ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การเฉลิมพระนคร ๑๕๐ ปี"
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''''ผู้เรียบเรียง :''' รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุ...' |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
'''''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :''' รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์'' | '''''ผู้เรียบเรียง :''' รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล'' | ||
'''''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :''' รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์'' | |||
---- | ---- | ||
| |||
== พระราชพิธีฉลองพระนคร: ความเป็นมา == | |||
พระราชพิธีฉลองพระนครหรือสมโภชพระนครนี้เคยมีมาแล้ว ๒ ครั้ง คือสมโภชเมื่อแรกสร้างพระนครเสร็จในรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก|พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]]ครั้งหนึ่ง และสมโภชพระนครครบรอบ ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ ในรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]อีกครั้งหนึ่ง ครั้นถึงรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]] จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีฉลองพระนครขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นวาระที่กรุงเทพมหานครมีอายุครบ ๑๕๐ ปี นับเป็นการสมโภชครั้งที่ ๓ | |||
พระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับงานฉลองพระนครเริ่มปรากฏเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๖๙ แต่เนื่องจากขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ฉะนั้นเห็นกันว่า การที่[[รัฐบาล|รัฐบาล]]จะจัดงานพิธีใดๆ จึงจำต้องพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายและประโยชน์ที่จะได้รับให้มากที่สุด จึงสมควรเตรียมงานไว้ล่วงหน้าก่อน เพราะเมื่อได้วางแผนงานแล้วจะทราบจำนวนเงินค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด ทำให้สามารถเตรียมงบประมาณสำหรับรายจ่ายทัน<ref>กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๑.</ref> | |||
== การสร้างสิ่งอันเป็นอนุสรณ์และปฏิสังขรณ์โบราณสถาน == | == การสร้างสิ่งอันเป็นอนุสรณ์และปฏิสังขรณ์โบราณสถาน == | ||
พระปฐมบรมราชานุสรณ์ | พระปฐมบรมราชานุสรณ์ | ||
อนึ่ง มีคำบอกเล่าจากหลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เศรษฐบุตร หรือ เสถบุตร) ผู้ซึ่งเป็นปลัดกรมกอง[[องคมนตรี]]อยู่ในขณะนั้น ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริแน่วแน่ว่าควรเป็นการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จะได้เป็นสาธารณประโยชน์ในการขยายความเจริญฝั่งธนบุรี แต่ที่ประชุมไม่เห็นด้วย เพราะไม่มีเงินแผ่นดินเพียงพอ แต่ด้วยพระขัตติยะมานะยิ่งในเรื่องนี้ ได้ทรงดำเนินการอย่างละมุนละม่อม จนท้ายที่สุด [[เสนาบดีสภา]]ได้อนุโลมตามพระราชดำริ | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า สมควรจะจัดสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ที่ระลึกแห่งพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรีวงศ์ผู้ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร และเพื่อเป็นการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎร์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ โดยเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เรียกว่าคณะกรรมการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ คณะกรรมการนี้ประกอบด้วยสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชเป็นนายกกรรมการ [[สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ_เจ้าฟ้าฯ_กรมพระนครสวรรค์วรพินิต|สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต]] เป็นอุปนายก และให้[[อภิรัฐมนตรี|อภิรัฐมนตรี]]กับทั้งเสนาบดีทุกกระทรวงเป็นกรรมการ ในการประชุมครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ นั้น มีการยกประเด็นเรื่องสถานที่ที่จะประดิษฐานพระบรมรูปซึ่งได้มีความคิดกันอยู่เดิมบ้างแล้ว ว่าจะสร้างพระบรมรูปหล่ออย่างใหญ่ประดิษฐานอยู่หน้าพระวิหารพระศรีสากยมุนี ณ วัดสุทัศน์เทพวราราม ตกแต่งแก้ไขซ่อมแซมพระวิหารให้วิจิตรบรรจง ขยายลานเสาชิงช้าให้กว้างใหญ่ และทำถนนขนาดใหญ่มีสวนยาวตั้งแต่เสาชิงช้าหน้าวัดสุทัศน์ฯ ตรงไปบรรจบถนนราชดำเนินกลาง<ref>กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๘ , ๑๑.</ref> แต่[[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ_กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน|พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน]] ผู้ซึ่งเป็นเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมในขณะนั้นทรงเสนอให้พิจารณาถึงประโยชน์สาธารณะด้วย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระนครสวรรค์วรพินิตด้วยว่าการสร้างถนนดังกล่าวอาจอยู่ในประเภทงดงามเฉยๆ ไม่สู้เป็นสาธารณประโยชน์มากนัก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน จึงได้เสนอให้สร้างสะพานเชื่อมธนบุรีกับกรุงเทพฯ ข้อเสนอนี้กรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วว่ามีประโยชน์ต่อการขยายเขตพระนครให้กว้างขวาง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเห็นชอบและมีพระราชดำริให้สร้างพระบรมรูปใกล้ๆ สะพาน <ref>กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๒๘ – ๒๙.</ref> | ||
เงินทุนที่ใช้ในการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์นั้นประมาณราว ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบริจาคพระราชทรัพย์เป็นส่วนพระองค์จำนวนหนึ่ง และ[[รัฐบาล]]จ่ายเงินแผ่นดินช่วยจำนวนหนึ่ง ส่วนเงินอีกจำนวนหนึ่งนั้น มีพระราชดำริว่าควรบอกบุญเรี่ยไรชาวสยามทุกชั้นบรรดาศักดิ์ตามกำลัง<ref>กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๙๙.</ref> | อนึ่ง มีคำบอกเล่าจากหลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เศรษฐบุตร หรือ เสถบุตร) ผู้ซึ่งเป็นปลัดกรมกอง[[องคมนตรี|องคมนตรี]]อยู่ในขณะนั้น ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริแน่วแน่ว่าควรเป็นการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จะได้เป็นสาธารณประโยชน์ในการขยายความเจริญฝั่งธนบุรี แต่ที่ประชุมไม่เห็นด้วย เพราะไม่มีเงินแผ่นดินเพียงพอ แต่ด้วยพระขัตติยะมานะยิ่งในเรื่องนี้ ได้ทรงดำเนินการอย่างละมุนละม่อม จนท้ายที่สุด [[เสนาบดีสภา|เสนาบดีสภา]]ได้อนุโลมตามพระราชดำริ <ref>พิมพวัลคุ์ เสถบุตร. ๒๕๓๗. สอ เสถบุตร. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ผู้จัดการ, หน้า ๑๐๔-๑๐๕.</ref> | ||
เงินทุนที่ใช้ในการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์นั้นประมาณราว ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบริจาคพระราชทรัพย์เป็นส่วนพระองค์จำนวนหนึ่ง และ[[รัฐบาล|รัฐบาล]]จ่ายเงินแผ่นดินช่วยจำนวนหนึ่ง ส่วนเงินอีกจำนวนหนึ่งนั้น มีพระราชดำริว่าควรบอกบุญเรี่ยไรชาวสยามทุกชั้นบรรดาศักดิ์ตามกำลัง<ref>กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๙๙.</ref> และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญขึ้นพระราชทานแก่ผู้เข้าเรี่ยไรสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ มีอยู่ ๒ ชนิด คือ ๑. ขนาดใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้เข้าเรี่ยไรเป็นจำนวนเงินตั้งแต่ ๕๐๐ บาทขึ้นไป ๒. ขนาดเล็ก สำหรับสำหรับผู้ที่ได้เข้าเรี่ยไรเป็นจำนวนเงินตั้งแต่ ๑๐ บาทขึ้นไป<ref>กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า๑๑๒.</ref> (กรมศิลปากร ๒๕๒๕: ๑๑๒) | |||
พระบรมรูป | พระบรมรูป | ||
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้[[สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ_เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์|สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์]] อุปนายกราชบัณฑิตสภา ผู้อำนวยการแผนกศิลปากรในเวลานั้น ทรงออกแบบพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้นายโคราโด เฟโรจี (CoradoFeroci) หรือศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี นายช่างปั้นชาวอิตาเลียน ซึ่งรับราชการอยู่ที่ศิลปากรสถาน เป็นผู้ขึ้นหุ่นพระบรมรูป เสร็จแล้วส่งไปหล่อที่ยุโรป เป็นพระบรมรูปทรงเครื่องขัตติยาภรณ์ ประทับเหนือพระราชบัลลังก์ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ขนาดสูงจากพื้นถึงยอด ๔.๖๐ เมตร ฐานกว้าง ๒.๓๐ เมตร <ref>พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. ๒๕๕๑. บทนิทรรศการพระราชประวัติพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. ชั้นที่ ๓</ref> | |||
เมื่อแล้วเสร็จได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนบัลลังก์เหนือเกย มีอัฒจันทร์ขึ้นลงสองข้าง มีซุ้มจรนำ สกัดหลังตั้งเป็นลับแล มีศิลาจารึกอยู่ด้านหลัง ประดิษฐาน ณ เชิงสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งพระนคร ตรงที่ต่อปลายถนนตรีเพ็ชร ในบริเวณที่สร้างนี้เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งถ้าแม้ต้องจัดซื้อตาม[[พระราชกฤษฎีกาแล้ว|พระราชกฤษฎีกาแล้ว]] จะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนประมาณหนึ่งล้านบาท แต่พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยกที่ดินนี้และสิ่งปลูกสร้างบริเวณนี้ โดยไม่คิดราคา เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลสาธารณะส่วนหนึ่งต่างหากจากจำนวนเงิน ๑ ล้านบาทซึ่งพระราชทานสำหรับค่าก่อสร้าง | |||
''สะพาน'' | ''สะพาน'' | ||
๑. แผ่นหิรัญบัฏจารึกประกาศพระบรมราชโองการสร้างสะพาน | ลักษณะสะพานมีรูปเหมือนลูกศร ปลายศรชี้ไปทางฝั่งธนบุรีซึ่งสอดคล้องกับพระราชลัญจกรประจำพระองค์ คือ พระแสงศร ตรงกลางโค้งทางลาดฝั่งพระนครเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก(มหาราช) ผู้ออกแบบสะพานคือ หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงอำนวยการสร้าง บริษัทดอร์แมน ลอง (Dorman Long Ltd.) จำกัด ประเทศอังกฤษ เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ใช้เวลาในการก่อสร้าง ๒ ปีเศษ เป็นสะพานเหล็กยาว ๒๒๙.๗๖ เมตร กว้าง ๑๖.๖๘ เมตร ท้องสะพานสูงเหนือน้ำ ๗.๕๐ เมตร ช่วงกลางสะพานสามารถเปิดปิดให้เรือใหญ่ผ่านได้ นับว่าเป็นสะพานที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ โดยเป็นสะพานสำหรับรถและคนข้าม ในขณะที่สะพานพระราม ๖ ซึ่ง[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]]โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นสะพานสำหรับรถไฟข้าม แต่แล้วเสร็จในต้นรัชกาลที่ ๗ | ||
[[สะพานพระพุทธยอดฟ้า|สะพานพระพุทธยอดฟ้า]]เริ่มก่อสร้างใน พ.ศ. ๒๔๗๒ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย[[สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี_พระบรมราชินี|สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี]] เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นใกล้ปลายปีทรงวางศิลาพระฤกษ์ซึ่งบรรจุสิ่งต่างๆต่อไปนี้ไว้ | |||
๑. แผ่นหิรัญบัฏจารึกประกาศพระบรมราชโองการสร้างสะพาน | |||
๒. รูปสะพานและแผนผังสะพาน | ๒. รูปสะพานและแผนผังสะพาน | ||
๓. เหรียญบรมราชาภิเษกและเหรียญราชรุจิในรัชกาลที่ ๗ | ๓. เหรียญบรมราชาภิเษกและเหรียญราชรุจิในรัชกาลที่ ๗ | ||
๔. หีบบรรจุสิ่งของ กระทรวงพาณิชย์และคมนาคมเป็นผู้จัดทำ เป็นหีบสี่เหลี่ยมทึบขนาด ๒๐ นิ้ว กว้าง ๖ นิ้ว สูง ๖ นิ้ว | ๔. หีบบรรจุสิ่งของ กระทรวงพาณิชย์และคมนาคมเป็นผู้จัดทำ เป็นหีบสี่เหลี่ยมทึบขนาด ๒๐ นิ้ว กว้าง ๖ นิ้ว สูง ๖ นิ้ว | ||
๕. ค้อนเงิน และเกรียงเงิน สำหรับทรงก่อพระฤกษ์ | ๕. ค้อนเงิน และเกรียงเงิน สำหรับทรงก่อพระฤกษ์ | ||
๖. อิฐปิดทอง เงิน นาก พันผ้าสีชมพู อย่างละ ๖ แผ่น สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงก่อ | |||
''การปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม'' | ''การปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม'' | ||
นอกจากการก่อสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานแล้ว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามทั่วทั้งพระอาราม นับเป็นการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่เช่นเดียวกับการปฏิสังขรณ์ในงานสมโภชพระนคร ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ ในรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ซึ่งในครั้งนั้นได้โปรดเกล้าให้หล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง ๔ พระองค์และสร้างพระมหาประสาทห้ายอดขึ้นไว้ในพระราชวังฝ่ายบุรพทิศและเชิญพระบรมรูปขึ้นประดิษฐานบนพระมหาปราสาท <ref>จันทกาญจ์ คล้อยสาย. ๒๔๔๓. เฉลิมพระนคร ย้อนฉลองกรุง. กรุงเทพฯ: ซีรอกซ์ กราฟฟิก, หน้า ๗-๘.</ref> นามว่า[[ปราสาทพระเทพบิดร|ปราสาทพระเทพบิดร]] | |||
การปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามในครั้งนี้ ใช้วิธีหาทุนดำเนินการเช่นเดียวกับการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ คือเปิดเรี่ยไรรับเงินบริจาคจากประชาชนทั่วไปมาสมทบทุนในการปฏิสังขรณ์ กล่าวคือคณะกรรมการได้ประชุมกันประมาณเงินที่จะต้องจ่ายทั้งสิ้นเป็นจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท แล้วนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงพระราชศรัทธาอุทิศพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ๒๐๐,๐๐๐ บาทให้เป็นทุนในการปฏิสังขรณ์ รัฐบาลออกเงินอีกส่วนหนึ่ง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนเงินที่เหลือก็ได้เปิดรับจากประชาชนทั่วไปตามแต่ศรัทธา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต นายกกรรมการจัดการทำนุบำรุงวัดพระศรีรัตนศาสดารามโปรดให้ออกประกาศบอกบุญแก่ประชาชนทั่วไปเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ และ[[กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ|กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ]]ได้ออกประกาศเกี่ยวกับระเบียบการรับเงินเรี่ยไร ตลอดจนสิ่งตอบแทนแก่ผู้บริจาคในวันเดียวกัน <ref>กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๑๑๓. </ref> ซึ่งได้แก่เหรียญพระแก้วมรกต ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ปางสมาธิประทับนั่งอยู่บนฐานบัวคว่ำบัวหงาย ด้านหลังเป็นรูปยันต์กงจักรมีอักษรจารึกมรรค ๘ ผู้บริจาคตั้งแต่ ๑๐๐ บาทขึ้นไปพระราชทานเหรียญทอง ผู้บริจาคตั้งแต่ ๒๐ บาทขึ้นไปพระราชทานเหรียญเงิน ผู้บริจาคตั้งแต่ ๕ บาทขึ้นไปพระราชทานเหรียญทองคำขาว ผู้บริจาคตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไปพระราชทานเหรียญทองแดง<ref>กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๑๑๖. </ref> | |||
รายการปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามมีทั้งสิ้น ๔๒ รายการ แบ่งเป็น ๓ แผนก ได้แก่ แผนกพระอุโบสถ แผนกวิหารคดพระระเบียง และแผนกหอมนเทียรธรรม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฝังจารึกรายการปฏิสังขรณ์บริเวณผนังด้านนอกของประตูพระอารามตะวันตก <ref>กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๑๒๑-๑๒๒, ๑๒๔. </ref> อนึ่ง ก่อนหน้านั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมพระที่นั่งต่างๆ ในพระบรมมหาราชวังด้วย โดย[[สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์|สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์]]ทรงอำนวยการซ่อมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท โดยช่างของ[[ราชบัณฑิตยสภา|ราชบัณฑิตยสภา]]แผนกศิลปากร มีหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ ทรงควบคุม เมื่อขึ้นสำรวจ พบว่าเครื่องบนหลังคาผุหัก ฝนรั่วลงมาทำให้ลายปูนปั้นและผนังผุเปื่อยแตกร้าว จึงต้องเปลี่ยนตัวไม้เครื่องบนละเครื่องยอดใหม่ เป็นโอกาสให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระฯ ได้ทรงออกแบบทรวดทรงเครื่องยอดพระที่นั่งจักรีเสียใหม่ให้อ้วนสั้นแทนที่จะเป็นทรงสูงข่มกันกับตัวตึกแบบฝรั่ง นอกจากนั้น ได้ซ่อมแซมบันได้หน้ามุขเด็จ ท้องพระโรงกลาง ฯลฯ เท่าที่ต้องการใช้ก่อน แล้วจึงค่อยๆ หางบประมาณทำไปเป็นระยะทั้งหมู่ <ref>ดวงจิตร จิตรพงศ์, หม่อมเจ้าหญิง. ๒๕๔๑. ป้าป้อนหลาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า ๑๑๓. </ref> | |||
| |||
== พระราชพิธีฉลองพระนคร ๑๕๐ ปี == | == พระราชพิธีฉลองพระนคร ๑๕๐ ปี == | ||
ในการเตรียมการได้ประกอบการพระราชพิธีฉลองพระนคร ๑๕๐ ปี โดยแบ่งงานเป็น ๓ ภาค คือ | |||
ภาคที่ ๑ งานฉลองพระนคร จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ | ภาคที่ ๑ งานฉลองพระนคร จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ | ||
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีในวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกา ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง [[เจ้าพระยายมราช]]กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลแทนพสกนิกรชาวสยาม มีพระราชดำรัสตอบแล้ว เสด็จประทับพระมณฑปที่บวงสรวง เสร็จแล้วเสด็จประทับพลับพลา พระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่กองทหาร ๑๒ ธง แล้วเสด็จพระราชดำเนินประทักษิณท้องสนามหลวง เพื่อพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ราษฎรได้ฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ครั้นเวลา ๑๘.๑๕ น. เสด็จในพระราชพิธีฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามในโอกาสฉลองพระนคร ๑๕๐ ปี ได้โปรดเกล้าฯ ให้ปฎิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมทั้งสร้างคัมภีร์พระธรรมเทศนา ในตอนเย็นวันที่ ๔ เมษายน โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีทรงเจิมคัมภีร์พระธรรมเทศนา ถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ณ ปราสาทพระเทพบิดร โปรดเกล้าฯ ให้พนักงานวียนเทียนฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามและฉลองคัมภีร์พระธรรมเทศนา และมีการแสดงมหรสพจนถึงกลางคืน | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีในวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกา ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง [[เจ้าพระยายมราช|เจ้าพระยายมราช]]กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลแทนพสกนิกรชาวสยาม มีพระราชดำรัสตอบแล้ว เสด็จประทับพระมณฑปที่บวงสรวง เสร็จแล้วเสด็จประทับพลับพลา พระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่กองทหาร ๑๒ ธง แล้วเสด็จพระราชดำเนินประทักษิณท้องสนามหลวง เพื่อพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ราษฎรได้ฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ครั้นเวลา ๑๘.๑๕ น. เสด็จในพระราชพิธีฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามในโอกาสฉลองพระนคร ๑๕๐ ปี ได้โปรดเกล้าฯ ให้ปฎิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมทั้งสร้างคัมภีร์พระธรรมเทศนา ในตอนเย็นวันที่ ๔ เมษายน โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีทรงเจิมคัมภีร์พระธรรมเทศนา ถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ณ ปราสาทพระเทพบิดร โปรดเกล้าฯ ให้พนักงานวียนเทียนฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามและฉลองคัมภีร์พระธรรมเทศนา และมีการแสดงมหรสพจนถึงกลางคืน | ||
อนึ่ง ระหว่างวันที่ ๕-๖ เมษายน เวลา ๑๔.๐๐-๒๔.๐๐ นาฬิกา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประชาชนและพระสงฆ์สามเณรได้เข้านมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เที่ยวชมพระอารามและถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า เนื่องในงานฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวันที่ระลึกมหาจักรี เพื่ออนุโมทนาสาธุการพระราชกุศลโดยทั่วกัน ส่วนในวันที่ระลึกมหาจักรี ๖ เมษายนเวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้พระสงฆ์สามเณรชุมนุมทำวัตร สาธยายพระพุทธพจนะในพระอุโบสถและที่ศาลาหน้าปราสาทพระเทพบิดร | อนึ่ง ระหว่างวันที่ ๕-๖ เมษายน เวลา ๑๔.๐๐-๒๔.๐๐ นาฬิกา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประชาชนและพระสงฆ์สามเณรได้เข้านมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เที่ยวชมพระอารามและถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า เนื่องในงานฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวันที่ระลึกมหาจักรี เพื่ออนุโมทนาสาธุการพระราชกุศลโดยทั่วกัน ส่วนในวันที่ระลึกมหาจักรี ๖ เมษายนเวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้พระสงฆ์สามเณรชุมนุมทำวัตร สาธยายพระพุทธพจนะในพระอุโบสถและที่ศาลาหน้าปราสาทพระเทพบิดร | ||
วันที่ ๕ เมษายน เวลา ๑๗.๑๐ นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงสดับพระพุทธมนต์ในการฉลองพระนคร ณ วัดสุทัศน์เทพวรารามซึ่งเป็นวัดที่[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]]โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ก่อนจะเสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงพระราชพิธีที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ทรงประเคนผ้าไตรและย่ามกับพัดรองที่ระลึกในงานฉลอง พระนครแด่พระสงฆ์ ๓๐ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเป็นประธาน พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ และเหรียญรัตนาภรณ์แก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ในการสร้างสะพาน พระราชทาน[[หีบบุหรี่เงินถม]]แก่นาย เจ รักค์ (Mr. J. Ruck) นายช่างกำกับการก่อสร้างสะพาน กับโปรดเกล้าฯ ให้ส่งหีบบุหรี่เงินถมไปพระราชทานแก่นายชาร์ลส์ มิเชล (Mr. Charles Mitchell) ประธานกรรมการบริษัทดอร์แมน ลอง (Dorman, Long & Co., Ltd.,) ซึ่งดำเนินการก่อสร้างสะพาน | วันที่ ๕ เมษายน เวลา ๑๗.๑๐ นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงสดับพระพุทธมนต์ในการฉลองพระนคร ณ วัดสุทัศน์เทพวรารามซึ่งเป็นวัดที่[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก|พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]]โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ก่อนจะเสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงพระราชพิธีที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ทรงประเคนผ้าไตรและย่ามกับพัดรองที่ระลึกในงานฉลอง พระนครแด่พระสงฆ์ ๓๐ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเป็นประธาน พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ และเหรียญรัตนาภรณ์แก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ในการสร้างสะพาน พระราชทาน[[หีบบุหรี่เงินถม|หีบบุหรี่เงินถม]]แก่นาย เจ รักค์ (Mr. J. Ruck) นายช่างกำกับการก่อสร้างสะพาน กับโปรดเกล้าฯ ให้ส่งหีบบุหรี่เงินถมไปพระราชทานแก่นายชาร์ลส์ มิเชล (Mr. Charles Mitchell) ประธานกรรมการบริษัทดอร์แมน ลอง (Dorman, Long & Co., Ltd.,) ซึ่งดำเนินการก่อสร้างสะพาน | ||
วันที่ ๖ เมษายน วันที่ระลึกมหาจักรี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงพระราชพิธีที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฝั่งพระนคร สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต นายกกรรมการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ (แทนสมเด็จพระราชปิตุลาฯ ซึ่งสิ้นพระชนม์แล้ว) กราบบังคมทูลรายงานการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ มีพระราชดำรัสตอบแล้ว ได้เวลาอุดมมงคลฤกษ์เวลา ๐๘.๑๕ | วันที่ ๖ เมษายน วันที่ระลึกมหาจักรี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงพระราชพิธีที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฝั่งพระนคร สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต นายกกรรมการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ (แทนสมเด็จพระราชปิตุลาฯ ซึ่งสิ้นพระชนม์แล้ว) กราบบังคมทูลรายงานการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ มีพระราชดำรัสตอบแล้ว ได้เวลาอุดมมงคลฤกษ์เวลา ๐๘.๑๕ นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ ณ พระแท่นชุมสาย ทรงกดไกไฟฟ้าด้วยฆ้อนเงินสำหรับตัดกระดาษ ซึ่งบริษัทดอร์แมน ลอง ทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงเปิดผ้าคลุมพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และเปิดป้ายชื่อ[[สะพานพระพุทธยอดฟ้า|สะพานพระพุทธยอดฟ้า]]พร้อมกับเปิดวิถีสะพาน จากนั้นเสด็จขึ้นประทับเหนือพระราชยานพุดตานทองเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราใหญ่ทางสถลมารค (ทางบก) ข้ามสะพานพระพุทธยอดฟ้าจากฝั่งพระนครไปยังฝั่งธนบุรี และประทับทอดพระเนตรกระบวนเรือรบแล่นผ่านลอดสะพานพระพุทธยอดฟ้า แล้วเสด็จลงประทับเหนือพระราชบัลลังก์บุษบกในเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ทางน้ำ) จากฝั่งธนบุรีกลับยัง[[ท่าราชวรดิฐ|ท่าราชวรดิฐ]]ฝั่งพระนคร | ||
เมื่อเสร็จพระราชพิธีแล้ว ประชาชนได้กราบถวายบังคมพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอย่างล้นหลามตลอดทั้งวัน | เมื่อเสร็จพระราชพิธีแล้ว ประชาชนได้กราบถวายบังคมพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอย่างล้นหลามตลอดทั้งวัน | ||
อนึ่ง ในวันที่ระลึกมหาจักรี ๖ เมษายน เวลา ๑๐.๓๐ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานตั้งบายศรีและเครื่องสังเวยที่หน้าศาลหลักเมือง และในเวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ตลอดจนพ่อค้าคฤหบดีร่วมบำเพ็ญกุศล ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ในงานฉลองพระนคร ณ วัดสุทัศน์เทพวราราม ทั้งนี้ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานจัดภัตตาหารจากห้องเครื่องต้นพร้อมด้วยไทยธรรมไปถวายประธานคณะสงฆ์ และในเวลา ๑๗. ๐๐ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานพระราชพิธีตั้งบายศรีแก้ว ทอง เงิน ที่หน้าพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พราหมณ์เบิกแว่น เจ้าพนักงานและประชาชนรับแว่นเวียนเทียนสมโภชพระบรมรูป | อนึ่ง ในวันที่ระลึกมหาจักรี ๖ เมษายน เวลา ๑๐.๓๐ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานตั้งบายศรีและเครื่องสังเวยที่หน้าศาลหลักเมือง และในเวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ตลอดจนพ่อค้าคฤหบดีร่วมบำเพ็ญกุศล ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ในงานฉลองพระนคร ณ วัดสุทัศน์เทพวราราม ทั้งนี้ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานจัดภัตตาหารจากห้องเครื่องต้นพร้อมด้วยไทยธรรมไปถวายประธานคณะสงฆ์ และในเวลา ๑๗. ๐๐ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานพระราชพิธีตั้งบายศรีแก้ว ทอง เงิน ที่หน้าพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พราหมณ์เบิกแว่น เจ้าพนักงานและประชาชนรับแว่นเวียนเทียนสมโภชพระบรมรูป | ||
ภาคที่ ๒ งานเฉลิมสิริราชสมบัติ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘-๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ | ภาคที่ ๒ งานเฉลิมสิริราชสมบัติ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘-๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ | ||
วันที่ ๘ เมษายน เวลา ๑๗.๔๕ นาฬิกา เสด็จออกท้องพระโรงกลาง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงสดับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ แล้วสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต นายกกรรมการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ พร้อมด้วยกรรมการทั้งคณะทรงนำพระบรมรูปปฐมบรมราชานุสรณ์จำลองขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวาย จากนั้นทรงศีลแล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยบูชาสิริราชกกุธภัณฑ์ เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกมุขกระสันโปรดเกล้าฯ ให้ข้าทูลละอองธุลีพระบาท เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท | วันที่ ๘ เมษายน เวลา ๑๗.๔๕ นาฬิกา เสด็จออกท้องพระโรงกลาง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงสดับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ แล้วสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต นายกกรรมการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ พร้อมด้วยกรรมการทั้งคณะทรงนำพระบรมรูปปฐมบรมราชานุสรณ์จำลองขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวาย จากนั้นทรงศีลแล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยบูชาสิริราชกกุธภัณฑ์ เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกมุขกระสันโปรดเกล้าฯ ให้ข้าทูลละอองธุลีพระบาท เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท | ||
วันที่ ๙ เมษายน เวลา ๑๐.๕๕ นาฬิกา เสด็จออกห้องพระราชพิธี พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท บำเพ็ญพระราชกุศลถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ แล้วเสด็จเข้าประทับในพระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬารทรงเศวตพัสตร์ เวลา ๑๒.๐๐ นาฬิกา เสด็จออกดาดฟ้าข้างพระที่นั่ง ทรงจุดธูปเทียนสังเวยเทวดา แล้วเสด็จขึ้นประทับพระแท่นมูรธาภิเษก ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงแปรพระพักตร์สู่มงคลทิศอุดร สรงสหัสธารามูรธาภิเษกสนาน แล้วเสด็จเข้าในพระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬาร ทรงเครื่องราชภูษิตาภรณ์ พระภูษาเขียนทองชั้นสีตามพระพิชัยสงครามประจำสนิวาร | วันที่ ๙ เมษายน เวลา ๑๐.๕๕ นาฬิกา เสด็จออกห้องพระราชพิธี พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท บำเพ็ญพระราชกุศลถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ แล้วเสด็จเข้าประทับในพระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬารทรงเศวตพัสตร์ เวลา ๑๒.๐๐ นาฬิกา เสด็จออกดาดฟ้าข้างพระที่นั่ง ทรงจุดธูปเทียนสังเวยเทวดา แล้วเสด็จขึ้นประทับพระแท่นมูรธาภิเษก ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงแปรพระพักตร์สู่มงคลทิศอุดร สรงสหัสธารามูรธาภิเษกสนาน แล้วเสด็จเข้าในพระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬาร ทรงเครื่องราชภูษิตาภรณ์ พระภูษาเขียนทองชั้นสีตามพระพิชัยสงครามประจำสนิวาร | ||
ฉลองพระองค์ขาว ทรงรัดพระคต พระมาลาสักหลาดขาว สอดพระสังวาลมหานพรัตน ทรงพระแสงดาบคาบค่าย เสด็จออกห้องพระราชพิธี ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมถวายแด่พระสงฆ์ ซึ่ง เจริญพระพุทธมนต์ และในเวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานตั้งบายศรีแก้ว ทอง เงิน | ฉลองพระองค์ขาว ทรงรัดพระคต พระมาลาสักหลาดขาว สอดพระสังวาลมหานพรัตน ทรงพระแสงดาบคาบค่าย เสด็จออกห้องพระราชพิธี ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมถวายแด่พระสงฆ์ ซึ่ง เจริญพระพุทธมนต์ และในเวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานตั้งบายศรีแก้ว ทอง เงิน เวียนเทียนสมโภชพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้จัดซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว | ||
ภาคที่ ๓ งานพระราชกุศลทักษิณานุประทาน จัดขึ้นในวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ วันที่ ๒๓ เมษายน เวลา ๑๘.๐๕ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ทรงพระราชอุทิศถวายสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖ รัชกาล และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย | |||
| |||
== ภาคผนวก == | == ภาคผนวก == | ||
พระราชดำรัสในพระราชพิธีบวงสรวงวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง มีความตอนหนึ่งว่า: | |||
“ตัวเราได้ตั้งใจ และขอให้ท่านทั้งปวงได้มีความพร้อมกันตั้งความปรารถนา ในการปกครองรักษาทำนุบำรุงแผ่นดินในระยะต่อไปนี้ให้ประเพณีวงศ์ดำรงอยู่อย่ารู้เสื่อมคลายและเพิ่มเติมสิ่งซึ่งดีทั้งหลายให้เจริญมากมูลขึ้น ฉันใดที่ท่านแต่ก่อนมีน้ำใจต่อต้านศัตรูภัยอื่นยากมาย่ำยีพระราชอาณาเขตต์ด้วยกำลังพลโยธา ท่านได้ช่วยกันทำหน้าที่ปราบปรามจนวินาศ บัดนี้เราทั้งหลาย ผู้ได้รับมฤดกความสงบราบคาบของท่านแล้ว กลับได้ประสพโภคภัยบ่าเข้ามาท่วมทับ ขอจงมีน้ำใจสนองท่านแต่ก่อนด้วยความตั้งหน้าฝ่าอุปสรรคและอดทน เพื่อให้ชาติของเราตั้งมั่นอยู่ได้ ดุจท่านแต่ก่อนมีความอดทนต่อสู้ศัตรูภายนอกฉะนั้น” | “ตัวเราได้ตั้งใจ และขอให้ท่านทั้งปวงได้มีความพร้อมกันตั้งความปรารถนา ในการปกครองรักษาทำนุบำรุงแผ่นดินในระยะต่อไปนี้ให้ประเพณีวงศ์ดำรงอยู่อย่ารู้เสื่อมคลายและเพิ่มเติมสิ่งซึ่งดีทั้งหลายให้เจริญมากมูลขึ้น ฉันใดที่ท่านแต่ก่อนมีน้ำใจต่อต้านศัตรูภัยอื่นยากมาย่ำยีพระราชอาณาเขตต์ด้วยกำลังพลโยธา ท่านได้ช่วยกันทำหน้าที่ปราบปรามจนวินาศ บัดนี้เราทั้งหลาย ผู้ได้รับมฤดกความสงบราบคาบของท่านแล้ว กลับได้ประสพโภคภัยบ่าเข้ามาท่วมทับ ขอจงมีน้ำใจสนองท่านแต่ก่อนด้วยความตั้งหน้าฝ่าอุปสรรคและอดทน เพื่อให้ชาติของเราตั้งมั่นอยู่ได้ ดุจท่านแต่ก่อนมีความอดทนต่อสู้ศัตรูภายนอกฉะนั้น” | ||
พระราชดำรัสในการพระราชพิธีเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ มีความบางตอนดังนี้: | พระราชดำรัสในการพระราชพิธีเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ มีความบางตอนดังนี้: | ||
“อันการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ เพื่อเป็นที่ระลึกในการฉลองพระนคร...นับเป็นงานโอฬารอันหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้อาศัยความพยายามแห่งท่านทั้งหลายผู้ปรีชาสามารถ ข้าพเจ้ารู้สึกปิติอย่างภาคภูมิใจ ว่าตั้งแต่ดำริเริ่มและปฎิบัติมา ลงมือวางศิลาฤกษ์สะพานเมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๒ การนี้ได้ดำเนิรโดยสะดวก มิได้มีความขัดข้องพ้องพานอย่างไร จนสำเร็จสมความประสงค์ เป็นเกียรติยศแก่ประเทศชาติเห็นปานนี้ เพราะกำลังกายกำลังความคิดและกำลังทรัพย์ของพวกเราช่วยกันทั้งนั้น ขอให้ได้รับความขอบใจจากข้าพเจ้าจงทั่วกัน....การฉลองพระนครคราวนี้ แม้มามีในสมัยที่บ้านเมืองตกอยู่ในฐานอัตคัดฝืดเคือง แต่กำลังความกตัญญู กตเวทีของพวกเราหากเป็นพละแรงกล้า จึ่งสามารถประกอบงานถวายเป็นราชบรรณาการสนอพระเดชพระคุณได้อย่างเอิกเริกมโหฬาร เป็นเกียรติยศสมรูปสมลักษณะ โดยไม่เป็นการสิ้นเปลืองเท่าไร เพราะต่างช่วยกันสำแดงความสวามิภักดิ์ด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจ | “อันการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ เพื่อเป็นที่ระลึกในการฉลองพระนคร...นับเป็นงานโอฬารอันหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้อาศัยความพยายามแห่งท่านทั้งหลายผู้ปรีชาสามารถ ข้าพเจ้ารู้สึกปิติอย่างภาคภูมิใจ ว่าตั้งแต่ดำริเริ่มและปฎิบัติมา ลงมือวางศิลาฤกษ์สะพานเมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๒ การนี้ได้ดำเนิรโดยสะดวก มิได้มีความขัดข้องพ้องพานอย่างไร จนสำเร็จสมความประสงค์ เป็นเกียรติยศแก่ประเทศชาติเห็นปานนี้ เพราะกำลังกายกำลังความคิดและกำลังทรัพย์ของพวกเราช่วยกันทั้งนั้น ขอให้ได้รับความขอบใจจากข้าพเจ้าจงทั่วกัน....การฉลองพระนครคราวนี้ แม้มามีในสมัยที่บ้านเมืองตกอยู่ในฐานอัตคัดฝืดเคือง แต่กำลังความกตัญญู กตเวทีของพวกเราหากเป็นพละแรงกล้า จึ่งสามารถประกอบงานถวายเป็นราชบรรณาการสนอพระเดชพระคุณได้อย่างเอิกเริกมโหฬาร เป็นเกียรติยศสมรูปสมลักษณะ โดยไม่เป็นการสิ้นเปลืองเท่าไร เพราะต่างช่วยกันสำแดงความสวามิภักดิ์ด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจ ....ขณะนี้ ได้อุดมฤกษ์ ข้าพเจ้าจะดำเนินการเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ มอบให้เป็นอนุสสรณียวัตถุแด่ชาวสยามทั้งภายนี้และภาคหน้า เพื่อรำลึกถึงพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอยู่เนืองนิจแล้ว เกิดกำลังอาจหาญในการรักษาพระราชมฤดกคือ อิสสรสุขของประเทศสยาม ไว้ให้สถาพรชีวกัลปาวสาน และจะเปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้าโยงเชื่อมพระมหานครและกรุงธนบุรีเป็นปฐพีแผ่นเดียวกัน ให้มหาชนทั้งสองจังหวัดสัญจรไปมาได้สะดวกตามความปรารถนา เจริญการพาณิชย์ทุกโอกาส ขอให้ถาวรวัตถุอันนี้จงสำเริงสุขประโยชน์แก่ประชาชนทั้งหลาย ทั่วหน้าเทอญ” | ||
....ขณะนี้ ได้อุดมฤกษ์ ข้าพเจ้าจะดำเนินการเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ มอบให้เป็นอนุสสรณียวัตถุแด่ชาวสยามทั้งภายนี้และภาคหน้า เพื่อรำลึกถึงพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอยู่เนืองนิจแล้ว เกิดกำลังอาจหาญในการรักษาพระราชมฤดกคือ อิสสรสุขของประเทศสยาม ไว้ให้สถาพรชีวกัลปาวสาน และจะเปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้าโยงเชื่อมพระมหานครและกรุงธนบุรีเป็นปฐพีแผ่นเดียวกัน ให้มหาชนทั้งสองจังหวัดสัญจรไปมาได้สะดวกตามความปรารถนา เจริญการพาณิชย์ทุกโอกาส ขอให้ถาวรวัตถุอันนี้จงสำเริงสุขประโยชน์แก่ประชาชนทั้งหลาย ทั่วหน้าเทอญ” | |||
| |||
== บรรณานุกรม == | == บรรณานุกรม == | ||
กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์ | กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์ | ||
บรรทัดที่ 112: | บรรทัดที่ 108: | ||
จันทกาญจ์ คล้อยสาย. ๒๔๔๓. เฉลิมพระนคร ย้อนฉลองกรุง. กรุงเทพฯ: ซีรอกซ์ กราฟฟิก. | จันทกาญจ์ คล้อยสาย. ๒๔๔๓. เฉลิมพระนคร ย้อนฉลองกรุง. กรุงเทพฯ: ซีรอกซ์ กราฟฟิก. | ||
ดวงจิตร จิตรพงศ์, หม่อมเจ้าหญิง. ๒๕๔๑. ป้าป้อนหลาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. | ดวงจิตร จิตรพงศ์, หม่อมเจ้าหญิง. ๒๕๔๑. ป้าป้อนหลาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. | ||
บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บก). ๒๕๓๖. ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: วัชชรินทร์การพิมพ์. | บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บก). ๒๕๓๖. ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: วัชชรินทร์การพิมพ์. | ||
พิมพวัลคุ์ เสถบุตร. ๒๕๓๗. สอ เสถบุตร. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ผู้จัดการ | พิมพวัลคุ์ เสถบุตร. ๒๕๓๗. สอ เสถบุตร. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ผู้จัดการ | ||
พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. ๒๕๕๑. บทนิทรรศการพระราชประวัติพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. ชั้นที่ ๓ | พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. ๒๕๕๑. บทนิทรรศการพระราชประวัติพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. ชั้นที่ ๓ | ||
| |||
== อ้างอิง == | == อ้างอิง == | ||
<references/> | |||
<references /> | |||
[[หมวดหมู่:พระปกเกล้าศึกษา]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:02, 19 พฤษภาคม 2560
ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์
พระราชพิธีฉลองพระนคร: ความเป็นมา
พระราชพิธีฉลองพระนครหรือสมโภชพระนครนี้เคยมีมาแล้ว ๒ ครั้ง คือสมโภชเมื่อแรกสร้างพระนครเสร็จในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกครั้งหนึ่ง และสมโภชพระนครครบรอบ ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกครั้งหนึ่ง ครั้นถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีฉลองพระนครขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นวาระที่กรุงเทพมหานครมีอายุครบ ๑๕๐ ปี นับเป็นการสมโภชครั้งที่ ๓
พระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับงานฉลองพระนครเริ่มปรากฏเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๖๙ แต่เนื่องจากขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ฉะนั้นเห็นกันว่า การที่รัฐบาลจะจัดงานพิธีใดๆ จึงจำต้องพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายและประโยชน์ที่จะได้รับให้มากที่สุด จึงสมควรเตรียมงานไว้ล่วงหน้าก่อน เพราะเมื่อได้วางแผนงานแล้วจะทราบจำนวนเงินค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด ทำให้สามารถเตรียมงบประมาณสำหรับรายจ่ายทัน[1]
การสร้างสิ่งอันเป็นอนุสรณ์และปฏิสังขรณ์โบราณสถาน
พระปฐมบรมราชานุสรณ์
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า สมควรจะจัดสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ที่ระลึกแห่งพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรีวงศ์ผู้ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร และเพื่อเป็นการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎร์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ โดยเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เรียกว่าคณะกรรมการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ คณะกรรมการนี้ประกอบด้วยสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชเป็นนายกกรรมการ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นอุปนายก และให้อภิรัฐมนตรีกับทั้งเสนาบดีทุกกระทรวงเป็นกรรมการ ในการประชุมครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ นั้น มีการยกประเด็นเรื่องสถานที่ที่จะประดิษฐานพระบรมรูปซึ่งได้มีความคิดกันอยู่เดิมบ้างแล้ว ว่าจะสร้างพระบรมรูปหล่ออย่างใหญ่ประดิษฐานอยู่หน้าพระวิหารพระศรีสากยมุนี ณ วัดสุทัศน์เทพวราราม ตกแต่งแก้ไขซ่อมแซมพระวิหารให้วิจิตรบรรจง ขยายลานเสาชิงช้าให้กว้างใหญ่ และทำถนนขนาดใหญ่มีสวนยาวตั้งแต่เสาชิงช้าหน้าวัดสุทัศน์ฯ ตรงไปบรรจบถนนราชดำเนินกลาง[2] แต่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ผู้ซึ่งเป็นเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมในขณะนั้นทรงเสนอให้พิจารณาถึงประโยชน์สาธารณะด้วย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระนครสวรรค์วรพินิตด้วยว่าการสร้างถนนดังกล่าวอาจอยู่ในประเภทงดงามเฉยๆ ไม่สู้เป็นสาธารณประโยชน์มากนัก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน จึงได้เสนอให้สร้างสะพานเชื่อมธนบุรีกับกรุงเทพฯ ข้อเสนอนี้กรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วว่ามีประโยชน์ต่อการขยายเขตพระนครให้กว้างขวาง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเห็นชอบและมีพระราชดำริให้สร้างพระบรมรูปใกล้ๆ สะพาน [3]
อนึ่ง มีคำบอกเล่าจากหลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เศรษฐบุตร หรือ เสถบุตร) ผู้ซึ่งเป็นปลัดกรมกององคมนตรีอยู่ในขณะนั้น ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริแน่วแน่ว่าควรเป็นการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จะได้เป็นสาธารณประโยชน์ในการขยายความเจริญฝั่งธนบุรี แต่ที่ประชุมไม่เห็นด้วย เพราะไม่มีเงินแผ่นดินเพียงพอ แต่ด้วยพระขัตติยะมานะยิ่งในเรื่องนี้ ได้ทรงดำเนินการอย่างละมุนละม่อม จนท้ายที่สุด เสนาบดีสภาได้อนุโลมตามพระราชดำริ [4]
เงินทุนที่ใช้ในการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์นั้นประมาณราว ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบริจาคพระราชทรัพย์เป็นส่วนพระองค์จำนวนหนึ่ง และรัฐบาลจ่ายเงินแผ่นดินช่วยจำนวนหนึ่ง ส่วนเงินอีกจำนวนหนึ่งนั้น มีพระราชดำริว่าควรบอกบุญเรี่ยไรชาวสยามทุกชั้นบรรดาศักดิ์ตามกำลัง[5] และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญขึ้นพระราชทานแก่ผู้เข้าเรี่ยไรสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ มีอยู่ ๒ ชนิด คือ ๑. ขนาดใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้เข้าเรี่ยไรเป็นจำนวนเงินตั้งแต่ ๕๐๐ บาทขึ้นไป ๒. ขนาดเล็ก สำหรับสำหรับผู้ที่ได้เข้าเรี่ยไรเป็นจำนวนเงินตั้งแต่ ๑๐ บาทขึ้นไป[6] (กรมศิลปากร ๒๕๒๕: ๑๑๒)
พระบรมรูป
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ อุปนายกราชบัณฑิตสภา ผู้อำนวยการแผนกศิลปากรในเวลานั้น ทรงออกแบบพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้นายโคราโด เฟโรจี (CoradoFeroci) หรือศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี นายช่างปั้นชาวอิตาเลียน ซึ่งรับราชการอยู่ที่ศิลปากรสถาน เป็นผู้ขึ้นหุ่นพระบรมรูป เสร็จแล้วส่งไปหล่อที่ยุโรป เป็นพระบรมรูปทรงเครื่องขัตติยาภรณ์ ประทับเหนือพระราชบัลลังก์ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ขนาดสูงจากพื้นถึงยอด ๔.๖๐ เมตร ฐานกว้าง ๒.๓๐ เมตร [7]
เมื่อแล้วเสร็จได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนบัลลังก์เหนือเกย มีอัฒจันทร์ขึ้นลงสองข้าง มีซุ้มจรนำ สกัดหลังตั้งเป็นลับแล มีศิลาจารึกอยู่ด้านหลัง ประดิษฐาน ณ เชิงสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งพระนคร ตรงที่ต่อปลายถนนตรีเพ็ชร ในบริเวณที่สร้างนี้เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งถ้าแม้ต้องจัดซื้อตามพระราชกฤษฎีกาแล้ว จะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนประมาณหนึ่งล้านบาท แต่พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยกที่ดินนี้และสิ่งปลูกสร้างบริเวณนี้ โดยไม่คิดราคา เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลสาธารณะส่วนหนึ่งต่างหากจากจำนวนเงิน ๑ ล้านบาทซึ่งพระราชทานสำหรับค่าก่อสร้าง
สะพาน
ลักษณะสะพานมีรูปเหมือนลูกศร ปลายศรชี้ไปทางฝั่งธนบุรีซึ่งสอดคล้องกับพระราชลัญจกรประจำพระองค์ คือ พระแสงศร ตรงกลางโค้งทางลาดฝั่งพระนครเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก(มหาราช) ผู้ออกแบบสะพานคือ หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงอำนวยการสร้าง บริษัทดอร์แมน ลอง (Dorman Long Ltd.) จำกัด ประเทศอังกฤษ เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ใช้เวลาในการก่อสร้าง ๒ ปีเศษ เป็นสะพานเหล็กยาว ๒๒๙.๗๖ เมตร กว้าง ๑๖.๖๘ เมตร ท้องสะพานสูงเหนือน้ำ ๗.๕๐ เมตร ช่วงกลางสะพานสามารถเปิดปิดให้เรือใหญ่ผ่านได้ นับว่าเป็นสะพานที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ โดยเป็นสะพานสำหรับรถและคนข้าม ในขณะที่สะพานพระราม ๖ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นสะพานสำหรับรถไฟข้าม แต่แล้วเสร็จในต้นรัชกาลที่ ๗
สะพานพระพุทธยอดฟ้าเริ่มก่อสร้างใน พ.ศ. ๒๔๗๒ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นใกล้ปลายปีทรงวางศิลาพระฤกษ์ซึ่งบรรจุสิ่งต่างๆต่อไปนี้ไว้
๑. แผ่นหิรัญบัฏจารึกประกาศพระบรมราชโองการสร้างสะพาน
๒. รูปสะพานและแผนผังสะพาน
๓. เหรียญบรมราชาภิเษกและเหรียญราชรุจิในรัชกาลที่ ๗
๔. หีบบรรจุสิ่งของ กระทรวงพาณิชย์และคมนาคมเป็นผู้จัดทำ เป็นหีบสี่เหลี่ยมทึบขนาด ๒๐ นิ้ว กว้าง ๖ นิ้ว สูง ๖ นิ้ว
๕. ค้อนเงิน และเกรียงเงิน สำหรับทรงก่อพระฤกษ์
๖. อิฐปิดทอง เงิน นาก พันผ้าสีชมพู อย่างละ ๖ แผ่น สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงก่อ
การปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
นอกจากการก่อสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานแล้ว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามทั่วทั้งพระอาราม นับเป็นการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่เช่นเดียวกับการปฏิสังขรณ์ในงานสมโภชพระนคร ๑๐๐ ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งในครั้งนั้นได้โปรดเกล้าให้หล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง ๔ พระองค์และสร้างพระมหาประสาทห้ายอดขึ้นไว้ในพระราชวังฝ่ายบุรพทิศและเชิญพระบรมรูปขึ้นประดิษฐานบนพระมหาปราสาท [8] นามว่าปราสาทพระเทพบิดร
การปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามในครั้งนี้ ใช้วิธีหาทุนดำเนินการเช่นเดียวกับการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ คือเปิดเรี่ยไรรับเงินบริจาคจากประชาชนทั่วไปมาสมทบทุนในการปฏิสังขรณ์ กล่าวคือคณะกรรมการได้ประชุมกันประมาณเงินที่จะต้องจ่ายทั้งสิ้นเป็นจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท แล้วนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงพระราชศรัทธาอุทิศพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ๒๐๐,๐๐๐ บาทให้เป็นทุนในการปฏิสังขรณ์ รัฐบาลออกเงินอีกส่วนหนึ่ง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนเงินที่เหลือก็ได้เปิดรับจากประชาชนทั่วไปตามแต่ศรัทธา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต นายกกรรมการจัดการทำนุบำรุงวัดพระศรีรัตนศาสดารามโปรดให้ออกประกาศบอกบุญแก่ประชาชนทั่วไปเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ และกระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้ออกประกาศเกี่ยวกับระเบียบการรับเงินเรี่ยไร ตลอดจนสิ่งตอบแทนแก่ผู้บริจาคในวันเดียวกัน [9] ซึ่งได้แก่เหรียญพระแก้วมรกต ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ปางสมาธิประทับนั่งอยู่บนฐานบัวคว่ำบัวหงาย ด้านหลังเป็นรูปยันต์กงจักรมีอักษรจารึกมรรค ๘ ผู้บริจาคตั้งแต่ ๑๐๐ บาทขึ้นไปพระราชทานเหรียญทอง ผู้บริจาคตั้งแต่ ๒๐ บาทขึ้นไปพระราชทานเหรียญเงิน ผู้บริจาคตั้งแต่ ๕ บาทขึ้นไปพระราชทานเหรียญทองคำขาว ผู้บริจาคตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไปพระราชทานเหรียญทองแดง[10]
รายการปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามมีทั้งสิ้น ๔๒ รายการ แบ่งเป็น ๓ แผนก ได้แก่ แผนกพระอุโบสถ แผนกวิหารคดพระระเบียง และแผนกหอมนเทียรธรรม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฝังจารึกรายการปฏิสังขรณ์บริเวณผนังด้านนอกของประตูพระอารามตะวันตก [11] อนึ่ง ก่อนหน้านั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมพระที่นั่งต่างๆ ในพระบรมมหาราชวังด้วย โดยสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงอำนวยการซ่อมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท โดยช่างของราชบัณฑิตยสภาแผนกศิลปากร มีหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ ทรงควบคุม เมื่อขึ้นสำรวจ พบว่าเครื่องบนหลังคาผุหัก ฝนรั่วลงมาทำให้ลายปูนปั้นและผนังผุเปื่อยแตกร้าว จึงต้องเปลี่ยนตัวไม้เครื่องบนละเครื่องยอดใหม่ เป็นโอกาสให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระฯ ได้ทรงออกแบบทรวดทรงเครื่องยอดพระที่นั่งจักรีเสียใหม่ให้อ้วนสั้นแทนที่จะเป็นทรงสูงข่มกันกับตัวตึกแบบฝรั่ง นอกจากนั้น ได้ซ่อมแซมบันได้หน้ามุขเด็จ ท้องพระโรงกลาง ฯลฯ เท่าที่ต้องการใช้ก่อน แล้วจึงค่อยๆ หางบประมาณทำไปเป็นระยะทั้งหมู่ [12]
พระราชพิธีฉลองพระนคร ๑๕๐ ปี
ในการเตรียมการได้ประกอบการพระราชพิธีฉลองพระนคร ๑๕๐ ปี โดยแบ่งงานเป็น ๓ ภาค คือ
ภาคที่ ๑ งานฉลองพระนคร จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีในวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกา ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เจ้าพระยายมราชกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลแทนพสกนิกรชาวสยาม มีพระราชดำรัสตอบแล้ว เสด็จประทับพระมณฑปที่บวงสรวง เสร็จแล้วเสด็จประทับพลับพลา พระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่กองทหาร ๑๒ ธง แล้วเสด็จพระราชดำเนินประทักษิณท้องสนามหลวง เพื่อพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ราษฎรได้ฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ครั้นเวลา ๑๘.๑๕ น. เสด็จในพระราชพิธีฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามในโอกาสฉลองพระนคร ๑๕๐ ปี ได้โปรดเกล้าฯ ให้ปฎิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมทั้งสร้างคัมภีร์พระธรรมเทศนา ในตอนเย็นวันที่ ๔ เมษายน โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีทรงเจิมคัมภีร์พระธรรมเทศนา ถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ณ ปราสาทพระเทพบิดร โปรดเกล้าฯ ให้พนักงานวียนเทียนฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามและฉลองคัมภีร์พระธรรมเทศนา และมีการแสดงมหรสพจนถึงกลางคืน
อนึ่ง ระหว่างวันที่ ๕-๖ เมษายน เวลา ๑๔.๐๐-๒๔.๐๐ นาฬิกา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประชาชนและพระสงฆ์สามเณรได้เข้านมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เที่ยวชมพระอารามและถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า เนื่องในงานฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวันที่ระลึกมหาจักรี เพื่ออนุโมทนาสาธุการพระราชกุศลโดยทั่วกัน ส่วนในวันที่ระลึกมหาจักรี ๖ เมษายนเวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้พระสงฆ์สามเณรชุมนุมทำวัตร สาธยายพระพุทธพจนะในพระอุโบสถและที่ศาลาหน้าปราสาทพระเทพบิดร
วันที่ ๕ เมษายน เวลา ๑๗.๑๐ นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงสดับพระพุทธมนต์ในการฉลองพระนคร ณ วัดสุทัศน์เทพวรารามซึ่งเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ก่อนจะเสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงพระราชพิธีที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ทรงประเคนผ้าไตรและย่ามกับพัดรองที่ระลึกในงานฉลอง พระนครแด่พระสงฆ์ ๓๐ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเป็นประธาน พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ และเหรียญรัตนาภรณ์แก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ในการสร้างสะพาน พระราชทานหีบบุหรี่เงินถมแก่นาย เจ รักค์ (Mr. J. Ruck) นายช่างกำกับการก่อสร้างสะพาน กับโปรดเกล้าฯ ให้ส่งหีบบุหรี่เงินถมไปพระราชทานแก่นายชาร์ลส์ มิเชล (Mr. Charles Mitchell) ประธานกรรมการบริษัทดอร์แมน ลอง (Dorman, Long & Co., Ltd.,) ซึ่งดำเนินการก่อสร้างสะพาน
วันที่ ๖ เมษายน วันที่ระลึกมหาจักรี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงพระราชพิธีที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฝั่งพระนคร สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต นายกกรรมการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ (แทนสมเด็จพระราชปิตุลาฯ ซึ่งสิ้นพระชนม์แล้ว) กราบบังคมทูลรายงานการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ มีพระราชดำรัสตอบแล้ว ได้เวลาอุดมมงคลฤกษ์เวลา ๐๘.๑๕ นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ ณ พระแท่นชุมสาย ทรงกดไกไฟฟ้าด้วยฆ้อนเงินสำหรับตัดกระดาษ ซึ่งบริษัทดอร์แมน ลอง ทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงเปิดผ้าคลุมพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และเปิดป้ายชื่อสะพานพระพุทธยอดฟ้าพร้อมกับเปิดวิถีสะพาน จากนั้นเสด็จขึ้นประทับเหนือพระราชยานพุดตานทองเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราใหญ่ทางสถลมารค (ทางบก) ข้ามสะพานพระพุทธยอดฟ้าจากฝั่งพระนครไปยังฝั่งธนบุรี และประทับทอดพระเนตรกระบวนเรือรบแล่นผ่านลอดสะพานพระพุทธยอดฟ้า แล้วเสด็จลงประทับเหนือพระราชบัลลังก์บุษบกในเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ทางน้ำ) จากฝั่งธนบุรีกลับยังท่าราชวรดิฐฝั่งพระนคร
เมื่อเสร็จพระราชพิธีแล้ว ประชาชนได้กราบถวายบังคมพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอย่างล้นหลามตลอดทั้งวัน
อนึ่ง ในวันที่ระลึกมหาจักรี ๖ เมษายน เวลา ๑๐.๓๐ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานตั้งบายศรีและเครื่องสังเวยที่หน้าศาลหลักเมือง และในเวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท ตลอดจนพ่อค้าคฤหบดีร่วมบำเพ็ญกุศล ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ในงานฉลองพระนคร ณ วัดสุทัศน์เทพวราราม ทั้งนี้ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานจัดภัตตาหารจากห้องเครื่องต้นพร้อมด้วยไทยธรรมไปถวายประธานคณะสงฆ์ และในเวลา ๑๗. ๐๐ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานพระราชพิธีตั้งบายศรีแก้ว ทอง เงิน ที่หน้าพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พราหมณ์เบิกแว่น เจ้าพนักงานและประชาชนรับแว่นเวียนเทียนสมโภชพระบรมรูป
ภาคที่ ๒ งานเฉลิมสิริราชสมบัติ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘-๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕
วันที่ ๘ เมษายน เวลา ๑๗.๔๕ นาฬิกา เสด็จออกท้องพระโรงกลาง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงสดับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ แล้วสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต นายกกรรมการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ พร้อมด้วยกรรมการทั้งคณะทรงนำพระบรมรูปปฐมบรมราชานุสรณ์จำลองขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวาย จากนั้นทรงศีลแล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยบูชาสิริราชกกุธภัณฑ์ เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกมุขกระสันโปรดเกล้าฯ ให้ข้าทูลละอองธุลีพระบาท เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
วันที่ ๙ เมษายน เวลา ๑๐.๕๕ นาฬิกา เสด็จออกห้องพระราชพิธี พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท บำเพ็ญพระราชกุศลถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ แล้วเสด็จเข้าประทับในพระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬารทรงเศวตพัสตร์ เวลา ๑๒.๐๐ นาฬิกา เสด็จออกดาดฟ้าข้างพระที่นั่ง ทรงจุดธูปเทียนสังเวยเทวดา แล้วเสด็จขึ้นประทับพระแท่นมูรธาภิเษก ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงแปรพระพักตร์สู่มงคลทิศอุดร สรงสหัสธารามูรธาภิเษกสนาน แล้วเสด็จเข้าในพระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬาร ทรงเครื่องราชภูษิตาภรณ์ พระภูษาเขียนทองชั้นสีตามพระพิชัยสงครามประจำสนิวาร
ฉลองพระองค์ขาว ทรงรัดพระคต พระมาลาสักหลาดขาว สอดพระสังวาลมหานพรัตน ทรงพระแสงดาบคาบค่าย เสด็จออกห้องพระราชพิธี ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมถวายแด่พระสงฆ์ ซึ่ง เจริญพระพุทธมนต์ และในเวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานตั้งบายศรีแก้ว ทอง เงิน เวียนเทียนสมโภชพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้จัดซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ภาคที่ ๓ งานพระราชกุศลทักษิณานุประทาน จัดขึ้นในวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ วันที่ ๒๓ เมษายน เวลา ๑๘.๐๕ นาฬิกา โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ทรงพระราชอุทิศถวายสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖ รัชกาล และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
ภาคผนวก
พระราชดำรัสในพระราชพิธีบวงสรวงวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง มีความตอนหนึ่งว่า:
“ตัวเราได้ตั้งใจ และขอให้ท่านทั้งปวงได้มีความพร้อมกันตั้งความปรารถนา ในการปกครองรักษาทำนุบำรุงแผ่นดินในระยะต่อไปนี้ให้ประเพณีวงศ์ดำรงอยู่อย่ารู้เสื่อมคลายและเพิ่มเติมสิ่งซึ่งดีทั้งหลายให้เจริญมากมูลขึ้น ฉันใดที่ท่านแต่ก่อนมีน้ำใจต่อต้านศัตรูภัยอื่นยากมาย่ำยีพระราชอาณาเขตต์ด้วยกำลังพลโยธา ท่านได้ช่วยกันทำหน้าที่ปราบปรามจนวินาศ บัดนี้เราทั้งหลาย ผู้ได้รับมฤดกความสงบราบคาบของท่านแล้ว กลับได้ประสพโภคภัยบ่าเข้ามาท่วมทับ ขอจงมีน้ำใจสนองท่านแต่ก่อนด้วยความตั้งหน้าฝ่าอุปสรรคและอดทน เพื่อให้ชาติของเราตั้งมั่นอยู่ได้ ดุจท่านแต่ก่อนมีความอดทนต่อสู้ศัตรูภายนอกฉะนั้น”
พระราชดำรัสในการพระราชพิธีเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ มีความบางตอนดังนี้:
“อันการสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์ เพื่อเป็นที่ระลึกในการฉลองพระนคร...นับเป็นงานโอฬารอันหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้อาศัยความพยายามแห่งท่านทั้งหลายผู้ปรีชาสามารถ ข้าพเจ้ารู้สึกปิติอย่างภาคภูมิใจ ว่าตั้งแต่ดำริเริ่มและปฎิบัติมา ลงมือวางศิลาฤกษ์สะพานเมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๒ การนี้ได้ดำเนิรโดยสะดวก มิได้มีความขัดข้องพ้องพานอย่างไร จนสำเร็จสมความประสงค์ เป็นเกียรติยศแก่ประเทศชาติเห็นปานนี้ เพราะกำลังกายกำลังความคิดและกำลังทรัพย์ของพวกเราช่วยกันทั้งนั้น ขอให้ได้รับความขอบใจจากข้าพเจ้าจงทั่วกัน....การฉลองพระนครคราวนี้ แม้มามีในสมัยที่บ้านเมืองตกอยู่ในฐานอัตคัดฝืดเคือง แต่กำลังความกตัญญู กตเวทีของพวกเราหากเป็นพละแรงกล้า จึ่งสามารถประกอบงานถวายเป็นราชบรรณาการสนอพระเดชพระคุณได้อย่างเอิกเริกมโหฬาร เป็นเกียรติยศสมรูปสมลักษณะ โดยไม่เป็นการสิ้นเปลืองเท่าไร เพราะต่างช่วยกันสำแดงความสวามิภักดิ์ด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจ ....ขณะนี้ ได้อุดมฤกษ์ ข้าพเจ้าจะดำเนินการเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ มอบให้เป็นอนุสสรณียวัตถุแด่ชาวสยามทั้งภายนี้และภาคหน้า เพื่อรำลึกถึงพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอยู่เนืองนิจแล้ว เกิดกำลังอาจหาญในการรักษาพระราชมฤดกคือ อิสสรสุขของประเทศสยาม ไว้ให้สถาพรชีวกัลปาวสาน และจะเปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้าโยงเชื่อมพระมหานครและกรุงธนบุรีเป็นปฐพีแผ่นเดียวกัน ให้มหาชนทั้งสองจังหวัดสัญจรไปมาได้สะดวกตามความปรารถนา เจริญการพาณิชย์ทุกโอกาส ขอให้ถาวรวัตถุอันนี้จงสำเริงสุขประโยชน์แก่ประชาชนทั้งหลาย ทั่วหน้าเทอญ”
บรรณานุกรม
กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์
จันทกาญจ์ คล้อยสาย. ๒๔๔๓. เฉลิมพระนคร ย้อนฉลองกรุง. กรุงเทพฯ: ซีรอกซ์ กราฟฟิก.
ดวงจิตร จิตรพงศ์, หม่อมเจ้าหญิง. ๒๕๔๑. ป้าป้อนหลาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.
บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บก). ๒๕๓๖. ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: วัชชรินทร์การพิมพ์.
พิมพวัลคุ์ เสถบุตร. ๒๕๓๗. สอ เสถบุตร. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ผู้จัดการ
พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. ๒๕๕๑. บทนิทรรศการพระราชประวัติพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. ชั้นที่ ๓
อ้างอิง
- ↑ กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๑.
- ↑ กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๘ , ๑๑.
- ↑ กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๒๘ – ๒๙.
- ↑ พิมพวัลคุ์ เสถบุตร. ๒๕๓๗. สอ เสถบุตร. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ผู้จัดการ, หน้า ๑๐๔-๑๐๕.
- ↑ กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๙๙.
- ↑ กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า๑๑๒.
- ↑ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. ๒๕๕๑. บทนิทรรศการพระราชประวัติพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. ชั้นที่ ๓
- ↑ จันทกาญจ์ คล้อยสาย. ๒๔๔๓. เฉลิมพระนคร ย้อนฉลองกรุง. กรุงเทพฯ: ซีรอกซ์ กราฟฟิก, หน้า ๗-๘.
- ↑ กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๑๑๓.
- ↑ กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๑๑๖.
- ↑ กรมศิลปากร. ๒๕๒๕. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, หน้า ๑๒๑-๑๒๒, ๑๒๔.
- ↑ ดวงจิตร จิตรพงศ์, หม่อมเจ้าหญิง. ๒๕๔๑. ป้าป้อนหลาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า ๑๑๓.