ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 11 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 6 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน)
บรรทัดที่ 7: บรรทัดที่ 7:
----
----


== การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 9 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ==
== การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 11 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 ==


ภายหลังการปฏิวัติในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัตินำโดยจอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์ ได้เข้าบริหารประเทศ และได้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญใช้เวลาในการร่างรัฐธรรมนูญจนแล้วเสร็จและนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 และได้มีรัฐพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 นอกจากนั้น ยังได้มีการประกาศใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 และพระราชบัญญัติเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2511 จากนั้นรัฐบาลได้ประกาศกำหนดวันจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 1512 ซึ่งเป็นไปตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 180 ซึ่งกำหนดให้ต้องมีการเลือกตั้งขึ้นภายใน 240 วัน
ภายหลัง[[การปฏิวัติ]]ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัตินำโดย[[สฤษดิ์ ธนะรัชต์|จอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์]] ได้เข้าบริหารประเทศ และได้ตั้ง[[สภาร่างรัฐธรรมนูญ]]ขึ้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญใช้เวลาในการร่าง[[รัฐธรรมนูญ]]จนแล้วเสร็จและนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 และได้มีรัฐพิธี[[พระราชทานรัฐธรรมนูญ]]ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 นอกจากนั้น ยังได้มีการประกาศใช้[[กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ]]อีก 2 ฉบับ คือ [[พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511]] และ[[พระราชบัญญัติเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2511]] จากนั้น[[รัฐบาล]]ได้ประกาศกำหนดวันจัด[[การเลือกตั้งทั่วไป]]ขึ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 1512 ซึ่งเป็นไปตามบทเฉพาะกาลของ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511]] มาตรา 180 ซึ่งกำหนดให้ต้องมีการเลือกตั้งขึ้นภายใน 240 วัน


เมื่อพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 มีผลบังคับใช้แล้ว ปรากฏว่ามีผู้ร้องขอจดทะเบียนพรรคการเมืองต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจำนวนมาก ได้แก่ พรรคสหประชาไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาชน พรรคแนวร่วมเศรษฐกร พรรคเสรีประชาธิปไตย พรรคแนวประชาธิปไตย พรรคสัมมาชีพช่วยชาวนา พรรคชาวนาชาวไร่ พรรคสยามใหม่ พรรคประชาพัฒนา พรรคแรงงาน พรรคไทยธิปัตย์ พรรคอิสรธรรม พรรคชาติประชาธิปไตย เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองที่มีความเข็มแข็งและมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 มีเพียงสองพรรค คือ พรรคสหประชาไทย และพรรคประชาธิปัตย์ นอกนั้นเป็นพรรคขนาดเล็กซึ่งมิได้มีฐานในทางการเมืองเข้มแข็งเท่าสองพรรคดังกล่าว
เมื่อพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 มีผลบังคับใช้แล้ว ปรากฏว่ามีผู้ร้องขอ[[จดทะเบียนพรรคการเมือง]]ต่อปลัด[[กระทรวงมหาดไทย]]ในฐานะ[[นายทะเบียนพรรคการเมือง]]จำนวนมาก ได้แก่ พรรค[[สหประชาไทย]] พรรค[[ประชาธิปัตย์]] พรรค[[ประชาชน]] พรรค[[แนวร่วมเศรษฐกร]] พรรค[[เสรีประชาธิปไตย]] พรรค[[แนวประชาธิปไตย]] พรรค[[สัมมาชีพช่วยชาวนา]] พรรค[[ชาวนาชาวไร่]] พรรค[[สยามใหม่]] พรรค[[ประชาพัฒนา]] พรรค[[แรงงาน]] พรรค[[ไทยธิปัตย์]] พรรค[[อิสรธรรม]] พรรค[[ชาติประชาธิปไตย]] เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม [[พรรคการเมือง]]ที่มีความเข็มแข็งและมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 มีเพียงสองพรรค คือ [[สหประชาไทย|พรรคสหประชาไทย]] และพรรคประชาธิปัตย์ นอกนั้นเป็น[[พรรคขนาดเล็ก]]ซึ่งมิได้มีฐานในทางการเมืองเข้มแข็งเท่าสองพรรคดังกล่าว


การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 1512 เป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขตเรียงเบอร์ โดยถือเอาหนึ่งจังหวัดเป็นหนึ่งเขตเลือกตั้ง และเป็นการเลือกตั้งโดยตรง จำนวนผู้แทนราษฎรในแต่ละเขตคำนวณโดยถือเอาจำนวนประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทน 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้แทนทั้งหมด 219 คน มีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหมด 14,820,180 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 7,285,832 คน คิดเป็นร้อยละ 49.10 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดคือ จังหวัดระนอง คิดเป็นร้อยละ 73.95 ของจำนวนผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหมด และจังหวัดพระนครมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 36.66
การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 1512 เป็น[[การเลือกตั้งแบบรวมเขตเรียงเบอร์]] โดยถือเอาหนึ่งจังหวัดเป็นหนึ่งเขตเลือกตั้ง และเป็นการเลือกตั้งโดยตรง จำนวนผู้แทนราษฎรในแต่ละเขตคำนวณโดยถือเอาจำนวนประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทน 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้แทนทั้งหมด 219 คน มีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหมด 14,820,180 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 7,285,832 คน คิดเป็นร้อยละ 49.10 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดคือ จังหวัดระนอง คิดเป็นร้อยละ 73.95 ของจำนวนผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหมด และจังหวัดพระนครมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 36.66
 
ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้พบว่า แม้จะมีพรรคการเมืองจำนวนมากส่งผู้สมัครสังกัดพรรคของตนลงแข่งขันรับเลือกตั้ง แต่ปรากฏว่าพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกครบทุกที่นั่งมีเพียง 2 พรรคเท่านั้น คือ พรรคสหประชาไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ผลการเลือกตั้งไม่ปรากฏว่ามีพรรคใดได้เสียงข้างมากเพียงพอที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้โดยลำพัง นั่นคือต้องมีคะแนนเสียงสนับสนุนในสภาเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทน หรือเกินกว่ากึ่งหนึ่งของ 219 คน ซึ่งเท่ากับ 110 คนขึ้นไป สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเลือกตั้งในครั้งนี้ มีผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่สังกัดพรรคได้รับเลือกเข้ามามากถึง 70คน อย่างไรก็ตาม พรรคสหประชาไทยก็ได้รับการสนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาลได้ในที่สุด เนื่องจากพรรคนี้เป็นพรรครัฐบาลอยู่ก่อนแล้ว และได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่สังกัดพรรค และสมาชิกที่แปรพรรคมาให้การสนับสนุน


ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้พบว่า แม้จะมีพรรคการเมืองจำนวนมากส่งผู้สมัครสังกัดพรรคของตนลงแข่งขันรับเลือกตั้ง แต่ปรากฏว่าพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกครบทุกที่นั่งมีเพียง 2 พรรคเท่านั้น คือ พรรค[[สหประชาไทย]] และพรรค[[ประชาธิปัตย์]] ผลการเลือกตั้งไม่ปรากฏว่ามีพรรคใดได้เสียงข้างมากเพียงพอที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้โดยลำพัง นั่นคือต้องมีคะแนนเสียงสนับสนุนในสภาเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทน หรือเกินกว่ากึ่งหนึ่งของ 219 คน ซึ่งเท่ากับ 110 คนขึ้นไป สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะ[[การเลือกตั้ง]]ในครั้งนี้ มีผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่สังกัดพรรคได้รับเลือกเข้ามามากถึง 70คน อย่างไรก็ตาม พรรคสหประชาไทยก็ได้รับการสนับสนุนให้จัดตั้ง[[รัฐบาล]]ได้ในที่สุด เนื่องจากพรรคนี้เป็นพรรครัฐบาลอยู่ก่อนแล้ว และได้รับการสนับสนุนจาก[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]ที่ไม่สังกัดพรรค และสมาชิกที่แปรพรรคมาให้การสนับสนุน


== ที่มา ==
== ที่มา ==


กระทรวงมหาดไทย, '''รายงานการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เล่ม 2''', พระนคร : โรงพิมพ์กรมมหาดไทย, 2502
กระทรวงมหาดไทย, '''รายงานการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เล่ม 2''', พระนคร : โรงพิมพ์กรมมหาดไทย, 2502


ฝ่ายพัฒนาการเมืองและการปกครอง สำนักนโยบายและแผนมหาดไทย, '''อนุสารการเมือง''', มีนาคม 2522
ฝ่ายพัฒนาการเมืองและการปกครอง สำนักนโยบายและแผนมหาดไทย, '''อนุสารการเมือง''', มีนาคม 2522


บุญทัน  ดอกไธสง,'''การเปลี่ยนแปลงทางการบริหารและการเมืองไทย,''' กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2520
บุญทัน  ดอกไธสง,'''การเปลี่ยนแปลงทางการบริหารและการเมืองไทย,''' กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2520


ขจัดภัย  บุรุษพัฒน์,''' การเมืองและพรรคการเมืองของไทยนับแต่ยุคแรกถึงปัจจุบัน''', พระนคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2511
ขจัดภัย  บุรุษพัฒน์,''' การเมืองและพรรคการเมืองของไทยนับแต่ยุคแรกถึงปัจจุบัน''', พระนคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2511


โคทม  อารียา, '''สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่องที่ 5 ระบบการเลือกตั้ง''', กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2544  
โคทม  อารียา, '''สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่องที่ 5 ระบบการเลือกตั้ง''', กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2544  


คณิน  บุญสุวรรณ, '''ประวัติรัฐธรรมนูญไทย''', กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ภูมิปัญญา, 2542
คณิน  บุญสุวรรณ, '''ประวัติรัฐธรรมนูญไทย''', กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ภูมิปัญญา, 2542


เสริมศักดิ์  พงษ์พานิช, '''การสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคการเมืองในประเทศไทย''', วิทยานิพนธ์หลักสูตรชั้นปริญญาโท ภาค 2 ทางรัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2519
เสริมศักดิ์  พงษ์พานิช, '''การสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคการเมืองในประเทศไทย''', วิทยานิพนธ์หลักสูตรชั้นปริญญาโท ภาค 2 ทางรัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2519


วิทยา  นภาศิริกุลกิจ, '''ระบบพรรคการเมืองไทย: ศึกษาเชิงวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างยุคก่อนการปฏิวัติ พ.ศ. 2501 กับสมัยปัจจุบัน''', วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาโท ภาค 2 ทางรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2514
วิทยา  นภาศิริกุลกิจ, '''ระบบพรรคการเมืองไทย: ศึกษาเชิงวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างยุคก่อนการปฏิวัติ พ.ศ. 2501 กับสมัยปัจจุบัน''', วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาโท ภาค 2 ทางรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2514


[[หมวดหมู่: การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]
[[หมวดหมู่: การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]
[[หมวดหมู่:ชาย ไชยชิต]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:37, 4 ตุลาคม 2554

ผู้เรียบเรียง ชาย ไชยชิต


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 11 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512

ภายหลังการปฏิวัติในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัตินำโดยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เข้าบริหารประเทศ และได้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญใช้เวลาในการร่างรัฐธรรมนูญจนแล้วเสร็จและนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 และได้มีรัฐพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 นอกจากนั้น ยังได้มีการประกาศใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 และพระราชบัญญัติเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2511 จากนั้นรัฐบาลได้ประกาศกำหนดวันจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 1512 ซึ่งเป็นไปตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 180 ซึ่งกำหนดให้ต้องมีการเลือกตั้งขึ้นภายใน 240 วัน

เมื่อพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 มีผลบังคับใช้แล้ว ปรากฏว่ามีผู้ร้องขอจดทะเบียนพรรคการเมืองต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจำนวนมาก ได้แก่ พรรคสหประชาไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาชน พรรคแนวร่วมเศรษฐกร พรรคเสรีประชาธิปไตย พรรคแนวประชาธิปไตย พรรคสัมมาชีพช่วยชาวนา พรรคชาวนาชาวไร่ พรรคสยามใหม่ พรรคประชาพัฒนา พรรคแรงงาน พรรคไทยธิปัตย์ พรรคอิสรธรรม พรรคชาติประชาธิปไตย เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองที่มีความเข็มแข็งและมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 มีเพียงสองพรรค คือ พรรคสหประชาไทย และพรรคประชาธิปัตย์ นอกนั้นเป็นพรรคขนาดเล็กซึ่งมิได้มีฐานในทางการเมืองเข้มแข็งเท่าสองพรรคดังกล่าว

การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 1512 เป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขตเรียงเบอร์ โดยถือเอาหนึ่งจังหวัดเป็นหนึ่งเขตเลือกตั้ง และเป็นการเลือกตั้งโดยตรง จำนวนผู้แทนราษฎรในแต่ละเขตคำนวณโดยถือเอาจำนวนประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทน 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้แทนทั้งหมด 219 คน มีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหมด 14,820,180 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 7,285,832 คน คิดเป็นร้อยละ 49.10 จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดคือ จังหวัดระนอง คิดเป็นร้อยละ 73.95 ของจำนวนผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหมด และจังหวัดพระนครมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 36.66

ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้พบว่า แม้จะมีพรรคการเมืองจำนวนมากส่งผู้สมัครสังกัดพรรคของตนลงแข่งขันรับเลือกตั้ง แต่ปรากฏว่าพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกครบทุกที่นั่งมีเพียง 2 พรรคเท่านั้น คือ พรรคสหประชาไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ผลการเลือกตั้งไม่ปรากฏว่ามีพรรคใดได้เสียงข้างมากเพียงพอที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้โดยลำพัง นั่นคือต้องมีคะแนนเสียงสนับสนุนในสภาเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทน หรือเกินกว่ากึ่งหนึ่งของ 219 คน ซึ่งเท่ากับ 110 คนขึ้นไป สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเลือกตั้งในครั้งนี้ มีผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่สังกัดพรรคได้รับเลือกเข้ามามากถึง 70คน อย่างไรก็ตาม พรรคสหประชาไทยก็ได้รับการสนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาลได้ในที่สุด เนื่องจากพรรคนี้เป็นพรรครัฐบาลอยู่ก่อนแล้ว และได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่สังกัดพรรค และสมาชิกที่แปรพรรคมาให้การสนับสนุน

ที่มา

กระทรวงมหาดไทย, รายงานการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เล่ม 2, พระนคร : โรงพิมพ์กรมมหาดไทย, 2502

ฝ่ายพัฒนาการเมืองและการปกครอง สำนักนโยบายและแผนมหาดไทย, อนุสารการเมือง, มีนาคม 2522

บุญทัน ดอกไธสง,การเปลี่ยนแปลงทางการบริหารและการเมืองไทย, กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2520

ขจัดภัย บุรุษพัฒน์, การเมืองและพรรคการเมืองของไทยนับแต่ยุคแรกถึงปัจจุบัน, พระนคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2511

โคทม อารียา, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่องที่ 5 ระบบการเลือกตั้ง, กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2544

คณิน บุญสุวรรณ, ประวัติรัฐธรรมนูญไทย, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ภูมิปัญญา, 2542

เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช, การสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคการเมืองในประเทศไทย, วิทยานิพนธ์หลักสูตรชั้นปริญญาโท ภาค 2 ทางรัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2519

วิทยา นภาศิริกุลกิจ, ระบบพรรคการเมืองไทย: ศึกษาเชิงวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างยุคก่อนการปฏิวัติ พ.ศ. 2501 กับสมัยปัจจุบัน, วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาโท ภาค 2 ทางรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2514