ผลต่างระหว่างรุ่นของ "6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 6: บรรทัดที่ 6:


----
----
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เป็นวัน[[เลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 21]] เป็น[[การเลือกตั้ง]]ที่เกิดขึ้น เพราะอายุของ[[สภาผู้แทนราษฎร]]ชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาเมื่อ พ.ศ. 2544 ครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2548 จึงเป็นการเลือกตั้งอันเนื่องมาจากสภาฯ อยู่ครบวาระที่หาได้ยากมากในประเทศไทย ในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 ของการใช้[[รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540]] จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบและเขตเลือกตั้งเหมือนกับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อน [[นายกรัฐมนตรี]]ขณะที่มีการเลือกตั้งครั้งนี้ได้แก่ [[พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร]] พรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้แก่พรรคไทยรักไทยที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพราะมีพรรคอื่นยุบมารวม และเป็นพรรครัฐบาล กับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านสำคัญ และมีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เป็นวัน[[เลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 21]] เป็น[[การเลือกตั้ง]]ที่เกิดขึ้น เพราะอายุของ[[สภาผู้แทนราษฎร]]ชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาเมื่อ พ.ศ. 2544 ครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2548 จึงเป็นการเลือกตั้งอันเนื่องมาจากสภาฯ อยู่ครบวาระที่หาได้ยากมากในประเทศไทย ในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 ของการใช้[[รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540]] จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบและเขตเลือกตั้งเหมือนกับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อน [[นายกรัฐมนตรี]]ขณะที่มีการเลือกตั้งครั้งนี้ได้แก่ [[ทักษิณ  ชินวัตร|พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร]] พรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้แก่พรรคไทยรักไทยที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพราะมีพรรคอื่นยุบมารวม และเป็นพรรครัฐบาล กับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านสำคัญ และมีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค


การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เป็น 44,572,101 คน และมีผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งจริง 32,341,330 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 72.56 นับว่ามากกว่าการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน ผลการเลือกตั้งหลังการประกาศรับรองผลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีดังนี้
การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เป็น 44,572,101 คน และมีผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งจริง 32,341,330 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 72.56 นับว่ามากกว่าการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน ผลการเลือกตั้งหลังการประกาศรับรองผลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีดังนี้


1. พรรคไทยรักไทย ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกัน 377 คน
1. พรรคไทยรักไทย ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกัน 377 คน


2. พรรคประชาธิปัตย์ ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกัน   96 คน
2. พรรคประชาธิปัตย์ ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกัน   96 คน


3. พรรคชาติไทย ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกัน   25 คน
3. พรรคชาติไทย ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกัน   25 คน


4. พรรคมหาชน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเฉพาะเขตเล็ก 2 คน
4. พรรคมหาชน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเฉพาะเขตเล็ก 2 คน


รวม 500 คน
รวม 500 คน


ดังนั้น เมื่อเปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พรรคไทยรักไทยเพียง[[พรรคการเมือง]]เดียวก็ตั้ง[[รัฐบาล]]ได้ ในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2548 มีการแต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร เป็น[[นายกรัฐมนตรี]]สืบต่อมาทันที พรรคการเมืองอื่น 3 พรรคจึงเป็นพรรคฝ่ายที่มี[[พรรคประชาธิปัตย์]]เป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก การที่[[พรรคไทยรักไทย]]ชนะมากได้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรเกินกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดก็ทำให้รัฐบาลของพรรคไทยรักไทยสามารถบริหารงานโดยพรรคฝ่ายค้านแทบจะตรวจสอบอะไรนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะจำนวนสมาชิกพรรคฝ่ายค้าน 123 คนนั้นมีไม่พอที่จะยื่น[[ญัตติ]][[ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี]] เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 185 บัญญัติว่า
ดังนั้น เมื่อเปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พรรคไทยรักไทยเพียง[[พรรคการเมือง]]เดียวก็ตั้ง[[รัฐบาล]]ได้ ในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2548 มีการแต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร เป็น[[นายกรัฐมนตรี]]สืบต่อมาทันที พรรคการเมืองอื่น 3 พรรคจึงเป็นพรรคฝ่ายที่มี[[ประชาธิปัตย์|พรรคประชาธิปัตย์]]เป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก การที่[[พรรคไทยรักไทย]]ชนะมากได้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรเกินกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดก็ทำให้รัฐบาลของพรรคไทยรักไทยสามารถบริหารงานโดยพรรคฝ่ายค้านแทบจะตรวจสอบอะไรนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะจำนวนสมาชิกพรรคฝ่ายค้าน 123 คนนั้นมีไม่พอที่จะยื่น[[ญัตติ]][[ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี]] เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 185 บัญญัติว่า


“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าสองในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี...”
“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าสองในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี...”

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 12:10, 16 ตุลาคม 2557

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 21 เป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น เพราะอายุของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาเมื่อ พ.ศ. 2544 ครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2548 จึงเป็นการเลือกตั้งอันเนื่องมาจากสภาฯ อยู่ครบวาระที่หาได้ยากมากในประเทศไทย ในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 ของการใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบและเขตเลือกตั้งเหมือนกับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อน นายกรัฐมนตรีขณะที่มีการเลือกตั้งครั้งนี้ได้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้แก่พรรคไทยรักไทยที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพราะมีพรรคอื่นยุบมารวม และเป็นพรรครัฐบาล กับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านสำคัญ และมีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค

การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เป็น 44,572,101 คน และมีผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งจริง 32,341,330 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 72.56 นับว่ามากกว่าการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน ผลการเลือกตั้งหลังการประกาศรับรองผลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีดังนี้

1. พรรคไทยรักไทย ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกัน 377 คน

2. พรรคประชาธิปัตย์ ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกัน 96 คน

3. พรรคชาติไทย ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมกัน 25 คน

4. พรรคมหาชน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเฉพาะเขตเล็ก 2 คน

รวม 500 คน

ดังนั้น เมื่อเปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พรรคไทยรักไทยเพียงพรรคการเมืองเดียวก็ตั้งรัฐบาลได้ ในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2548 มีการแต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อมาทันที พรรคการเมืองอื่น 3 พรรคจึงเป็นพรรคฝ่ายที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก การที่พรรคไทยรักไทยชนะมากได้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรเกินกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดก็ทำให้รัฐบาลของพรรคไทยรักไทยสามารถบริหารงานโดยพรรคฝ่ายค้านแทบจะตรวจสอบอะไรนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะจำนวนสมาชิกพรรคฝ่ายค้าน 123 คนนั้นมีไม่พอที่จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 185 บัญญัติว่า

“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าสองในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี...”

การกำหนดจำนวนถึง “สองในห้า” ของสมาชิกจึงนับว่ามากไป ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายค้านยังมีเสียงไม่ถึง 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นจำนวนที่ระบุไว้ในมาตรา 304 ของรัฐธรรมนูญที่จะมีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้ถอดถอนบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 303 ของรัฐธรรมนูญอีกด้วย ซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็มีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวมอยู่ด้วย

การที่พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งได้เสียงดังที่กล่าวมาแล้วนี้แทนที่จะทำให้รัฐบาลของพรรคไทยรักไทยในสมัยที่ 2 มีเสถียรภาพทางการเมืองมากดังที่มีคนคาดการณ์ไว้กลับ ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลต่อมาได้ประมาณหนึ่งปีก็พบกันแรงค้านในสภาและการชุมนุมต่อต้านนอกสภา จนนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องหาทางแก้ปัญหาทางการเมืองโดยการยุบสภาในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ ทั้ง ๆ ที่บริหารประเทศภายหลังการเลือกตั้งมาได้ไม่ถึงหนึ่งปี และการเลือกตั้งทั่วไปที่มีขึ้นมาใหม่ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ก็เป็นการเลือกตั้งที่พรรคฝ่ายค้านเดิม 3 พรรคร่วมกันประท้วงโดยไม่ยอมลงแข่งขันด้วย และเป็นการเลือกตั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ