ผลต่างระหว่างรุ่นของ "4 เมษายน พ.ศ. 2519"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 9: บรรทัดที่ 9:
วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 เป็นวันที่มี[[การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 11]] ของไทย การเลือกตั้งครั้งนี้ห่างจาก[[การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 10]] เพียงปีกว่า ๆ เท่านั้นเอง เพราะมี[[การยุบสภาผู้แทนราษฎร]] ในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2519 การเลือกตั้งในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 นี้ ยังใช้[[รัฐธรรมนูญ]] พ.ศ. 2517 และ[[กฏหมายเลือกตั้ง พ.ศ. 2511 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2517]] มีจำนวน[[ผู้แทนราษฎร]] 279 คน
วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 เป็นวันที่มี[[การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 11]] ของไทย การเลือกตั้งครั้งนี้ห่างจาก[[การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 10]] เพียงปีกว่า ๆ เท่านั้นเอง เพราะมี[[การยุบสภาผู้แทนราษฎร]] ในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2519 การเลือกตั้งในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 นี้ ยังใช้[[รัฐธรรมนูญ]] พ.ศ. 2517 และ[[กฏหมายเลือกตั้ง พ.ศ. 2511 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2517]] มีจำนวน[[ผู้แทนราษฎร]] 279 คน
การ[[ยุบสภา]]และ[[การเลือกตั้ง]]เกิดขึ้นตอนที่ [[ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช]] เป็น[[นายกรัฐมนตรี]] พรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลคือ[[พรรคกิจสังคม]] และ[[พรรคฝ่ายค้าน]]ที่สำคัญ คือ [[พรรคประชาธิปัตย์]] [[การหาเสียง]]ของ[[พรรคการเมือง]]และ[[นักการเมือง]]ก็เป็นไปอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดายว่าประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงที่มีอยู่มากถึง 20,623,430 คน มาใช้สิทธิน้อยลงกว่าเดิม คือ มาใช้สิทธิเพียง 9,072,629 คน คิดเป็นร้อยละ 43.69 ของจำนวนผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด ทั้งๆ ที่บรรยากาศทางการเมืองในตอนนั้นเปิดกว้างมาก
การ[[ยุบสภา]]และ[[การเลือกตั้ง]]เกิดขึ้นตอนที่ [[คึกฤทธิ์ ปราโมช|ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช]] เป็น[[นายกรัฐมนตรี]] พรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลคือ[[พรรคกิจสังคม]] และ[[พรรคฝ่ายค้าน]]ที่สำคัญ คือ [[ประชาธิปัตย์|พรรคประชาธิปัตย์]] [[การหาเสียง]]ของ[[พรรคการเมือง]]และ[[นักการเมือง]]ก็เป็นไปอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดายว่าประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงที่มีอยู่มากถึง 20,623,430 คน มาใช้สิทธิน้อยลงกว่าเดิม คือ มาใช้สิทธิเพียง 9,072,629 คน คิดเป็นร้อยละ 43.69 ของจำนวนผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด ทั้งๆ ที่บรรยากาศทางการเมืองในตอนนั้นเปิดกว้างมาก
ผลการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนมากเป็นลำดับหนึ่งและหัวหน้าพรรค  [[ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช]] ชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้แทนราษฎรด้วย ในขณะที่พรรคกิจสังคมได้คะแนนดีและมากขึ้น ได้ที่นั่งในสภากว่า 40 เสียง มากกว่าเดิมที่มีเพียง 18 เสียง แต่หัวหน้าพรรค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช แพ้เลือกตั้งในเขตดุสิต
ผลการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนมากเป็นลำดับหนึ่งและหัวหน้าพรรค  [[เสนีย์  ปราโมช|ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช]] ชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้แทนราษฎรด้วย ในขณะที่พรรคกิจสังคมได้คะแนนดีและมากขึ้น ได้ที่นั่งในสภากว่า 40 เสียง มากกว่าเดิมที่มีเพียง 18 เสียง แต่หัวหน้าพรรค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช แพ้เลือกตั้งในเขตดุสิต
ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็น[[แกนนำตั้งรัฐบาล]] การแพ้เลือกตั้งไม่ได้เป็นผู้แทนราษฎร ทำให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช ไม่สามารถเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ได้กำหนดไว้ในมาตรา 177 ว่า “นายกรัฐมนตรีต้องเป็น[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]”
ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็น[[แกนนำตั้งรัฐบาล]] การแพ้เลือกตั้งไม่ได้เป็นผู้แทนราษฎร ทำให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช ไม่สามารถเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ได้กำหนดไว้ในมาตรา 177 ว่า “นายกรัฐมนตรีต้องเป็น[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]”
แต่ทั้งรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ มี ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรที่สมาชิกมาจากการเลือกตั้งครั้งนี้ก็อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน ไม่ทันสิ้นปี ได้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในตอนเช้ามืดวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และเย็นวันเดียวกันคณะทหารที่เรียกตัวเองว่า[[คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน]]ที่มี [[พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่]] เป็นหัวหน้าคณะก็ได้ยึดอำนาจล้มรัฐบาล ล้มรัฐธรรมนูญ และรัฐสภา ซึ่งรวมถึงสภาผู้แทนราษฎรด้วย
แต่ทั้งรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ มี ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรที่สมาชิกมาจากการเลือกตั้งครั้งนี้ก็อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน ไม่ทันสิ้นปี ได้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในตอนเช้ามืดวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และเย็นวันเดียวกันคณะทหารที่เรียกตัวเองว่า[[คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน]]ที่มี [[สงัด ชลออยู่|พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่]] เป็นหัวหน้าคณะก็ได้ยึดอำนาจล้มรัฐบาล ล้มรัฐธรรมนูญ และรัฐสภา ซึ่งรวมถึงสภาผู้แทนราษฎรด้วย


[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]]
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:14, 14 ตุลาคม 2557

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 เป็นวันที่มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 11 ของไทย การเลือกตั้งครั้งนี้ห่างจากการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 10 เพียงปีกว่า ๆ เท่านั้นเอง เพราะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2519 การเลือกตั้งในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 นี้ ยังใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 และกฏหมายเลือกตั้ง พ.ศ. 2511 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2517 มีจำนวนผู้แทนราษฎร 279 คน

การยุบสภาและการเลือกตั้งเกิดขึ้นตอนที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลคือพรรคกิจสังคม และพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญ คือ พรรคประชาธิปัตย์ การหาเสียงของพรรคการเมืองและนักการเมืองก็เป็นไปอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดายว่าประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงที่มีอยู่มากถึง 20,623,430 คน มาใช้สิทธิน้อยลงกว่าเดิม คือ มาใช้สิทธิเพียง 9,072,629 คน คิดเป็นร้อยละ 43.69 ของจำนวนผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด ทั้งๆ ที่บรรยากาศทางการเมืองในตอนนั้นเปิดกว้างมาก

ผลการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนมากเป็นลำดับหนึ่งและหัวหน้าพรรค ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้แทนราษฎรด้วย ในขณะที่พรรคกิจสังคมได้คะแนนดีและมากขึ้น ได้ที่นั่งในสภากว่า 40 เสียง มากกว่าเดิมที่มีเพียง 18 เสียง แต่หัวหน้าพรรค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แพ้เลือกตั้งในเขตดุสิต

ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล การแพ้เลือกตั้งไม่ได้เป็นผู้แทนราษฎร ทำให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไม่สามารถเป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ได้กำหนดไว้ในมาตรา 177 ว่า “นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

แต่ทั้งรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรที่สมาชิกมาจากการเลือกตั้งครั้งนี้ก็อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน ไม่ทันสิ้นปี ได้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในตอนเช้ามืดวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และเย็นวันเดียวกันคณะทหารที่เรียกตัวเองว่าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินที่มี พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะก็ได้ยึดอำนาจล้มรัฐบาล ล้มรัฐธรรมนูญ และรัฐสภา ซึ่งรวมถึงสภาผู้แทนราษฎรด้วย