ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ"
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 15: | บรรทัดที่ 15: | ||
การก่อตั้งพรรคโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยนั้น เป็นผลมาจากบริบททางด้านเศรษฐกิจของไทยที่มีลักษณะเปิดกว้างมากขึ้นและการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การใช้[[แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ]] เมื่อปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา นอกจากนี้แล้ว พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นมาส่วนใหญ่ มักมีความต้องการหรือขาดแคลนเงินทุนในการดำเนินบทบาททางการเมือง ซึ่งเงินทุนของพรรคมักมาจากชนชั้นนำในพรรคการเมืองและ[[นายทุน]]จากภาคธุรกิจที่อยู่นอกพรรค ทำให้กลุ่มนายทุนพรรคเหล่านี้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากภายในพรรค จนกลายเป็นกลุ่มผู้ผูกขาดการตัดสินใจที่สำคัญในพรรค และส่วนใหญ่มักนำไปสู่การขาดเอกภาพใน[[การบริหารงานพรรค]] เนื่องจากเกิดช่องว่างทางอำนาจในการตัดสินใจระหว่างสมาชิกอื่นๆ ในพรรคกับกลุ่มนายทุนพรรคเหล่านี้ | การก่อตั้งพรรคโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยนั้น เป็นผลมาจากบริบททางด้านเศรษฐกิจของไทยที่มีลักษณะเปิดกว้างมากขึ้นและการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การใช้[[แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ]] เมื่อปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา นอกจากนี้แล้ว พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นมาส่วนใหญ่ มักมีความต้องการหรือขาดแคลนเงินทุนในการดำเนินบทบาททางการเมือง ซึ่งเงินทุนของพรรคมักมาจากชนชั้นนำในพรรคการเมืองและ[[นายทุน]]จากภาคธุรกิจที่อยู่นอกพรรค ทำให้กลุ่มนายทุนพรรคเหล่านี้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากภายในพรรค จนกลายเป็นกลุ่มผู้ผูกขาดการตัดสินใจที่สำคัญในพรรค และส่วนใหญ่มักนำไปสู่การขาดเอกภาพใน[[การบริหารงานพรรค]] เนื่องจากเกิดช่องว่างทางอำนาจในการตัดสินใจระหว่างสมาชิกอื่นๆ ในพรรคกับกลุ่มนายทุนพรรคเหล่านี้ | ||
ตัวอย่างพรรคการเมืองไทยที่กลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจมีบทบาทในการก่อตั้งพรรคการเมือง ได้แก่ พรรค[[ชาติไทย]] โดย “[[กลุ่มซอยราชครู]]” ซึ่งเป็นเครือข่ายทหาร-นักธุรกิจที่เป็นเครือญาติโดยตรงของ[[ผิน ชุณหะวัณ|จอมพลผิน ชุณหะวัณ]] อดีตผู้บัญชาการทหารบกและบุตรเขย คือ [[ | ตัวอย่างพรรคการเมืองไทยที่กลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจมีบทบาทในการก่อตั้งพรรคการเมือง ได้แก่ พรรค[[ชาติไทย]] โดย “[[กลุ่มซอยราชครู]]” ซึ่งเป็นเครือข่ายทหาร-นักธุรกิจที่เป็นเครือญาติโดยตรงของ[[ผิน ชุณหะวัณ|จอมพลผิน ชุณหะวัณ]] อดีตผู้บัญชาการทหารบกและบุตรเขย คือ [[ประมาณ อดิเรกสาร|พลตรีประมาณ อดิเรกสาร]] ผู้เป็น[[หัวหน้าพรรค]]คนแรก จนถึงการขึ้นมาเป็น[[หัวหน้าพรรค]]ของบุตรชายของจอมพลผิน คือ [[ชาติชาย ชุณหะวัณ|พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ]] ซึ่งเป็นได้เป็น[[นายกรัฐมนตรี]]ในเวลาต่อมา ทั้งนี้กล่าวได้ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2490-2500 กลุ่มซอยราชครู เป็นกลุ่มที่มีอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจสูงมาก ธุรกิจของกลุ่มนี้ เช่น บริษัทศรีอยุธยาประกันภัย บริษัทประกันชีวิตศรีอยุธยา บริษัททหารสามัคคี บริษัทส่งเสริมเศรษฐกิจแห่งชาติ บริษัทประมงไทย ไทยเดินเรือทะเล รวมทั้งกลุ่มยังให้การ[[อุปถัมภ์]]ธุรกิจจำนวนมาก ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ บริษัทไทยประสิทธิ์ประกันภัย บริษัทประกันชีวิตบูรพา บริษัทเอเซียทรัสต์ เป็นต้น | ||
จากนั้นเมื่อกลุ่มซอยราชครู สูญเสียอำนาจทางการเมืองจากการ[[รัฐประหาร]]ของ[[สฤษดิ์ ธนะรัชต์|จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์]] เมื่อปี พ.ศ. 2500 และกลับมาก่อตั้งใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2517 เพื่อเตรียม[[การเลือกตั้ง]]ในปีต่อมา ซึ่งตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา จนถึงก่อนที่จะกลายมาเป็นพรรคของผู้มีอิทธิพลและ[[ทุนท้องถิ่น]]นั้น กล่าวได้ว่า บทบาททางการเมืองของพรรคชาติไทย คือ การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลผสมหลายชุด โดยเป็นเครื่องมือทางการเมืองซึ่งเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับทหาร ธุรกิจเหล่านี้เป็นแหล่งที่มาของเงินจำนวนมหาศาลที่ใช้ใน[[การรณรงค์เลือกตั้ง]] | จากนั้นเมื่อกลุ่มซอยราชครู สูญเสียอำนาจทางการเมืองจากการ[[รัฐประหาร]]ของ[[สฤษดิ์ ธนะรัชต์|จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์]] เมื่อปี พ.ศ. 2500 และกลับมาก่อตั้งใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2517 เพื่อเตรียม[[การเลือกตั้ง]]ในปีต่อมา ซึ่งตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา จนถึงก่อนที่จะกลายมาเป็นพรรคของผู้มีอิทธิพลและ[[ทุนท้องถิ่น]]นั้น กล่าวได้ว่า บทบาททางการเมืองของพรรคชาติไทย คือ การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลผสมหลายชุด โดยเป็นเครื่องมือทางการเมืองซึ่งเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับทหาร ธุรกิจเหล่านี้เป็นแหล่งที่มาของเงินจำนวนมหาศาลที่ใช้ใน[[การรณรงค์เลือกตั้ง]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 15:51, 14 ตุลาคม 2557
ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ
การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ มักจะเป็นพรรคที่มีเจ้าของซึ่งเป็นนายทุนเป็นกลุ่มคนจำนวนไม่มาก ซึ่งโดยทั่วไปมักมีเป้าหมายเพื่อใช้อำนาจทางการเมืองในการปกป้องหรือแสวงหาผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มของตนเอง จึงทำให้พรรคการเมืองในลักษณะนี้ส่วนใหญ่ ไม่ใช่พรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง นอกจากนี้แล้ว ยังอาจพบลักษณะของการใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนเพื่อแสวงหาการยอมรับจากประชาชน โดยที่สมาชิกพรรคไม่ได้อยู่ร่วมกันด้วยอุดมการณ์เดียวกัน แต่เป็นสมาชิกพรรคบนพื้นฐานของผลประโยชน์ และสมาชิกเหล่านี้พร้อมที่จะเปลี่ยนหรือย้ายสังกัดพรรคเมื่อถูกขัดผลประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ตามที่ตนเองต้องการ
การก่อตั้งพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทย
การก่อตั้งพรรคโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยนั้น เป็นผลมาจากบริบททางด้านเศรษฐกิจของไทยที่มีลักษณะเปิดกว้างมากขึ้นและการเติบโตของภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา นอกจากนี้แล้ว พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นมาส่วนใหญ่ มักมีความต้องการหรือขาดแคลนเงินทุนในการดำเนินบทบาททางการเมือง ซึ่งเงินทุนของพรรคมักมาจากชนชั้นนำในพรรคการเมืองและนายทุนจากภาคธุรกิจที่อยู่นอกพรรค ทำให้กลุ่มนายทุนพรรคเหล่านี้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากภายในพรรค จนกลายเป็นกลุ่มผู้ผูกขาดการตัดสินใจที่สำคัญในพรรค และส่วนใหญ่มักนำไปสู่การขาดเอกภาพในการบริหารงานพรรค เนื่องจากเกิดช่องว่างทางอำนาจในการตัดสินใจระหว่างสมาชิกอื่นๆ ในพรรคกับกลุ่มนายทุนพรรคเหล่านี้
ตัวอย่างพรรคการเมืองไทยที่กลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจมีบทบาทในการก่อตั้งพรรคการเมือง ได้แก่ พรรคชาติไทย โดย “กลุ่มซอยราชครู” ซึ่งเป็นเครือข่ายทหาร-นักธุรกิจที่เป็นเครือญาติโดยตรงของจอมพลผิน ชุณหะวัณ อดีตผู้บัญชาการทหารบกและบุตรเขย คือ พลตรีประมาณ อดิเรกสาร ผู้เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก จนถึงการขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคของบุตรชายของจอมพลผิน คือ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นได้เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา ทั้งนี้กล่าวได้ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2490-2500 กลุ่มซอยราชครู เป็นกลุ่มที่มีอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจสูงมาก ธุรกิจของกลุ่มนี้ เช่น บริษัทศรีอยุธยาประกันภัย บริษัทประกันชีวิตศรีอยุธยา บริษัททหารสามัคคี บริษัทส่งเสริมเศรษฐกิจแห่งชาติ บริษัทประมงไทย ไทยเดินเรือทะเล รวมทั้งกลุ่มยังให้การอุปถัมภ์ธุรกิจจำนวนมาก ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ บริษัทไทยประสิทธิ์ประกันภัย บริษัทประกันชีวิตบูรพา บริษัทเอเซียทรัสต์ เป็นต้น
จากนั้นเมื่อกลุ่มซอยราชครู สูญเสียอำนาจทางการเมืองจากการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อปี พ.ศ. 2500 และกลับมาก่อตั้งใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2517 เพื่อเตรียมการเลือกตั้งในปีต่อมา ซึ่งตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา จนถึงก่อนที่จะกลายมาเป็นพรรคของผู้มีอิทธิพลและทุนท้องถิ่นนั้น กล่าวได้ว่า บทบาททางการเมืองของพรรคชาติไทย คือ การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลผสมหลายชุด โดยเป็นเครื่องมือทางการเมืองซึ่งเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับทหาร ธุรกิจเหล่านี้เป็นแหล่งที่มาของเงินจำนวนมหาศาลที่ใช้ในการรณรงค์เลือกตั้ง
หลังจากนั้น การก่อตั้งพรรคการเมืองภายใต้การนำของกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจก็ยังคงเกิดขึ้นในระยะต่อมา ดังการจัดตั้ง “พรรคนำไทย” ของนายอำนวย วีรวรรณ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ และได้ปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อ “พรรคไทยรักไทย” ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจด้านโทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของประเทศ ที่มีเป้าหมายของพรรคในการปฎิรูปเศรษฐกิจและการเมือง โดยพรรคไทยรักไทยจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 ถือว่าเป็นพรรคการเมืองแรกที่ก่อตั้งขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวนมากในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 จนกระทั่งถูกยุบพรรคไปด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ความโดดเด่นของพรรคไทยรักไทยที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมาก ก็คือ พลังของทุนในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรค ซึ่งมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่จำนวนมากให้การสนับสนุนทั้งในฐานะผู้บริจาคเงินให้แก่พรรคและการเป็นผู้บริหารพรรค โดยกลุ่มทุนเหล่านี้มีทั้งกลุ่มธุรกิจด้านการสื่อสารโทรคมนาคม กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ธุรกิจสายการบิน ธนาคาร กลุ่มบริษัทก่อสร้าง และกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
พัฒนาการของพรรคการเมืองไทยกับกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจ
การเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทยในอดีต มักมีลักษณะของการสงวนท่าทีและระมัดระวัง เนื่องจากความวิตกกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองของไทยที่ไม่มีความมั่นคงนัก แต่เมื่อมีการเติบโตขึ้นของกลุ่มทุนจากภูมิภาคได้เป็นการกระตุ้นให้นักธุรกิจให้ความสนใจในการเข้ามามีบทบาททางการเมืองโดยตรง ในรูปแบบของการจัดตั้งพรรคการเมือง การเป็นผู้บริหารพรรค ตลอดจนการเป็นผู้สมัครของพรรคการเมืองนั้นๆ
ปัจจัยที่ทำให้ผู้นำทางเศรษฐกิจหรือนักธุรกิจระดับชาติเข้ามามีบทบาทในการก่อตั้งพรรคการเมือง ได้แก่
(1) การยกเลิกงบพัฒนาจังหวัด (งบ ส.ส.) นำไปสู่การลดอำนาจลงของนักการเมือง นักธุรกิจและเครือข่ายอุปถัมภ์ในระดับภูมิภาคส่งผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภูมิภาคต้องพึ่งพาพรรคการเมืองและผู้นำพรรคการเมืองมากขึ้น
(2) เงื่อนไข บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เช่น การกำหนดวุฒิการศึกษาขั้นต่ำที่ระดับปริญญาตรี และใช้ระบบการเลือกตั้งทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อโดยใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ทั้งยังกำหนดคะแนนเสียงขั้นต่ำ ร้อยละ 5 ในการคำนวณที่นั่งจากบัญชีรายชื่อนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคการเมืองใหญ่ที่มีเงินและทรัพยากรจำนวนมาก อีกทั้งนายทุนของพรรคมักจะได้อยู่ในระบบบัญชีรายชื่อของแต่พรรคการเมืองเสมอ
(3) บทบาทของสื่อมวลชนและเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้พรรคการเมืองสามารถสื่อการกับประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากได้ในคราวเดียวกัน เนื่องจากมีศักยภาพในการลงทุนงบประมาณด้านการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก
คุณลักษณะของพรรคการเมืองโดยกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของไทย
(1)เสนอนโยบายที่ชัดเจน ซึ่งนโยบายมีเป้าหมายจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้พรรคการเมืองได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
(2)พยายามสร้างภาพว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ ที่หลากหลายในสังคม โดยใช้ยุทธศาสตร์การวิจัยแสวงหาความต้องการของประชาชน เพื่อนำไปพัฒนาเป็นนโยบายที่ใช้หาเสียง
(3) มีระบบการสื่อสารกับประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ
(4)มุ่งเน้นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของผู้นำพรรคในสายตาของประชาชน
ที่มา
“ปิดฉากกลุ่มทุนไทยรักไทย” , ประชาชาติธุรกิจ (4 มิถุนายน พ.ศ. 2550).ไมเคิล ลีเฟอร์ (เขียน) จุฬาพร เอื้อรักสกุล (แปล-เรียบเรียง) พรรณงาม เง่าธรรมสาร (บรรณาธิการ). พจนานุกรมการเมืองสมัยใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548 หน้า 388-389.
สังศิต พิริยะรังสรรค์, “พรรคชาติไทย จากกลุ่มซอยราชครูถึงกลุ่มเจ้าพ่อท้องถิ่น” ใน สังศิต พิริยะ รังสรรค์ และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร (บรรณาธิการ).จิตสำนึกและอุดมการณ์ของขบวนการ ประชาธิปไตยร่วมสมัย.กรุงเทพฯ : ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2539 หน้า 28-29.
สิริพรรณ นกสวน, “พรรคการเมืองและระบบพรรคการเมือง ” ใน เอก ตั้งทรัพย์วัฒนา และ ม.ร.ว. พฤทธิสาน ชุมพล (บรรณาธิการ) . คำและความคิดในรัฐศาสตร์ร่วมสมัย (Concepts in contemporary political science) .กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550 หน้า 264-270.