบรมราชโองการ]] แต่งตั้ง องคมนตรี หรือให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง | รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ระบุว่าเป็นคณะบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิเป็น ประธานองคมนตรี คนหนึ่งและ องคมนตรี อื่นอีกไม่เกิน 18 คน ความเห็นที่ถวายต่อพระมหากษัตริย์ ต้องเป็นพระราชกรณียกิจ ที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษาเท่านั้น การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรีหรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดย ประธานองคมนตรี เป็นผู้รับสนอง[[พระบรมราชโองการ|พระบรมราชโองการ]] แต่งตั้ง องคมนตรี หรือให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง | ||
องคมนตรีต้องไม่เป็น[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] [[สมาชิกวุฒิสภา]] [[กรรมการการเลือกตั้ง]] [[ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา]] [[คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ|กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ]] [[ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ]] [[ตุลาการศาลปกครอง]] [[คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ|กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ]] [[คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน|กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน]] ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของ[[พรรคการเมือง]] และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ และพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง | องคมนตรีต้องไม่เป็น[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร|สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] [[สมาชิกวุฒิสภา|สมาชิกวุฒิสภา]] [[กรรมการการเลือกตั้ง|กรรมการการเลือกตั้ง]] [[ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา|ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา]] [[คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ|กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ]] [[ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ|ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ]] [[ตุลาการศาลปกครอง|ตุลาการศาลปกครอง]] [[คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ|กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ]] [[คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน|กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน]] ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของ[[พรรคการเมือง|พรรคการเมือง]] และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ และพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง | ||
| |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:10, 15 มกราคม 2561
เรียบเรียงโดย : วรัญญา เพ็ชรคง
ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
คณะองคมนตรี
คณะองคมนตรี หมายถึงคณะบุคคลซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วยประธานองคมนตรีคนหนึ่งและองคมนตรีอื่นอีกไม่เกิน ๑๘ คน คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ[1]
คณะองคมนตรี หรือ privy council ในภาษาอังกฤษ คำว่า "privy" หมายถึง "ส่วนตัว" หรือ "ลับ" ดังนั้นแรกเริ่มเดิมที privy council คือคณะที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของกษัตริย์ที่ให้คำปรึกษาที่รักษาเป็นความลับในเรื่องกิจการรัฐ
ประเทศที่มีสภาองคมนตรีหรือองค์กรเทียบเท่าในปัจจุบัน ได้แก่ สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ประเทศแคนาดา ราชอาณาจักรเดนมาร์ก ราชอาณาจักรตองกา และราชอาณาจักรไทย
ความเป็นมา
คณะองคมนตรีมีมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระยะแรกนั้นไม่ได้เรียก “คณะองคมนตรี” แต่จะใช้คำว่า “ปรีวีเคาน์ซิล” “ปรีวีเคาน์ซิลลอร์” หรือ “ที่ปรึกษาในพระองค์” ส่วนคำว่า “องคมนตรี” เริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน ทั้งนี้ในรายงานการประชุมเสนาบดีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ร.ศ.111 (พ.ศ.2435) และใน “ประกาศการพระราชพิธีศรีสัจปานกาล พระราชทานพระไชยวัฒน์องค์เล็กแลเครื่องราชอิศริยาภรณ์ แลตั้งองคมนตรี” เมื่อ ร.ศ.111 ปรากฏว่ามีการใช้คำว่า “องคมนตรี” แล้ว
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการตั้งปรีวีเคาน์ซิลล์หรือคณะที่ปรึกษาในพระองค์หลายครั้ง ทั้งนี้ “...จำนวนทีปรึกษาในพระองค์นั้น มากน้อยเท่าใดไม่มีกำหนด ตามแต่พระราชประสงค์...แล้วต้องรับตำแหน่งที่อยู่จนสิ้นแผ่นดิน...” ต่อเมื่อทรงเห็นว่าผู้ใดมีความเหมาะสมก็จะทรงตั้งเพิ่มเติม และมีการผลัดเปลี่ยนได้ตามแต่จะทรงเห็นสมควร
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรียังคงเป็นไปแบบเดิม ไม่มีการแก้ไขประการใด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งองคมนตรีขึ้นใหม่ตามพระราชอัธยาศัย แต่ทั้งนี้ ทรงตั้งประเพณีไว้อย่างหนึ่ง คือในเดือนมีนาคมให้กระทรวงมุรธาธรทำบัญชีผู้ได้รับพระราชทานพานทองเครื่องยศในคราวพระราชพิธีฉัตรมงคลเดือนพฤศจิกายนขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อเลือกองคมนตรี แล้วจะทรงตั้งเป็นองคมนตรีในวันที่ 4 เมษายนของทุกปี เนื่องในพระราชพิธีศรีสัจปานกาล (พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา) เป็นผลให้องคมนตรีในรัชกาลนี้มีมากถึง 32 คน และอยู่ในตำแหน่งไปจนสิ้นรัชกาล [2]
สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยึดแบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรีตามแบบประเพณีในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างคือ ทรงเลือกผู้ที่ไม่ได้รับพระราชทานเครื่องยศชั้นพานทองด้วย อีกทั้งจำนวนองคมนตรีมีจำนวนมาก ไม่สะดวกในการเรียกเข้าประชุม รัชกาลที่ 7 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “สภากรรมการองคมนตรี” ขึ้นตามพระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470 และทรงคัดเลือกองคมนตรีที่ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ จำนวน 40 คน เข้ามาเป็นกรรมการองคมนตรีเพื่อทำหน้าที่ “ประชุมปรึกษาหารือข้อราชการตามแต่จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานลงมาให้ปรึกษา” นอกจากนี้ยังมีพระราชดำริจะให้สภากรรมการองคมนตรีเป็นที่ประชุมตัวอย่างสำหรับการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเสรีอีกด้วย ตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ 7 สภาองคมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่และทำการประชุมอย่างสม่ำเสมอ
จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย จึงได้มีประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470 องคมนตรีทั้งหมดจึงพ้นจากตำแหน่ง และว่างเว้นมาเป็นเวลา 15 ปี จนกระทั่งในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 จึงมีบทบัญญัติคล้ายคลึงกันโดยกำหนดให้มี "คณะอภิรัฐมนตรี" ทำหน้าที่นี้ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น "คณะองคมนตรี" ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 และใช้มาตราบจนถึงปัจจุบัน
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้มีประกาศแต่งตั้งอภิรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2470 ซึ่งมีรายละเอียดบัญญัติไว้ดังนี้
“มาตรา 9 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสำหรับถวายคำปรึกษาในราชการแผ่นดิน มาตรา 10 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง จะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ จะได้แต่งตั้งอภิรัฐมนตรีขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ...”
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ระบุว่าเป็นคณะบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิเป็น ประธานองคมนตรี คนหนึ่งและ องคมนตรี อื่นอีกไม่เกิน 18 คน ความเห็นที่ถวายต่อพระมหากษัตริย์ ต้องเป็นพระราชกรณียกิจ ที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษาเท่านั้น การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรีหรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดย ประธานองคมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่งตั้ง องคมนตรี หรือให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง
องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ และพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง
บรรณนุกรม
คณะองคมนตรี. พิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงเปิดทำเนียบองคมนตรี ณ พระราชอุทยานสราญรมย์ วันอังคาร ที่ 20 มกราคม พุทธศักราช 2547.
คณิน บุญสุวรรณ. “ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย ฉบับสมบูรณ์”. กรุงเทพฯ :
บริษัท ตถาตา พับลิเคชั่น, 2548.
จีรวัฒน์ ครองแก้ว. “องคมนตรี ศักดิ์ศรีแผ่นดิน”. กรุงเทพฯ : มูลนิธิทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ. 2550.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2550), หมวด 2 พระมหากษัตริย์.
เรื่องสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในรัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก หลวงสถิตยุทธการ ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. (สถิต สถิตยุทธการ) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทร์ทราวาส วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช พ.ศ.2514.
ธงทอง จันทรางศุ. “สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (2540) พระมหากษัตริย์”. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า. 2544
[1] พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
[2] คณะองคมนตรี. พิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงเปิดทำเนียบองคมนตรี ณ พระราชอุทยานสราญรมย์ วันอังคาร ที่ 20 มกราคม พุทธศักราช 2547. หน้า 10.