ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นำไทย (พ.ศ. 2537)"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าใหม่: '''พรรคนำไทย (2537)''' '''ประวัติความเป็นมา''' พรรคนำไทยจดทะเบียน...
 
Teeraphan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 4: บรรทัดที่ 4:
'''ประวัติความเป็นมา'''
'''ประวัติความเป็นมา'''


พรรคนำไทยจดทะเบียนตั้งพรรคขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2537 โดยมีนายอำนวย วีรวรรณดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และมีหม่อมราชวงศ์เกษมสโมสร เกษมศรีดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค มีที่ตั้งสำนักงานใหญ่พรรคอยู่ที่ 253/1 ถนนสวรรคโลก แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต กรุรงเทพมหานครฯ 10300
พรรคนำไทยจดทะเบียนตั้งพรรคขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2537 โดยมีนายอำนวย วีรวรรณดำรงตำแหน่ง[[หัวหน้าพรรค]] และมีหม่อมราชวงศ์เกษมสโมสร เกษมศรีดำรงตำแหน่งรอง[[หัวหน้าพรรค]]และ[[เลขาธิการพรรค]] มีที่ตั้งสำนักงานใหญ่พรรคอยู่ที่ 253/1 ถนนสวรรคโลก แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต กรุรงเทพมหานครฯ 10300




บรรทัดที่ 11: บรรทัดที่ 11:
ตามนโยบายลายลักษณ์ของพรรคนำไทยที่ยื่นต่อนายทะเบียนในการตั้งพรรคนั้น ทางพรรคมีนโยบายด้านต่างๆดังนี้
ตามนโยบายลายลักษณ์ของพรรคนำไทยที่ยื่นต่อนายทะเบียนในการตั้งพรรคนั้น ทางพรรคมีนโยบายด้านต่างๆดังนี้


ด้านการเมือง: นโยบายด้านนี้ของพรรคนำไทยไม่แตกต่างจากพรรคการเมืองสมัยใหม่อื่นๆ คือยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เน้นการรักษาสิทธิเสรีภาพประชาชน และทำการปรับองค์กรของรัฐและสร้างการถ่วงดุลอำนาจทางการเมืองกับเป้าหมายดังกล่าว จะพัฒนาประชาธิปไตย พัฒนาสถาบันการเมืองและระบบบริหารราชการให้มีสมรรถภาพ ส่งเสริมการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน สนับสนุนบทบาทขององค์กรพัฒนาเอกชนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน และส่งเสริมบทบาทของภาคประชาชนและสื่อมวลชนในการมีส่วนร่วมและร่วมรับผิดชอบการพัฒนาประชาธิปไตยและตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร
ด้านการเมือง: นโยบายด้านนี้ของพรรคนำไทยไม่แตกต่างจาก[[พรรคการเมือง]]สมัยใหม่อื่นๆ คือยึดมั่นการปกครอง[[ระบอบประชาธิปไตย]]อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เน้นการรักษา[[สิทธิเสรีภาพ]]ประชาชน และทำการปรับองค์กรของรัฐและสร้าง[[การถ่วงดุล]]อำนาจทางการเมืองกับเป้าหมายดังกล่าว จะพัฒนา[[ประชาธิปไตย]] พัฒนา[[สถาบันการเมือง]]และระบบบริหารราชการให้มีสมรรถภาพ ส่งเสริม[[การกระจายอำนาจ]]และ[[การมีส่วนร่วมของประชาชน]] สนับสนุนบทบาทขององค์กรพัฒนาเอกชนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน และส่งเสริมบทบาทของภาคประชาชนและสื่อมวลชนในการมีส่วนร่วมและร่วมรับผิดชอบการพัฒนาประชาธิปไตยและ[[การตรวจสอบ]]การทำงานของฝ่ายบริหาร


ด้านเศรษฐกิจ: จะมุ่งสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจให้ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สามารถแข่งขันทัดเทียมกับนานาประเทศ ส่งเสริมธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยให้กลายเป็นธุรกิจข้ามชาติชั้นนำของโลกควบคู่ไปกับการสนับสนุนธุรกิจรายย่อย และคุ้มครองผู้บริโภค
ด้านเศรษฐกิจ: จะมุ่งสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจให้ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สามารถแข่งขันทัดเทียมกับนานาประเทศ ส่งเสริมธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยให้กลายเป็นธุรกิจข้ามชาติชั้นนำของโลกควบคู่ไปกับการสนับสนุนธุรกิจรายย่อย และคุ้มครองผู้บริโภค


ด้านการเงินการคลัง: จะลดอัตราภาษีอากรและจัดเก็บภาษีในอัตราต่ำแต่จะขยายฐานภาษีให้กว้างและให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บ ส่งเสริมตลาดเงินทุนและตลาดหลักทรัพย์ให้มีมาตรฐานสากลให้เป็นที่เชื่อมั่นของผู้ลงทุนและสถาบันการเงินต่างๆ  
ด้านการเงินการคลัง: จะลดอัตราภาษีอากรและจัดเก็บภาษีในอัตราต่ำแต่จะขยายฐานภาษีให้กว้างและให้เกิด[[ความเป็นธรรม]]ในการจัดเก็บ ส่งเสริมตลาดเงินทุนและตลาดหลักทรัพย์ให้มีมาตรฐานสากลให้เป็นที่เชื่อมั่นของผู้ลงทุนและสถาบันการเงินต่างๆ  


ด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์: จะปรับปรุงโครงสร้างการศึกษาให้สอดคล้องกับการพัฒนาวิชาชีพที่เหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละภูมิภาคในประเทศ พัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆด้วยการสนับสนุนการวิจัยในทุกสาขาวิชา นำเทคโนโลยีสาระสนเทศมาปรับปรุงการศึกษาให้ครอบคลุมสู่ผู้ด้อยโอกาส กระจายอำนาจในการบริหารการศึกษาไปสู่ท้องถิ่นและสถานศึกษาเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ จัดตั้งกองทุนการศึกษาเพื่อรองรับผู้ด้อยโอกาส
ด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์: จะปรับปรุงโครงสร้างการศึกษาให้สอดคล้องกับการพัฒนาวิชาชีพที่เหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละภูมิภาคในประเทศ พัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆด้วยการสนับสนุนการวิจัยในทุกสาขาวิชา นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับปรุงการศึกษาให้ครอบคลุมสู่ผู้ด้อยโอกาส [[การกระจายอำนาจ]]ในการบริหารการศึกษาไปสู่ท้องถิ่นและสถานศึกษาเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ จัดตั้งกองทุนการศึกษาเพื่อรองรับผู้ด้อยโอกาส




'''ประวัติการลงสมัครรับเลือกตั้ง'''
'''ประวัติการลงสมัครรับเลือกตั้ง'''


พรรคนำไทยนั้นตั้งขึ้นในปี 2537 ซึ่งโดยหลักการแล้วพรรคนำไทยควรจะส่งตัวแทนของพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน 2539 แต่ทางพรรคก็มิได้ส่งตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งแม้แต่คนเดียวจนเป็นเหตุนำไปสู่การถูกยุบพรรคในที่สุด
พรรคนำไทยนั้นตั้งขึ้นในปี 2537 ซึ่งโดยหลักการแล้วพรรคนำไทยควรจะส่งตัวแทนของพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน 2539 แต่ทางพรรคก็มิได้ส่งตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งแม้แต่คนเดียวจนเป็นเหตุนำไปสู่การถูก[[ยุบพรรค]]ในที่สุด




'''การล่มสลายของพรรค'''
'''การล่มสลายของพรรค'''


การที่พรรคนำไทยไม่ยอมส่งตัวแทนพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ทำให้พรรคนำไทยถูกศาลฎีกาออกคำสั่งยุบพรรคตามที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องเนื่องจากเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2524 มาตรา 46 (3) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติพรรคการเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มาตรา 7 ซึ่งก็ถือเป็นการสิ้นสุดสถานะพรรคการเมืองของพรรคนำไทยลงในที่สุด
การที่พรรคนำไทยไม่ยอมส่งตัวแทนพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ทำให้พรรคนำไทยถูก[[ศาลฎีกา]]ออกคำสั่ง[[ยุบพรรค]]ตามที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องเนื่องจากเป็นการกระทำที่ขัดต่อ[[พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2524]] มาตรา 46 (3) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติพรรคการเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มาตรา 7 ซึ่งก็ถือเป็นการสิ้นสุดสถานะพรรคการเมืองของพรรคนำไทยลงในที่สุด


'''ที่มา'''
'''ที่มา'''

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 07:43, 26 มิถุนายน 2553

พรรคนำไทย (2537)


ประวัติความเป็นมา

พรรคนำไทยจดทะเบียนตั้งพรรคขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2537 โดยมีนายอำนวย วีรวรรณดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และมีหม่อมราชวงศ์เกษมสโมสร เกษมศรีดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค มีที่ตั้งสำนักงานใหญ่พรรคอยู่ที่ 253/1 ถนนสวรรคโลก แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต กรุรงเทพมหานครฯ 10300


แนวนโยบาย

ตามนโยบายลายลักษณ์ของพรรคนำไทยที่ยื่นต่อนายทะเบียนในการตั้งพรรคนั้น ทางพรรคมีนโยบายด้านต่างๆดังนี้

ด้านการเมือง: นโยบายด้านนี้ของพรรคนำไทยไม่แตกต่างจากพรรคการเมืองสมัยใหม่อื่นๆ คือยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เน้นการรักษาสิทธิเสรีภาพประชาชน และทำการปรับองค์กรของรัฐและสร้างการถ่วงดุลอำนาจทางการเมืองกับเป้าหมายดังกล่าว จะพัฒนาประชาธิปไตย พัฒนาสถาบันการเมืองและระบบบริหารราชการให้มีสมรรถภาพ ส่งเสริมการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน สนับสนุนบทบาทขององค์กรพัฒนาเอกชนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน และส่งเสริมบทบาทของภาคประชาชนและสื่อมวลชนในการมีส่วนร่วมและร่วมรับผิดชอบการพัฒนาประชาธิปไตยและการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร

ด้านเศรษฐกิจ: จะมุ่งสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจให้ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สามารถแข่งขันทัดเทียมกับนานาประเทศ ส่งเสริมธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยให้กลายเป็นธุรกิจข้ามชาติชั้นนำของโลกควบคู่ไปกับการสนับสนุนธุรกิจรายย่อย และคุ้มครองผู้บริโภค

ด้านการเงินการคลัง: จะลดอัตราภาษีอากรและจัดเก็บภาษีในอัตราต่ำแต่จะขยายฐานภาษีให้กว้างและให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บ ส่งเสริมตลาดเงินทุนและตลาดหลักทรัพย์ให้มีมาตรฐานสากลให้เป็นที่เชื่อมั่นของผู้ลงทุนและสถาบันการเงินต่างๆ

ด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์: จะปรับปรุงโครงสร้างการศึกษาให้สอดคล้องกับการพัฒนาวิชาชีพที่เหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละภูมิภาคในประเทศ พัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆด้วยการสนับสนุนการวิจัยในทุกสาขาวิชา นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับปรุงการศึกษาให้ครอบคลุมสู่ผู้ด้อยโอกาส การกระจายอำนาจในการบริหารการศึกษาไปสู่ท้องถิ่นและสถานศึกษาเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ จัดตั้งกองทุนการศึกษาเพื่อรองรับผู้ด้อยโอกาส


ประวัติการลงสมัครรับเลือกตั้ง

พรรคนำไทยนั้นตั้งขึ้นในปี 2537 ซึ่งโดยหลักการแล้วพรรคนำไทยควรจะส่งตัวแทนของพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน 2539 แต่ทางพรรคก็มิได้ส่งตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งแม้แต่คนเดียวจนเป็นเหตุนำไปสู่การถูกยุบพรรคในที่สุด


การล่มสลายของพรรค

การที่พรรคนำไทยไม่ยอมส่งตัวแทนพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ทำให้พรรคนำไทยถูกศาลฎีกาออกคำสั่งยุบพรรคตามที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องเนื่องจากเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2524 มาตรา 46 (3) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติพรรคการเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มาตรา 7 ซึ่งก็ถือเป็นการสิ้นสุดสถานะพรรคการเมืองของพรรคนำไทยลงในที่สุด

ที่มา

ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 111 ตอนที่ 46 ง, 17 ตุลาคม 2537.

ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 115 ตอนที่ 23 ง, 19 มีนาคม 2541.