ผลต่างระหว่างรุ่นของ "28 มีนาคม พ.ศ. 2481"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง''' ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุต...'
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 1 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 6: บรรทัดที่ 6:


----
----
วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2481 เป็นวันที่สภาผู้แทนราษฎรของไทยที่ใช้ระบบสภาเดี่ยวได้มีมติขับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยกันออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2481 เป็นวันที่[[สภาผู้แทนราษฎร]]ของไทยที่ใช้ระบบ[[สภาเดี่ยว]]ได้มีมติขับ[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]ด้วยกันออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ความเป็นมามีอย่างไรต้องย้อนไปสัก 3 วันคือในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2481 สภาผู้แทนราษฎรได้ประชุมหารือกันเรื่องที่จะกำหนดวันเปิดประชุมสามัญประจำปี ในการหารือวันนั้นผู้เสนอญัตติในเรื่องนี้เป็นผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งในจังหวัดยะลาจากภาคใต้ของประเทศ ชื่อนายแวเละ เบญอานัชร์ และก็ได้มีผู้เสนอในสภาผู้แทนราษฎรว่าให้กำหนดเอาวันที่ 24 มิถุนายน โดยถือว่าเป็นวันสำคัญของประเทศชาติ เพราะเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ
ความเป็นมามีอย่างไรต้องย้อนไปสัก 3 วันคือในวันที่ [[25 มีนาคม พ.ศ. 2481]] สภาผู้แทนราษฎรได้ประชุมหารือกันเรื่องที่จะกำหนด[[วันเปิดประชุมสามัญประจำปี]] ในการหารือวันนั้นผู้เสนอ[[ญัตติ]]ในเรื่องนี้เป็น[[ผู้แทนราษฎร]]ที่มาจากกา[[รเลือกตั้ง]]ใน[[จังหวัดยะลา]]จากภาคใต้ของประเทศ ชื่อนาย[[แวเละ เบญอานัชร์]] และก็ได้มีผู้เสนอในสภาผู้แทนราษฎรว่าให้กำหนดเอาวันที่ 24 มิถุนายน โดยถือว่าเป็นวันสำคัญของประเทศชาติ เพราะเป็น[[วันเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน]]จาก[[ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์]]มาเป็น[[ระบอบราชาธิปไตย]]ตาม[[รัฐธรรมนูญ]]
ข้อเสนอที่ว่านี้ฟังดูก็น่าจะดี แต่ในรัฐสภานั้นจะให้มีเสียงเห็นด้วยโดยไม่มีเสียงคัดค้านนั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มีคนไม่เห็นด้วย ผู้ไม่เห็นด้วยเป็น ส.ส.มาจากการเลือกตั้งเหมือนกัน แต่มาจากภาคเหนือ คือจากจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ นายอินทรสิงหเนตร
ข้อเสนอที่ว่านี้ฟังดูก็น่าจะดี แต่ใน[[รัฐสภา]]นั้นจะให้มีเสียงเห็นด้วยโดยไม่มีเสียงคัดค้านนั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มีคนไม่เห็นด้วย ผู้ไม่เห็นด้วยเป็น [[ส.ส.]]มาจากการเลือกตั้งเหมือนกัน แต่มาจากภาคเหนือ คือจาก[[จังหวัดเชียงใหม่]] ได้แก่ นาย[[อินทร สิงหเนตร]]
ประเสริฐ  ปัทมะสุคนธ์ บันทึกเล่าตอนนี้เอาไว้ว่า
ประเสริฐ  ปัทมะสุคนธ์ บันทึกเล่าตอนนี้เอาไว้ว่า
“นายอินทรสิงหเนตร ผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ ได้อภิปรายคัดค้านความว่า การที่ถือเอาวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันสำคัญของชาตินั้นไม่เห็นด้วย เพราะวันนั้นหากผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองทำการไม่สำเร็จก็ต้องเป็น “วันกบฏ” และเสนอความเห็นว่าควรเป็น “วันที่ 27 มิถุนายน” เพราะเป็นวันที่ราษฎรได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญ”
“นายอินทร สิงหเนตร ผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ ได้[[อภิปรายคัดค้าน]]ความว่า การที่ถือเอาวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันสำคัญของชาตินั้นไม่เห็นด้วย เพราะวันนั้นหากผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองทำการไม่สำเร็จก็ต้องเป็น [[“วันกบฏ”]] และเสนอความเห็นว่าควรเป็น “วันที่ 27 มิถุนายน” เพราะเป็นวันที่ราษฎรได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญ”
คำพูดของอินทรสิงหเนตร ทำให้มีผู้ไม่พอใจ
คำพูดของอินทร สิงหเนตร ทำให้มีผู้ไม่พอใจ
“นายซิม วีระไวทยะ สมาชิกประเภทที่ 2 ได้ประท้วงคำกล่าวนั้น และขอให้ผู้กล่าวถอนคำพูดที่ว่า วันที่ 24 มิถุนายนเป็นวันกบฏเพราะได้มีการนิรโทษกรรมแล้ว นายอินทรสิงหเนตร ได้ยอมถอนคำพูดตามที่มีสมาชิกทักท้วง”
“นายซิม วีระไวทยะ สมาชิกประเภทที่ 2 ได้ประท้วงคำกล่าวนั้น และขอให้ผู้กล่าวถอนคำพูดที่ว่า วันที่ 24 มิถุนายนเป็นวันกบฏเพราะได้มี[[การนิรโทษกรรม]]แล้ว นายอินทร สิงหเนตร ได้ยอมถอนคำพูดตามที่มีสมาชิกทักท้วง”
ที่ประชุมก็ตกลงกันได้เรื่องกำหนดวัน โดยให้เริ่มสมัยประชุมในวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งทุกคนที่อยู่นอกสภาก็คิดว่าเรื่องคงจบแค่นี้ที่ไหนได้ อีก 3 วันต่อมา ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2481 ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง และประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้ง ได้ร่วมกันเสนอญัตติต่อสภาผู้แทนราษฎร ว่าการอภิปรายของอินทร  สิงหเนตร เมื่อ 3 วันก่อนนั้นมีเจตนาร้าย มีความมุ่งหมายให้มีการดูหมิ่นเกลียดชังระบอบประชาธิปไตยไม่สมควรเป็นผู้แทนราษฎรในระบอบที่เป็นอยู่ในเวลานั้น โดยมีผลตามที่ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ บันทึกเอาไว้ว่า
ที่ประชุมก็ตกลงกันได้เรื่องกำหนดวัน โดยให้เริ่ม[[สมัยประชุม]]ในวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งทุกคนที่อยู่นอกสภาก็คิดว่าเรื่องคงจบแค่นี้ที่ไหนได้ อีก 3 วันต่อมา ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2481 ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง และประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้ง ได้ร่วมกัน[[เสนอญัตติ]]ต่อสภาผู้แทนราษฎร ว่าการอภิปรายของอินทร  สิงหเนตร เมื่อ 3 วันก่อนนั้นมีเจตนาร้าย มีความมุ่งหมายให้มีการดูหมิ่นเกลียดชังระบอบประชาธิปไตยไม่สมควรเป็นผู้แทนราษฎรในระบอบที่เป็นอยู่ในเวลานั้น โดยมีผลตามที่ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ บันทึกเอาไว้ว่า
“ที่ประชุมลงมติให้นายอินทรสิงหเนตร ออกจากสมาชิกภาพด้วยคะแนน 113 ต่อ 15 ซึ่งเกินกว่าจำนวน 2 ใน 3 ของสมาชิก ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ นายอินทรสิงหเนตร จึงพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”
“ที่ประชุมลงมติให้นายอินทร สิงหเนตร ออกจากสมาชิกภาพด้วยคะแนน 113 ต่อ 15 ซึ่งเกินกว่าจำนวน 2 ใน 3 ของสมาชิก ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ นายอินทร สิงหเนตร จึงพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”
นายอินทรสิงหเนตร ผู้นี้มีบันทึกว่าเป็นชาวเชียงใหม่ มีพี่น้องอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่      หลายคน เคยเป็นนักเรียนโรงเรียนปรินซ์รอยแยลฯ และโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เรียนจบธรรมศาสตรบัณฑิต มีอาชีพเป็นทนายความ สนใจเล่นการเมือง  ลงเลือกตั้งมาตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2480 และก็ได้รับเลือกตั้ง มีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ก็ชนะเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2481 แม้เมื่อถูกขับออกจากสมาชิกภาพแล้ว มีการเลือกตั้งอีก นายอินทรสิงหเนตร ก็ยังได้รับความไว้วางใจจากชาวเชียงใหม่ได้รับเลือกตั้งกลับเข้าสภาอีก
นายอินทร สิงหเนตร ผู้นี้มีบันทึกว่าเป็นชาวเชียงใหม่ มีพี่น้องอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่      หลายคน เคยเป็นนักเรียนโรงเรียนปรินซ์รอยแยลฯ และโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เรียนจบธรรมศาสตรบัณฑิต มีอาชีพเป็นทนายความ สนใจเล่นการเมือง  ลงเลือกตั้งมาตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2480 และก็ได้รับเลือกตั้ง มีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ก็ชนะเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2481 แม้เมื่อถูกขับออกจาก[[สมาชิกภาพ]]แล้ว มีการเลือกตั้งอีก นายอินทร สิงหเนตร ก็ยังได้รับความไว้วางใจจากชาวเชียงใหม่ได้รับเลือกตั้งกลับเข้าสภาอีก
เหตุการณ์เรื่องการขับผู้แทนราษฎรออกจากสมาชิกภาพนี้เกิดขึ้นในสมัยที่รัฐบาลมีหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีพระยามานวราชเสวี เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร
เหตุการณ์เรื่องการขับผู้แทนราษฎรออกจากสมาชิกภาพนี้เกิดขึ้นในสมัยที่รัฐบาลมี[[หลวงพิบูลสงคราม]]เป็นนายกรัฐมนตรี มี[[พระยามานวราชเสวี]] เป็น[[ประธานสภาผู้แทนราษฎร]]


[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500]]
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:39, 22 ตุลาคม 2556

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2481 เป็นวันที่สภาผู้แทนราษฎรของไทยที่ใช้ระบบสภาเดี่ยวได้มีมติขับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยกันออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ความเป็นมามีอย่างไรต้องย้อนไปสัก 3 วันคือในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2481 สภาผู้แทนราษฎรได้ประชุมหารือกันเรื่องที่จะกำหนดวันเปิดประชุมสามัญประจำปี ในการหารือวันนั้นผู้เสนอญัตติในเรื่องนี้เป็นผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งในจังหวัดยะลาจากภาคใต้ของประเทศ ชื่อนายแวเละ เบญอานัชร์ และก็ได้มีผู้เสนอในสภาผู้แทนราษฎรว่าให้กำหนดเอาวันที่ 24 มิถุนายน โดยถือว่าเป็นวันสำคัญของประเทศชาติ เพราะเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ

ข้อเสนอที่ว่านี้ฟังดูก็น่าจะดี แต่ในรัฐสภานั้นจะให้มีเสียงเห็นด้วยโดยไม่มีเสียงคัดค้านนั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มีคนไม่เห็นด้วย ผู้ไม่เห็นด้วยเป็น ส.ส.มาจากการเลือกตั้งเหมือนกัน แต่มาจากภาคเหนือ คือจากจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ นายอินทร สิงหเนตร

ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ บันทึกเล่าตอนนี้เอาไว้ว่า

“นายอินทร สิงหเนตร ผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ ได้อภิปรายคัดค้านความว่า การที่ถือเอาวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันสำคัญของชาตินั้นไม่เห็นด้วย เพราะวันนั้นหากผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองทำการไม่สำเร็จก็ต้องเป็น “วันกบฏ” และเสนอความเห็นว่าควรเป็น “วันที่ 27 มิถุนายน” เพราะเป็นวันที่ราษฎรได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญ”

คำพูดของอินทร สิงหเนตร ทำให้มีผู้ไม่พอใจ

“นายซิม วีระไวทยะ สมาชิกประเภทที่ 2 ได้ประท้วงคำกล่าวนั้น และขอให้ผู้กล่าวถอนคำพูดที่ว่า วันที่ 24 มิถุนายนเป็นวันกบฏเพราะได้มีการนิรโทษกรรมแล้ว นายอินทร สิงหเนตร ได้ยอมถอนคำพูดตามที่มีสมาชิกทักท้วง”

ที่ประชุมก็ตกลงกันได้เรื่องกำหนดวัน โดยให้เริ่มสมัยประชุมในวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งทุกคนที่อยู่นอกสภาก็คิดว่าเรื่องคงจบแค่นี้ที่ไหนได้ อีก 3 วันต่อมา ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2481 ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง และประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้ง ได้ร่วมกันเสนอญัตติต่อสภาผู้แทนราษฎร ว่าการอภิปรายของอินทร สิงหเนตร เมื่อ 3 วันก่อนนั้นมีเจตนาร้าย มีความมุ่งหมายให้มีการดูหมิ่นเกลียดชังระบอบประชาธิปไตยไม่สมควรเป็นผู้แทนราษฎรในระบอบที่เป็นอยู่ในเวลานั้น โดยมีผลตามที่ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ บันทึกเอาไว้ว่า

“ที่ประชุมลงมติให้นายอินทร สิงหเนตร ออกจากสมาชิกภาพด้วยคะแนน 113 ต่อ 15 ซึ่งเกินกว่าจำนวน 2 ใน 3 ของสมาชิก ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ นายอินทร สิงหเนตร จึงพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”

นายอินทร สิงหเนตร ผู้นี้มีบันทึกว่าเป็นชาวเชียงใหม่ มีพี่น้องอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ หลายคน เคยเป็นนักเรียนโรงเรียนปรินซ์รอยแยลฯ และโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย เรียนจบธรรมศาสตรบัณฑิต มีอาชีพเป็นทนายความ สนใจเล่นการเมือง ลงเลือกตั้งมาตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2480 และก็ได้รับเลือกตั้ง มีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ก็ชนะเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2481 แม้เมื่อถูกขับออกจากสมาชิกภาพแล้ว มีการเลือกตั้งอีก นายอินทร สิงหเนตร ก็ยังได้รับความไว้วางใจจากชาวเชียงใหม่ได้รับเลือกตั้งกลับเข้าสภาอีก

เหตุการณ์เรื่องการขับผู้แทนราษฎรออกจากสมาชิกภาพนี้เกิดขึ้นในสมัยที่รัฐบาลมีหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี มีพระยามานวราชเสวี เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร