ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กำเนิดราชบัณฑิตยสภา"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
พุทธศักราช ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ว่า “สยามควรมีสมาคมแห่งความรู้ อย่างประเทศทางตะวันตก” จึงทรงบูรณาการภารกิจหน้าที่เกี่ยวกับการหอสมุดสำหรับพระนคร การวรรณคดีสโมสร  การตรวจรักษาของโบราณ  การพิพิธภัณฑสถานและการบำรุงวิชาช่างเข้าด้วยกันในองค์กรเดียวใช้ชื่อว่า “ราชบัณฑิตยสภา” โดยแปลงมาจากชื่อของกรมราชบัณฑิตย์ซึ่งแต่โบราณเป็นที่รวมผู้ทรงความรู้  แต่เวลานั้นมีฐานะเป็นแค่เพียงกรมเล็ก ๆในกระทรวงธรรมการ  มีหน้าที่เพียงการรักษาพระไตรปิฎกและทำพิธีบางอย่าง
พุทธศักราช ๒๔๖๙ [[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงมีพระราชประสงค์ว่า “สยามควรมีสมาคมแห่งความรู้ อย่างประเทศทางตะวันตก” จึงทรงบูรณาการภารกิจหน้าที่เกี่ยวกับการหอสมุดสำหรับพระนคร การวรรณคดีสโมสร  การตรวจรักษาของโบราณ  การพิพิธภัณฑสถานและการบำรุงวิชาช่างเข้าด้วยกันในองค์กรเดียวใช้ชื่อว่า “[[ราชบัณฑิตยสภา]]” โดยแปลงมาจากชื่อของกรมราชบัณฑิตย์ซึ่งแต่โบราณเป็นที่รวมผู้ทรงความรู้  แต่เวลานั้นมีฐานะเป็นแค่เพียงกรมเล็ก ๆในกระทรวงธรรมการ  มีหน้าที่เพียงการรักษาพระไตรปิฎกและทำพิธีบางอย่าง


ราชบัณฑิตยสภา แบ่งเป็น ๓ แผนก คือ  
ราชบัณฑิตยสภา แบ่งเป็น ๓ แผนก คือ  
บรรทัดที่ 9: บรรทัดที่ 9:
• แผนกศิลปากร จัดการบำรุงรักษาวิชาช่าง ทั้งจิตรกรรม สถาปัตยกรรมและดุริยางคศิลป  
• แผนกศิลปากร จัดการบำรุงรักษาวิชาช่าง ทั้งจิตรกรรม สถาปัตยกรรมและดุริยางคศิลป  


ต่อมารัฐบาลยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๔๗๕ ได้ยกเลิกราชบัณฑิตยสภา และจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่ ๒ หน่วยงานคือ ราชบัณฑิตยสถาน และ กรมศิลปากร ทั้งนี้เพื่อให้มีบุคคลที่หลากหลายมากขึ้นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง  โดยราชบัณฑิตยสถาน เป็นสถาบันที่รวบรวมนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ทำหน้าที่ติดต่อแลกเปลี่ยนความรู้กับองค์กรปราชญ์และสถาบันทางวิชาการอื่น ๆ ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ เพื่อทำการค้นคว้า วิจัย ประมวลความรู้ออกเผยแพร่ให้ประชาชน ผู้สนใจได้นำไปศึกษาต่อ  
ต่อมา[[รัฐบาล]]ยุคหลัง[[การเปลี่ยนแปลงการปกครอง]] เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๔๗๕ ได้ยกเลิก[[ราชบัณฑิตยสภา]] และจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่ ๒ หน่วยงานคือ ราชบัณฑิตยสถาน และ กรมศิลปากร ทั้งนี้เพื่อให้มีบุคคลที่หลากหลายมากขึ้นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง  โดยราชบัณฑิตยสถาน เป็นสถาบันที่รวบรวมนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ทำหน้าที่ติดต่อแลกเปลี่ยนความรู้กับองค์กรปราชญ์และสถาบันทางวิชาการอื่น ๆ ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ เพื่อทำการค้นคว้า วิจัย ประมวลความรู้ออกเผยแพร่ให้ประชาชน ผู้สนใจได้นำไปศึกษาต่อ  


อาจกล่าวได้ว่าแม้จนทุกวันนี้ราชบัณฑิตยสถานยังคงสนองพระราชวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในด้านการเป็นสมาคมด้านความรู้ สืบค้น สะสางชำระความรู้ใหม่ให้ยังประโยชน์แก่ปัจจุบัน
อาจกล่าวได้ว่าแม้จนทุกวันนี้ราชบัณฑิตยสถานยังคงสนองพระราชวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในด้านการเป็นสมาคมด้านความรู้ สืบค้น สะสางชำระความรู้ใหม่ให้ยังประโยชน์แก่ปัจจุบัน

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 14:56, 22 มกราคม 2559

พุทธศักราช ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ว่า “สยามควรมีสมาคมแห่งความรู้ อย่างประเทศทางตะวันตก” จึงทรงบูรณาการภารกิจหน้าที่เกี่ยวกับการหอสมุดสำหรับพระนคร การวรรณคดีสโมสร การตรวจรักษาของโบราณ การพิพิธภัณฑสถานและการบำรุงวิชาช่างเข้าด้วยกันในองค์กรเดียวใช้ชื่อว่า “ราชบัณฑิตยสภา” โดยแปลงมาจากชื่อของกรมราชบัณฑิตย์ซึ่งแต่โบราณเป็นที่รวมผู้ทรงความรู้ แต่เวลานั้นมีฐานะเป็นแค่เพียงกรมเล็ก ๆในกระทรวงธรรมการ มีหน้าที่เพียงการรักษาพระไตรปิฎกและทำพิธีบางอย่าง

ราชบัณฑิตยสภา แบ่งเป็น ๓ แผนก คือ

• แผนกวรรณคดี มีหน้าที่จัดการหอพระสมุดสำหรับพระนครและสอบสวนพิจารณาวิชาอักษรศาสตร์

• แผนกโบราณคดี จัดการพิพิธภัณฑสถาน ตรวจรักษาโบราณวัตถุสถาน และ

• แผนกศิลปากร จัดการบำรุงรักษาวิชาช่าง ทั้งจิตรกรรม สถาปัตยกรรมและดุริยางคศิลป

ต่อมารัฐบาลยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ ได้ยกเลิกราชบัณฑิตยสภา และจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่ ๒ หน่วยงานคือ ราชบัณฑิตยสถาน และ กรมศิลปากร ทั้งนี้เพื่อให้มีบุคคลที่หลากหลายมากขึ้นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง โดยราชบัณฑิตยสถาน เป็นสถาบันที่รวบรวมนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ทำหน้าที่ติดต่อแลกเปลี่ยนความรู้กับองค์กรปราชญ์และสถาบันทางวิชาการอื่น ๆ ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ เพื่อทำการค้นคว้า วิจัย ประมวลความรู้ออกเผยแพร่ให้ประชาชน ผู้สนใจได้นำไปศึกษาต่อ

อาจกล่าวได้ว่าแม้จนทุกวันนี้ราชบัณฑิตยสถานยังคงสนองพระราชวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในด้านการเป็นสมาคมด้านความรู้ สืบค้น สะสางชำระความรู้ใหม่ให้ยังประโยชน์แก่ปัจจุบัน

ที่มา

บทสารคดี “ปกเกล้าธรรมราชา” สารคดีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ในวโรกาสครบ ๑๒๐ ปี แห่งวันพระบรมราชสมภพและเป็นบุคคลสำคัญของโลก โดยองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ประจำปี ๒๕๕๖