ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 19 มีนาคม 2526"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 106: บรรทัดที่ 106:
สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1/2526 (สมัยสามัญ) วันอังคาร ที่ 26 เมษายน 2526
สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1/2526 (สมัยสามัญ) วันอังคาร ที่ 26 เมษายน 2526


----
[[หมวดหมู่ : การยุบสภา]]
{|cellpadding="2" cellspacing="5" style="vertical-align:top;background-color:#ffffff;color:#000;width:100%"
! style="background-color:#fffff; font-size: 100%; border: 1px solid #afa3bf; text-align: left;  padding-left: 7px;  -moz-border-radius:7px"  |[[หน้าหลัก]] | [[การยุบสภา]] [[หมวดหมู่ : สถาบันนิติบัญญัติ]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 17:15, 6 กันยายน 2553

ผู้เรียบเรียง สุเทพ เอี่ยมคง

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


มีไม่บ่อยครั้งนักที่เหตุแห่งการยุบสภาผู้แทนราษฎรอย่างแท้จริงมิได้เกิดจากความขัดแย้งกันระหว่างฝ่ายบริหารคือคณะรัฐมนตรีกับฝ่ายนิติบัญญัติ หรือเป็นความขัดแย้งกันเองภายในพรรคการเมืองที่ร่วมบริหารราชการแผ่นดินด้วยกัน แต่ในคราวยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2526 ถือเป็นข้อยกเว้น และมีลักษณะพิเศษแตกต่างออกไปจากคราวอื่น ๆ เพราะครั้งนี้เป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อคลี่คลายปมปัญหาทางการเมืองที่เกี่ยวเนื่องมาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 และเมื่อยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 30 วันเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้จัดการเลือกตั้งภายใน 90 วัน

สาเหตุที่นำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎร

ในการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พุทธศักราช 2521) คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ที่จะสร้างระบบการเมืองให้มีความมั่นคง มีเสถียรภาพ สร้างพรรคการเมืองให้เข้มแข็ง สามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรีบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงแก้ไขปัญหาโดยการเปลี่ยนแปลงวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากแบบแบ่งเขต มาเป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขตจังหวัด ซึ่งรูปแบบเดิมนี้ใช้เลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 กล่าวคือ จังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกินสามคนให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่หากจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกินกว่าสามคนให้แบ่งเขตเลือกตั้ง แต่ละเขตเลือกตั้งต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าสองคนและไม่เกินกว่าสามคน พรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งสามารถส่งได้ไม่เกินจำนวนที่เขตเลือกตั้งนั้นพึงมี และประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งสามารถเลือกหมายเลขใดก็ได้ไม่เกินจำนวนที่เขตเลือกตั้งนั้นพึงมี เมื่อได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขตจังหวัด แต่กรุงเทพมหานครให้แบ่งออกเป็นสามเขต พรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งต้องส่งผู้สมัครเป็นคณะตามจำนวนที่จังหวัดนั้นพึงมี และประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งต้องเลือกเป็นคณะตามบัญชีรายชื่อที่พรรคการส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้งบัญชีใดบัญชีหนึ่ง อันเป็นระบบเลือกตั้งที่ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญมุ่งหวังให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็งและเหลือจำนวนน้อยลง

รูปแบบดังกล่าวนี้ มีผู้ไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่ต้นเพราะเห็นว่าขัดกับเจตจำนงของประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เป็นการบังคับให้ต้องเลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งทั้ง ๆ ที่พรรคการเมืองนั้นอาจจะมีผู้สมัครอยู่ในบัญชีที่ประชาชนไม่ต้องการเลือก และปิดทางเลือกของประชาชนเมื่ออาจมีผู้สมัครรายอื่นที่ต้องการเลือกแต่ไปมีชื่ออยู่ในบัญชีพรรคการเมืองที่ไม่ต้องการเลือก และที่สำคัญมองเห็นว่าเป็นรูปแบบที่ไม่สามารถป้องกันการ “แอบ” เข้ามาของนายทุน นักธุรกิจ ผู้มีอิทธิพล เพื่อมานั่งในสภาผู้แทนราษฎรได้

นอกจากประเด็นปัญหาเรื่องวิธีการเลือกตั้งแล้ว รัฐธรรมนูญนี้ยังแฝงปัญหาไว้ในบทเฉพาะกาล อีกเช่น การให้อำนาจแก่สมาชิกวุฒิสภาอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะได้ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี และการอนุมัติพระราชกำหนดให้กระทำในที่ประชุมประชุมร่วมกันของรัฐสภา การให้ข้าราชการประจำสามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ หรือผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่ระบุว่าต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเท่ากับเปิดช่องให้ “คนนอก” เป็นนายกรัฐมนตรีได้ เป็นต้น

การรณรงค์ต่อต้านได้เริ่มขึ้นเมื่อนายอุทัย พิมพ์ใจชน ประกาศไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในคราวเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 22 เมษายน 2522 เพราะเห็นว่าบรรยากาศของบ้านเมืองไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ในขณะที่ภาคประชาชนได้จัดทำโครงการรณรงค์เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 5 มิถุนายน 2523 สภาผู้แทนราษฎรได้ประชุมและมีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่งจำนวน 35 คน เพื่อพิจารณาศึกษาข้อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามที่นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ กับคณะเป็นผู้เสนอ จากนั้นวันที่ 11 กรกฎาคม 2523 วุฒิสภาก็ได้มีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นอีกคณะหนึ่งจำนวน 35 คน เพื่อพิจารณาศึกษาข้อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามที่ร้อยตำรวจโท ชาญ มนูธรรม กับคณะ เป็นผู้เสนอ เพราะเห็นว่าในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้นจะต้องประชุมพิจารณาร่วมกันของทั้งสองสภา

ในขณะที่ประเทศชาติตกอยู่ในภาวะวิกฤติด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำมันที่เป็นปัญหาเร่งด่วนมีผลกระทบโดยตรงกับประชาชน การดำเนินงานทางการเมืองของทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จึงไม่ปรากฏผลเป็นรูปธรรม ขณะที่เวลาของบทเฉพาะกาลที่จะมีผลบังคับใช้ผ่านพ้นไปกว่าครึ่งทางแล้ว

ความพยายามขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 1

ด้วยตระหนักถึงปัญหาทางการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง วันที่ 4 สิงหาคม 2524 คณะรัฐมนตรีได้เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาในประเด็นเกี่ยวกับวิธีการเลือกตั้งเพราะเห็นว่าการเลือกตั้งแบบใหม่ตามรัฐธรรมนูญ จะนำไปสู่ความยุ่งยากหากประชาชน พรรคการเมืองและหลายภาคส่วนในสังคมไม่สนับสนุน พร้อมกันนั้นหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคมกับคณะ ได้เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภา ในประเด็นเกี่ยวกับการต้องสังกัดพรรคการเมืองของผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพื่อให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง มีความสำคัญ และเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานในสภาผู้แทนราษฎร รัฐสภาได้ประชุมในวันศุกร์ ที่ 8 และวันศุกร์ ที่ 15 มกราคม 2525 เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมทั้งสองฉบับไปพร้อมกันเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องทำนองเดียวกัน และมีมติรับหลักการด้วยคะแนนเสียง 423 : 14 การพิจารณาวาระที่ 2 มีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมจำนวน 39 คน ครั้นการพิจารณาวาระที่ 3 ขั้นการลงมติ ในวันศุกร์ ที่ 25 มิถุนายน 2525 กลับมีสมาชิกเห็นชอบด้วยเพียง 258 เสียง ไม่เห็นด้วย 33 เสียง และงดออกเสียง 119 เสียง ซึ่งเสียงที่เห็นชอบด้วยมีไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาคือ 268 เสียง จึงถือว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมทั้งสองฉบับเป็นอันตกไป

ความพยายามขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 2

ในระหว่างที่รัฐสภากำลังพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอยู่นั้น วันที่ 26 พฤษภาคม 2525 หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กับคณะ ได้เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาอีก 2 ฉบับมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเพิ่มสิทธิและเสรีภาพของประชาชนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นฉบับหนึ่ง และแก้ไขกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติอีกฉบับหนึ่ง พร้อมกันนั้นผู้เสนอได้อ้างเหตุผลถึงความชอบของรัฐธรรมนูญที่วางหลักการเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐสภาไว้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้วตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตาม รัฐสภาได้ประชุมในวันศุกร์ ที่ 2 และวันศุกร์ 9 กรกฎาคม 2525 และมีมติรับหลักการด้วยคะแนนเสียง 235 ไม่รับหลักการ 168 เสียง และงดออกเสียง 9 เสียง ซึ่งเสียงที่เห็นชอบด้วยมีไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา จึงถือว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้เป็นอันตกไป

ความพยายามขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 3

วันเวลาที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรจะสิ้นสุดลงเพราะครบวาระเหลือไม่ถึง 90 วัน แต่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อคลี่คลายปัญหาทางการเมืองโดยเฉพาะประเด็นวิธีการเลือกตั้งที่จะต้องจัดแบบใหม่ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ยังไม่อาจแก้ไขได้ และที่สำคัญเมื่ออยู่นอกสมัยประชุมสามัญ หากคณะรัฐมนตรีไม่เป็นฝ่ายขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ แต่เมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร่วมกับสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา มีสิทธิเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาเพื่อขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมจึงจะกระทำต่อไปได้

ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ คณะรัฐมนตรีเคยเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่รัฐสภาไม่เห็นชอบด้วย จึงเห็นว่าเป็นเรื่องของรัฐสภาที่จะต้องดำเนินการในเรื่องดังกล่าวนี้เอง ความพยายามรวบรวมรายชื่อสมาชิกทั้งฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรและฝ่ายวุฒิสภาจึงเริ่มต้นขึ้น ขณะที่ฝ่ายทหารซึ่งมีจำนวนมากที่ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ประกาศสนับสนุนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งนี้ด้วย ขณะที่สมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งขอลาออกเพื่อลดจำนวนสมาชิกวุฒิสภา หวังผลให้สัดส่วนจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาลดลง เปิดโอกาสให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญกระทำได้ง่ายขึ้น

ในที่สุด วันที่ 31 มกราคม 2526 การเข้าชื่อขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญก็ประสบความสำเร็จ เมื่อสามารถรวบรวมรายชื่อ ได้ 191 คน มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร141 คน และสมาชิกวุฒิสภา 50 คน และเสนอต่อประธานรัฐสภาเพื่อขอเปิดประชุมสมัยวิสามัญต่อไป

ในการขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งนี้ มีผู้เสนอ 2 ฉบับ ประกอบด้วยนายปัญจะ เกสรทองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบูรณ์ พรรคเกษตรสังคม กับคณะ ฉบับหนึ่ง และหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม กับคณะ อีกฉบับหนึ่ง

ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของนายปัญจะ เกสรทอง กับคณะ มีสาระสำคัญเป็นการขยายเวลาของบทเฉพาะกาลในประเด็นที่เป็นปัญหาความขัดแย้งออกไปอีก 4 ปี ขณะที่ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กับคณะ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติถาวรของรัฐธรรมนูญในประเด็นเกี่ยวกับวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

ในการเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับ ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคมเพราะมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางกลุ่มได้ประกาศต่อสาธารณะว่าหากรัฐสภาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นผลสำเร็จจะฆ่าตัวตาย

รัฐสภาได้ประชุมพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของนายปัญจะ เกสรทอง กับคณะในวันศุกร์ ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2526 และมีมติรับหลักการด้วยคะแนนเสียง 295 เสียง ไม่รับหลักการ 126 เสียง และงดออกเสียง 19 เสียง เป็นอันว่ารัฐสภารับร่างนี้ไว้พิจารณาต่อไปในวาระที่ 2 เป็นการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการเต็มสภา แต่ในการพิจารณาวาระที่ 3 วันพุธ ที่ 16 มีนาคม 2526 กลับมีผู้ออกเสียงเห็นชอบด้วย 254 เสียง ซึ่งไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาคือ 264 เสียง จึงถือว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้เป็นอันตกไป

รัฐสภาได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กับคณะอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้พิจารณาแล้วมีมติไม่รับหลักการ โดยมีผู้เห็นชอบด้วยเพียง 159 เสียง จึงถือว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้เป็นอันตกไป

ยุบสภาผู้แทนราษฎร หลีกเลี่ยงบทเฉพาะกาล…จัดการเลือกตั้งโดยเร็ว

“เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึง 4 ครั้ง ประชาชนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต่างก็มีความเห็นที่แตกต่างก้ำกึ่งกัน หากให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามวิธีการใหม่ในขณะนี้ อาจนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งและรุนแรงทางการเมืองได้ อันจะนำมาซึ่งความเสื่อมโทรมของระบบเศรษฐกิจ สังคม ความสามัคคีของชนในชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงสมควรยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปขึ้นใหม่”

นั่นคือเหตุผลที่คณะรัฐมนตรีได้แจ้งไว้ในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 19 มีนาคม 2526 ภายหลังจากที่รัฐสภาไม่เห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมทั้งสองฉบับ และประการสำคัญในพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้คือให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 18 เมษายน 2526 หมายความว่า กระทรวงมหาดไทยซึ่งมีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง มีเวลาในการดำเนินการทุกขั้นตอนเพียง 30 วันเท่านั้น และพรรคการเมือง ตลอดจนผู้สมัครรับเลือกตั้งมีเวลาในการรณรงค์หาเสียงเพียงสามสัปดาห์หลังจากสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 24-28 มีนาคม 2526 แล้ว และเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย จึงประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2526 เกี่ยวกับเวลาประกาศรายชื่อมีสิทธิเลือกตั้ง รายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ให้สอดคล้องกับเวลาที่มีอยู่ เป็นต้น

การยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ จึงมีการจัดการเลือกตั้งที่เร่งด่วนที่สุด มีระยะเวลาในการดำเนินการน้อยที่สุด แต่ทุกพรรคการเมืองต่างพร้อมใจกันส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพื่อมุ่งหวังจะเข้าไปแก้ไขปัญหาที่ค้างอยู่ให้หมดสิ้นไป เพื่อประเทศจะได้ก้าวพ้นกับดักที่คณะปฏิวัติได้วางไว้ โดยประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะได้ใช้สิทธิที่มีพลังอำนาจในการกำหนดทิศทางก้าวต่อไป

ผลการเลือกตั้ง : บทพิสูจน์อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย

การแสดงออกของพรรคกิจสังคม โดยพยายามเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทั้งสองครั้ง ในเป็นประเด็นความขัดแย้งเรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรคการเมือง แม้ว่าจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ผลการเลือกตั้งในวันที่ 18 เมษายน 2526 ส่งผลให้พรรคกิจสังคมชนะการเลือกตั้งด้วยจำนวน 102 คน จากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด จำนวน 324 คน แม้ว่าจะไม่ได้รับชัยชนะจนเป็นเสียงข้างมากเด็ดขาดได้ แต่มีความชอบธรรมที่จะตั้งคณะรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดิน แต่ต้องหาพรรคการเมืองอื่นมาสนับสนุนเพื่อเป็นเสียงข้างมาก

ขณะเดียวกัน พรรคชาติไทยที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นลำดับที่สองด้วยจำนวน 88 คน ได้ร่วมมือกับพรรคการเมืองต่าง ๆ จนมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรพร้อมที่จะจัดตั้งคณะรัฐมนตรี และสนับสนุนพลตรี ประมาณ อดิเรกสาร เป็นนายกรัฐมนตรี

การชิงจังหวะระหว่างสองขั้วการเมืองเริ่มจากการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อพรรคชาติไทยเสนอนายอุทัย พิมพ์ใจชน หัวหน้าพรรคก้าวหน้า เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่เป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียง 3 คน แต่มีนโยบายชัดเจนว่าสนับสนุนผู้ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่พรรคกิจสังคมเสนอนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนหน้านี้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ผลปรากฏว่าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันอังคาร ที่ 26 เมษายน 2526 มีมติเลือกนายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนน 164 เสียง เป็นการชนะเหนือนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ อย่างเฉียดฉิวเพียง 5 เสียง และมีมติเลือกนายสมรรค ศิริจันทร์ จากพรรคประชากรไทย และนายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ จากพรรคชาติไทย เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่งและสองตามลำดับ

ทางด้านพรรคกิจสังคม ที่เพลี่ยงพล้ำในคราวเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว จึงหันไปจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ (56 คน) พรรคประชากรไทย (36 คน) พรรคชาติประชาธิปไตย (15 คน) และสนับสนุน พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งคณะรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินเป็นผลสำเร็จส่งผลให้พรรคชาติไทย (88 คน) พรรคสยามประชาธิปไตย (18 คน) พรรคประชาไทย (4 คน) พรรคก้าวหน้า (3 คน) พรรคสังคมประชาธิปไตย (2 คน) และพรรคประชาเสรี (1 คน) เป็นพรรคฝ่ายค้านร่วมกัน

ผลของการยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงแล้ว คณะรัฐมนตรีย่อมพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ด้วย แต่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไปจนกว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะผ่านพ้นไป และมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามารับหน้าที่ ทางด้านการดำเนินงานของรัฐสภา แม้ว่าจะทำให้ร่างกฎหมายที่ค้างการพิจารณาอยู่ในชั้นสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ต้องตกไป หากแต่สภาผู้แทนราษฎร หรือคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ยังคงเห็นความสำคัญและมีนโยบายสนับสนุนก็สามารถเสนอเข้าสู่การพิจารณาใหม่ได้

การยุบสภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ที่มีประชาชนเป็นผู้กำหนดว่าอำนาจอธิปไตยจะมอบให้แก่ “ผู้แทน” คนใดต่อไปเพื่อใช้อำนาจนั้นตามเจตนารมณ์ของประชาชน.

หนังสือที่แนะนำให้อ่านต่อ

  • รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521
  • รัฐสภาสาร “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ฉบับที่ 8 เดือนสิงหาคม 2525

บรรณานุกรม

พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 19 มีนาคม 2526. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 100 : ตอนที่ 39 : วันที่ 19 มีนาคม 2526 : หน้า 7

พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2526 . ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 100 : ตอนที่ 39 : วันที่ 19 มีนาคม 2526 : หน้า 1

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 95 : ตอนที่ 146 : วันที่ 22 ธันวาคม 2521 : หน้า 1

สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 3/2523 (สมัยสามัญ) วันพฤหัสบดี ที่ 5 มิถุนายน 2523

สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รายงานการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 8/2523 (สมัยสามัญ) วันศุกร์ ที่ 11 กรกฎาคม 2523

สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รายงานการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 2/2525 (สมัยวิสามัญ สมัยที่ 2) วันศุกร์ ที่ 8 มกราคม 2525

สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รายงานการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 3/2525 (สมัยวิสามัญ สมัยที่ 2) วันศุกร์ ที่ 15 มกราคม 2525

สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รายงานการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 7/2525 (สมัยสามัญ) วันศุกร์ ที่ 25 มิถุนายน 2525

สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รายงานการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 8/2525 (สมัยสามัญ) วันศุกร์ ที่ 2 กรกฎาคม 2525

สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รายงานการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 9/2525 (สมัยสามัญ) วันศุกร์ ที่ 9 กรกฎาคม 2525

สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รายงานการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 2/2526 (สมัยวิสามัญ) วันศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2526

สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รายงานการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 7/2526 (สมัยวิสามัญ) วันพุธ ที่ 16 มีนาคม 2526

สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1/2526 (สมัยสามัญ) วันอังคาร ที่ 26 เมษายน 2526