ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทองอินทร์ ภูริพัฒน์"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
(ไม่แสดง 13 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน) | |||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว และ ต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี | ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว และ ต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี | ||
บรรทัดที่ 10: | บรรทัดที่ 4: | ||
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต | ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต | ||
---- | |||
| | ||
'''''เราจะเริ่มสร้างบ้านด้วยการสร้างรั้ว หรือว่าเราจะเริ่มสร้างบ้านด้วยการสร้างเสาเสียก่อน [[#_ftn1|[1]]]''''' | |||
| | |||
''ทองอินทร์ ภูริพัฒน์'' | |||
| | ||
| นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ถือเป็นหนึ่งในสมาชิก[[สภาผู้แทนราษฎร|สภาผู้แทนราษฎร]]ผู้มีบทบาทโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งนับตั้งแต่ช่วงต้นของ[[การเปลี่ยนแปลงการปกครอง_24_มิถุนายน_2475|การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ]]ถึงขั้นที่หลายคนเรียกเขาว่าเป็น “[[ดาวสภา|ดาวสภา]]” เลยทีเดียว นายทองอินทร์นั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นสมาชิกฯ ผู้สนใจติดตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณมากที่สุดคนหนึ่งของสภา และยังเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมจัดตั้งพรรคการเมืองมาโดยตลอด ซึ่งมาปรากฏภายใต้ชื่อ “[[พรรคสหชีพ|พรรคสหชีพ]]” ใน พ.ศ.๒๔๘๙ เขายังเป็นหนึ่งในกลุ่ม “[[4_รัฐมนตรีอีสาน|๔ รัฐมนตรีอีสาน]]” ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่สนับสนุน[[ปรีดี_พนมยงค์|นายปรีดี พนมยงค์ ]]และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญใน[[ขบวนการเสรีไทย|ขบวนการเสรีไ]][[ขบวนการเสรีไทย|ทย]]รวมทั้งการต่อสู้คัดค้านกับการบริหารประเทศของ[[รัฐบาล|รัฐบาล]] [[จอมพล_แปลก_พิบูลสงคราม|จอมพล ป. พิบูลสงคราม]] จนกระทั่งภายหลังการรัฐประหารวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ บุคคลเหล่านี้ได้ถูกกวาดล้างจับกุมและฆาตกรรมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจนกลายเป็นหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมืองที่โด่งดังที่สุดคดีหนึ่งของไทย | ||
| | ||
<u>ประวัติการศึกษาและชีวิตครอบครัว[[#_ftn2|[2]]]</u> | |||
นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๙ ที่บ้านหนองยาง อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรคนที่สามของนายชูและนางหอม มีพี่น้องร่วมบิดามารดารวม ๔ คน บิดามารดาประกอบอาชีพทำนาและค้าขาย มีที่นาแบ่งส่วนให้เช่า บิดาจะเป็นคนที่นำสินค้าประเภทเครื่องใช้และยารักษาโรคจากในเมืองออกไปขายยังชนบทและซื้อข้าวกลับเข้ามาขายในเมือง ถือได้ว่ามีฐานะเป็น “คหบดี” คนหนึ่ง | นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๙ ที่บ้านหนองยาง อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรคนที่สามของนายชูและนางหอม มีพี่น้องร่วมบิดามารดารวม ๔ คน บิดามารดาประกอบอาชีพทำนาและค้าขาย มีที่นาแบ่งส่วนให้เช่า บิดาจะเป็นคนที่นำสินค้าประเภทเครื่องใช้และยารักษาโรคจากในเมืองออกไปขายยังชนบทและซื้อข้าวกลับเข้ามาขายในเมือง ถือได้ว่ามีฐานะเป็น “คหบดี” คนหนึ่ง | ||
บรรทัดที่ 65: | บรรทัดที่ 24: | ||
จากฐานะดังกล่าวของครอบครัว ทำให้ลูกๆทุกคนได้รับการสนับสนุนให้เข้ารับการศึกษา โดยนายทองอินทร์ได้เรียนที่โรงเรียนเบญจมมหาราชจนจบชั้นมัธยมศึกษาที่ปี ๖ ใน พ.ศ. ๒๔๖๖ หลังจากนั้นจึงได้ไปสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงประจำมณฑล ไปศึกษาต่อในชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย | จากฐานะดังกล่าวของครอบครัว ทำให้ลูกๆทุกคนได้รับการสนับสนุนให้เข้ารับการศึกษา โดยนายทองอินทร์ได้เรียนที่โรงเรียนเบญจมมหาราชจนจบชั้นมัธยมศึกษาที่ปี ๖ ใน พ.ศ. ๒๔๖๖ หลังจากนั้นจึงได้ไปสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงประจำมณฑล ไปศึกษาต่อในชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย | ||
นายทองอินทร์เป็นเด็กที่เรียนเก่ง กล้าหาญและพูดจามีเหตุมีผล รวมทั้งมีความสามารถในด้านกีฬาด้วยคือการชกมวย ซึ่งเมื่อได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยแล้ว นายทองอินทร์ได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็น “ตัวแทน” ของโรงเรียนในการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนด้วย ในสมัยที่เป็นนักเรียนอยู่ต่างจังหวัดแลต้องอาศัยอยู่ในหอพัก นายทองอินทร์ชอบที่จะแอบไปดูภาพยนตร์ซึ่งเป็นของใหม่ในสมัยนั้น และการดูภาพยนตร์มีส่วนสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของเขาไม่ใช่น้อย | นายทองอินทร์เป็นเด็กที่เรียนเก่ง กล้าหาญและพูดจามีเหตุมีผล รวมทั้งมีความสามารถในด้านกีฬาด้วยคือการชกมวย ซึ่งเมื่อได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยแล้ว นายทองอินทร์ได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็น “ตัวแทน” ของโรงเรียนในการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนด้วย ในสมัยที่เป็นนักเรียนอยู่ต่างจังหวัดแลต้องอาศัยอยู่ในหอพัก นายทองอินทร์ชอบที่จะแอบไปดูภาพยนตร์ซึ่งเป็นของใหม่ในสมัยนั้น และการดูภาพยนตร์มีส่วนสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของเขาไม่ใช่น้อย ดังปรากฏในบันทึกของ[[สนิท_เจริญรัฐ|นายสนิท เจริญรัฐ]] (นักหนังสือพิมพ์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา) ที่กล่าวไว้ว่า “ความอบรมโน้มจิตที่ภาพยนตร์ในยุคแรกๆให้แก่ผู้ดูมีอาทิ คือเตือนให้เป็นผู้ตั้งอยู่ในศีลธรรม ยุให้เป็นผู้รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม ตลอดจนกระทั่งเร้าให้เป็นคนกล้าหาญ” | ||
สำหรับชีวิตครอบครัวนั้นนายทองอินทร์ได้สมรสกับเจ้าสิริบังอร ณ จำปาศักดิ์ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๑ และมีบุตรธิดาด้วยกันทั้งสิ้น ๙ คน | สำหรับชีวิตครอบครัวนั้นนายทองอินทร์ได้สมรสกับเจ้าสิริบังอร ณ จำปาศักดิ์ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๑ และมีบุตรธิดาด้วยกันทั้งสิ้น ๙ คน | ||
<u>หน้าที่การงานและตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ</u>[[#_ftn3|[3]]] | |||
หลังจากสอบไล่ได้ประโยคมัธยมบริบูรณ์ใน พ.ศ. ๒๔๖๗ และได้ประโยคครูมัธยม (ครู ป.ม.) ในปีต่อมา นายทองอินทร์ได้กลับไปรับราชการโดยได้รับการบรรจุแต่งตั้งให้เป็น “ครูน้อย” ที่โรงเรียนเบญจมมหาราช เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๘ พร้อมกับสมัครเรียนกฎหมายทางไปรษณีย์กับโรงเรียนกฎหมาย และต่อมาจึงสามารถสอบไล่ได้เนติบัณฑิตใน พ.ศ. ๒๔๗๓ | |||
| ระหว่างที่รับราชการเป็นครู นายทองอินทร์ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น “ครูใหญ่” พร้อมกับได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “รองอำมาตย์ตรี” เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๑ เมื่อจบเนติบัณฑิตแล้ว จึงได้โอนจากตำแหน่งครูใหญ่ในสังกัด[[กระทรวงธรรมการ|กระทรวงธรรมการ]] ไปสังกัดกระทรวงมหาดไทย และได้รับการบรรจุเป็น “เลขานุการมณฑลนครราชสีมา” ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๔ จากนั้นในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ.๒๔๗๖ มีคำสั่งให้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้รั้งนายอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ อีกสองเดือนต่อมาจึงได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้รั้งนายอำเภอม่วงสามสิบที่อำเภอม่วงสามสิบได้เพียง ๒ เดือน ก็ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๖ และอยู่ในตำแหน่งนี้จนกระทั่งลาออกเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่สมัยแรกที่มีการเลือกตั้งภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ | ||
<u>ผลงานที่สำคัญในทางการเมือง[[#_ftn4|[4]]]</u> | |||
| ในทัศนะของนายทองอินทร์ การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ [[24_มิถุนายน_พ.ศ._2475|๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕]] ของ[[คณะราษฎร]] หมายถึงความก้าวหน้าทั้งในระดับท้องถิ่นและเป็นความก้าวหน้าในระดับชาติ เพราะ “ระบอบใหม่” เป็นระบอบการปกครองที่เปิดโอกาสให้บุคคลที่ต้องการจะเข้าไปดำเนินกิจการของประเทศสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองได้ โดยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” นายทองอินทร์จึงสมัครเข้าเป็นสมาชิกของคณะราษฎรและลาออกจากราชการเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเข้าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกใน พ.ศ.๒๔๗๖ | ||
นายทองอินทร์มีบทบาทในสภาฯ หลายสมัย โดยบทบาทในช่วงแรกเริ่มต้นจากการเลือกตั้งครั้งแรกที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยอยู่ครบวาระ ๔ ปี (พ.ศ.๒๔๗๖-๒๔๘๐) บทบาทช่วงต่อมาเกิดขึ้นจาก[[การเลือกตั้ง]]ครั้งที่สองในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๐ แต่สภาชุดนี้มีอายุสั้นเพียง ๙ เดือนก็ถูก[[ยุบสภา]]เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยสภาทั้งสองชุดนี้ตรงกับสมัยรัฐบาลของนาย[[พันเอกพระยาพหลพลพยุหาเสนา]]เป็น[[นายกรัฐมนตรี]] โดยบทบาทของนายทองอินทร์ในสภาทั้งสองสมัยนี้ ได้แก่ ความพยายามจะทำหน้าที่เป็น “ตัวแทนของราษฎร” ผู้เข้ามาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ มีบทบาทสำคัญในการนำเสนอปัญหาข้อทุกข์ยากของราษฎร รวมทั้งนำเสนออุปสรรคการทำงานของข้าราชการในระดับท้องถิ่น พร้อมทั้งได้เสนอแนะวิธีการแก้ไขปัญหาเพื่อให้รัฐบาลรับทราบและดำเนินการพิจารณาต่อไป ส่วนบทบาทในช่วงหลังสุดเกิดขึ้นในสภาฯ ๒ สมัยหลัง (พ.ศ. ๒๔๘๑ – ๒๔๙๒) ซึ่งเป็นบทบาทที่เกิดขึ้นภายใต้บรรยากาศของ[[สงครามมหาเอเชียบูรพา]]และช่วงสมัยแห่งการฟื้นฟู[[ระบอบประชาธิปไตย]] | |||
| บทบาทสำคัญของนายทองอินทร์ในสภาฯ สมัยแรกนอกจากการทำหน้าที่เป็นผู้แทนด้วยการนำเสนอปัญหาต่างๆของประชาชนและท้องถิ่นแล้ว นายทองอินทร์ยังมีบทบาทในการตั้งกระทู้ถามเรื่องสำคัญเป็นจำนวนมาก เช่น การระบาดของโรคเรื้อน, การปราบฝิ่น, ทางหลวงในภาคอีสาน, การยกอำเภอมุกดาหารขึ้นเป็นอำเภอชั้นพิเศษ, ครูและอัตราเงินเดือนครู, อัตราเงินเดือนปลัด นอกจากนี้ยังมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปในข้อนโยบายการปราบปรามผู้ร้าย ภาษีรัชชูปการและอากรค่านา และญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปในนโยบายเรื่องภาษีอากร นายทองอินทร์ยังมีบทบาทในการเคลื่อนไหวผลักดันให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่อกระจายงบประมาณลงสู่ภูมิภาคให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะงบประมาณในด้านการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจ เขายังเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติในการออกกฎหมายและตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาลให้ดำเนินไปตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อสภาฯ ส่วนภายนอกสภาฯ นั้นนายทองอินทร์สามารถสร้างฐานคะแนนเสียงของตนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีขึ้นมาได้จากการประกอบอาชีพทนายความ ซึ่งเน้นการเป็นตัวกลางในการประนีประนอมความขัดแย้งให้แก่ลูกความมากกว่าการแสวงหารายได้ | ||
| ในสภาฯสมัยที่สองนั้น เนื่องจากนายทองอินทร์เป็นคนที่สนใจและติดตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณเป็นอย่างมาก ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อและได้รับการเลือกตั้งจากเพื่อนสมาชิกสภาฯ ให้เข้าทำงานเป็นกรรมาธิการชุดต่างๆของสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะ[[กรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ]] และในสภาฯสมัยที่สองนี้บทบาทของนายทองอินทร์มีมากขึ้นจนก้าวขึ้นสู่การเป็น แกนนำที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองของสมาชิกฯฝ่ายค้าน ซึ่งบทบาทการทำงานของนายทองอินทร์และเพื่อนสมาชิกฯ ในการตรวจสอบการทำงานอย่างเคร่งครัดทำให้เกิด[[ความขัดแย้ง]]ขึ้นกับฝ่ายบริหาร โดยส่งผลให้รัฐบาลในระบอบใหม่ต้องทำงานของตนอย่างระมัดระวังมากขึ้นและต้องเร่งแก้ไขปัญหาต่างๆให้รวดเร็วมากขึ้น | ||
| นอกจากนี้ในช่วงหลังของสภาฯสมัยที่สอง นายทองอินทร์และเพื่อนสมาชิกยังมีบทบาทในการคัดค้านการจัดสรรเงินงบประมาณที่ทุ่มเทไปในการพัฒนากองทัพในสมัยจอมพล ป. แต่สนับสนุนให้รัฐบาลหันมาพัฒนาการศึกษาและเศรษฐกิจ โดยเน้น[[การกระจายอำนาจ]]เป็นหลัก นอกจากนี้ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา นายทองอินทร์ยังมีบทบาทในด้านการต่างประเทศคือการส่งเสริมให้รัฐบาลดำเนินนโยบายเป็นกลางอย่างเคร่งครัด | ||
| จุดจบแห่งชีวิตทางการเมืองของนายทองอินทร์เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ [[8_พฤศจิกายน_พ.ศ._2490|๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐]] เพราะนายทองอินทร์และเพื่อนสมาชิกฯ ได้ประกาศจุดยืนในการต้านคณะรัฐประหารอย่างชัดเจน ทำให้พวกเขาเป็นกลุ่มนักการเมืองที่ถูกฝ่ายคณะรัฐประหารเฝ้าติดตาม กวาดล้างและจับกุมตัวเป็นระยะๆ | ||
| จนกระทั่งภายหลังเหตุการณ์[[กบฏวังหลวง|กบฏวังหลวง]]ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๒ ก็เกิดการกวาดล้างจับกุมนักการเมือง นักหนังสือพิมพ์และข้าราชการเป็นจำนวนมาก นายทองอินทร์พร้อมด้วยสมาชิกฯ ในกลุ่มคนอื่นๆ ก็เป็นนักการเมืองอีกพวกหนึ่งที่ถูกจับกุมตัวในครั้งนี้ด้วย ระหว่างถูกควบคุมตัว นายทองอินทร์และบุคคลอื่นๆ ได้ถูกนายตำรวจภายใต้การบังคับบัญชาของ [[เผ่า_ศรียานนท์|พล.ต.ท. เผ่า ศรียานนท์]] นำไป “ฆาตกรรม” ในวันที่ ๔ มีนาคม โดยทางกรมตำรวจอ้างว่าถูกโจรจีนมลายูปล้นเพื่อแย่งชิงนักโทษ อันเป็นที่มาของ “[[คดี_4_รัฐมนตรี|คดี ๔ รัฐมนตรี]]” | ||
| | ||
บรรทัดที่ 102: | บรรทัดที่ 57: | ||
| | ||
< | |||
<u>อ้างอิง</u> | |||
< | |||
[[#_ftnref1|[1]]] คำอภิปรายในสภาฯ ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ อ้างถึงใน พีรยา มหากิตติคุณ, แนวคิดและบทบาททางการเมืองของทองอินทร์ ภูริพัฒน์, ใน '''ปรีดี พนมยงค์ และ ๔ รัฐมนตรีอีสาน ''''''+ ๑''', (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, ๒๕๔๔), น. ๒๖. | [[#_ftnref1|[1]]] คำอภิปรายในสภาฯ ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ อ้างถึงใน พีรยา มหากิตติคุณ, แนวคิดและบทบาททางการเมืองของทองอินทร์ ภูริพัฒน์, ใน '''ปรีดี พนมยงค์ และ ๔ รัฐมนตรีอีสาน ''''''+ ๑''', (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, ๒๕๔๔), น. ๒๖. | ||
[[#_ftnref2|[2]]] เพิ่งอ้าง, น. ๒๗-๓๐. | [[#_ftnref2|[2]]] เพิ่งอ้าง, น. ๒๗-๓๐. | ||
[[#_ftnref3|[3]]] อ้างแล้ว, น. ๒๙-๓๓. | [[#_ftnref3|[3]]] อ้างแล้ว, น. ๒๙-๓๓. | ||
[[#_ftnref4|[4]]] อ้างแล้ว, น. ๓๔-๘๖. | [[#_ftnref4|[4]]] อ้างแล้ว, น. ๓๔-๘๖. | ||
| |||
| |||
[[Category:สมาชิกคณะราษฎร]][[Category:บุคคลสำคัญด้านอื่นๆ]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 14:40, 7 พฤษภาคม 2561
ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว และ ต่อศักดิ์ จินดาสุขศรี
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
เราจะเริ่มสร้างบ้านด้วยการสร้างรั้ว หรือว่าเราจะเริ่มสร้างบ้านด้วยการสร้างเสาเสียก่อน [1]
ทองอินทร์ ภูริพัฒน์
นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ถือเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้มีบทบาทโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งนับตั้งแต่ช่วงต้นของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ถึงขั้นที่หลายคนเรียกเขาว่าเป็น “ดาวสภา” เลยทีเดียว นายทองอินทร์นั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นสมาชิกฯ ผู้สนใจติดตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณมากที่สุดคนหนึ่งของสภา และยังเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมจัดตั้งพรรคการเมืองมาโดยตลอด ซึ่งมาปรากฏภายใต้ชื่อ “พรรคสหชีพ” ใน พ.ศ.๒๔๘๙ เขายังเป็นหนึ่งในกลุ่ม “๔ รัฐมนตรีอีสาน” ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในขบวนการเสรีไทยรวมทั้งการต่อสู้คัดค้านกับการบริหารประเทศของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม จนกระทั่งภายหลังการรัฐประหารวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ บุคคลเหล่านี้ได้ถูกกวาดล้างจับกุมและฆาตกรรมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจนกลายเป็นหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมืองที่โด่งดังที่สุดคดีหนึ่งของไทย
ประวัติการศึกษาและชีวิตครอบครัว[2]
นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๙ ที่บ้านหนองยาง อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรคนที่สามของนายชูและนางหอม มีพี่น้องร่วมบิดามารดารวม ๔ คน บิดามารดาประกอบอาชีพทำนาและค้าขาย มีที่นาแบ่งส่วนให้เช่า บิดาจะเป็นคนที่นำสินค้าประเภทเครื่องใช้และยารักษาโรคจากในเมืองออกไปขายยังชนบทและซื้อข้าวกลับเข้ามาขายในเมือง ถือได้ว่ามีฐานะเป็น “คหบดี” คนหนึ่ง
จากฐานะดังกล่าวของครอบครัว ทำให้ลูกๆทุกคนได้รับการสนับสนุนให้เข้ารับการศึกษา โดยนายทองอินทร์ได้เรียนที่โรงเรียนเบญจมมหาราชจนจบชั้นมัธยมศึกษาที่ปี ๖ ใน พ.ศ. ๒๔๖๖ หลังจากนั้นจึงได้ไปสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงประจำมณฑล ไปศึกษาต่อในชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
นายทองอินทร์เป็นเด็กที่เรียนเก่ง กล้าหาญและพูดจามีเหตุมีผล รวมทั้งมีความสามารถในด้านกีฬาด้วยคือการชกมวย ซึ่งเมื่อได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยแล้ว นายทองอินทร์ได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็น “ตัวแทน” ของโรงเรียนในการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนด้วย ในสมัยที่เป็นนักเรียนอยู่ต่างจังหวัดแลต้องอาศัยอยู่ในหอพัก นายทองอินทร์ชอบที่จะแอบไปดูภาพยนตร์ซึ่งเป็นของใหม่ในสมัยนั้น และการดูภาพยนตร์มีส่วนสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของเขาไม่ใช่น้อย ดังปรากฏในบันทึกของนายสนิท เจริญรัฐ (นักหนังสือพิมพ์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา) ที่กล่าวไว้ว่า “ความอบรมโน้มจิตที่ภาพยนตร์ในยุคแรกๆให้แก่ผู้ดูมีอาทิ คือเตือนให้เป็นผู้ตั้งอยู่ในศีลธรรม ยุให้เป็นผู้รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม ตลอดจนกระทั่งเร้าให้เป็นคนกล้าหาญ”
สำหรับชีวิตครอบครัวนั้นนายทองอินทร์ได้สมรสกับเจ้าสิริบังอร ณ จำปาศักดิ์ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๑ และมีบุตรธิดาด้วยกันทั้งสิ้น ๙ คน
หน้าที่การงานและตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ[3]
หลังจากสอบไล่ได้ประโยคมัธยมบริบูรณ์ใน พ.ศ. ๒๔๖๗ และได้ประโยคครูมัธยม (ครู ป.ม.) ในปีต่อมา นายทองอินทร์ได้กลับไปรับราชการโดยได้รับการบรรจุแต่งตั้งให้เป็น “ครูน้อย” ที่โรงเรียนเบญจมมหาราช เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๘ พร้อมกับสมัครเรียนกฎหมายทางไปรษณีย์กับโรงเรียนกฎหมาย และต่อมาจึงสามารถสอบไล่ได้เนติบัณฑิตใน พ.ศ. ๒๔๗๓
ระหว่างที่รับราชการเป็นครู นายทองอินทร์ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น “ครูใหญ่” พร้อมกับได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “รองอำมาตย์ตรี” เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๑ เมื่อจบเนติบัณฑิตแล้ว จึงได้โอนจากตำแหน่งครูใหญ่ในสังกัดกระทรวงธรรมการ ไปสังกัดกระทรวงมหาดไทย และได้รับการบรรจุเป็น “เลขานุการมณฑลนครราชสีมา” ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๔ จากนั้นในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ.๒๔๗๖ มีคำสั่งให้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้รั้งนายอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ อีกสองเดือนต่อมาจึงได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้รั้งนายอำเภอม่วงสามสิบที่อำเภอม่วงสามสิบได้เพียง ๒ เดือน ก็ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๖ และอยู่ในตำแหน่งนี้จนกระทั่งลาออกเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่สมัยแรกที่มีการเลือกตั้งภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕
ผลงานที่สำคัญในทางการเมือง[4]
ในทัศนะของนายทองอินทร์ การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ ของคณะราษฎร หมายถึงความก้าวหน้าทั้งในระดับท้องถิ่นและเป็นความก้าวหน้าในระดับชาติ เพราะ “ระบอบใหม่” เป็นระบอบการปกครองที่เปิดโอกาสให้บุคคลที่ต้องการจะเข้าไปดำเนินกิจการของประเทศสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองได้ โดยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” นายทองอินทร์จึงสมัครเข้าเป็นสมาชิกของคณะราษฎรและลาออกจากราชการเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเข้าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกใน พ.ศ.๒๔๗๖
นายทองอินทร์มีบทบาทในสภาฯ หลายสมัย โดยบทบาทในช่วงแรกเริ่มต้นจากการเลือกตั้งครั้งแรกที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๖ โดยอยู่ครบวาระ ๔ ปี (พ.ศ.๒๔๗๖-๒๔๘๐) บทบาทช่วงต่อมาเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่สองในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๐ แต่สภาชุดนี้มีอายุสั้นเพียง ๙ เดือนก็ถูกยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยสภาทั้งสองชุดนี้ตรงกับสมัยรัฐบาลของนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหาเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยบทบาทของนายทองอินทร์ในสภาทั้งสองสมัยนี้ ได้แก่ ความพยายามจะทำหน้าที่เป็น “ตัวแทนของราษฎร” ผู้เข้ามาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ มีบทบาทสำคัญในการนำเสนอปัญหาข้อทุกข์ยากของราษฎร รวมทั้งนำเสนออุปสรรคการทำงานของข้าราชการในระดับท้องถิ่น พร้อมทั้งได้เสนอแนะวิธีการแก้ไขปัญหาเพื่อให้รัฐบาลรับทราบและดำเนินการพิจารณาต่อไป ส่วนบทบาทในช่วงหลังสุดเกิดขึ้นในสภาฯ ๒ สมัยหลัง (พ.ศ. ๒๔๘๑ – ๒๔๙๒) ซึ่งเป็นบทบาทที่เกิดขึ้นภายใต้บรรยากาศของสงครามมหาเอเชียบูรพาและช่วงสมัยแห่งการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย
บทบาทสำคัญของนายทองอินทร์ในสภาฯ สมัยแรกนอกจากการทำหน้าที่เป็นผู้แทนด้วยการนำเสนอปัญหาต่างๆของประชาชนและท้องถิ่นแล้ว นายทองอินทร์ยังมีบทบาทในการตั้งกระทู้ถามเรื่องสำคัญเป็นจำนวนมาก เช่น การระบาดของโรคเรื้อน, การปราบฝิ่น, ทางหลวงในภาคอีสาน, การยกอำเภอมุกดาหารขึ้นเป็นอำเภอชั้นพิเศษ, ครูและอัตราเงินเดือนครู, อัตราเงินเดือนปลัด นอกจากนี้ยังมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปในข้อนโยบายการปราบปรามผู้ร้าย ภาษีรัชชูปการและอากรค่านา และญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปในนโยบายเรื่องภาษีอากร นายทองอินทร์ยังมีบทบาทในการเคลื่อนไหวผลักดันให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพื่อกระจายงบประมาณลงสู่ภูมิภาคให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะงบประมาณในด้านการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจ เขายังเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติในการออกกฎหมายและตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาลให้ดำเนินไปตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อสภาฯ ส่วนภายนอกสภาฯ นั้นนายทองอินทร์สามารถสร้างฐานคะแนนเสียงของตนในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีขึ้นมาได้จากการประกอบอาชีพทนายความ ซึ่งเน้นการเป็นตัวกลางในการประนีประนอมความขัดแย้งให้แก่ลูกความมากกว่าการแสวงหารายได้
ในสภาฯสมัยที่สองนั้น เนื่องจากนายทองอินทร์เป็นคนที่สนใจและติดตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณเป็นอย่างมาก ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อและได้รับการเลือกตั้งจากเพื่อนสมาชิกสภาฯ ให้เข้าทำงานเป็นกรรมาธิการชุดต่างๆของสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ และในสภาฯสมัยที่สองนี้บทบาทของนายทองอินทร์มีมากขึ้นจนก้าวขึ้นสู่การเป็น แกนนำที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองของสมาชิกฯฝ่ายค้าน ซึ่งบทบาทการทำงานของนายทองอินทร์และเพื่อนสมาชิกฯ ในการตรวจสอบการทำงานอย่างเคร่งครัดทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นกับฝ่ายบริหาร โดยส่งผลให้รัฐบาลในระบอบใหม่ต้องทำงานของตนอย่างระมัดระวังมากขึ้นและต้องเร่งแก้ไขปัญหาต่างๆให้รวดเร็วมากขึ้น
นอกจากนี้ในช่วงหลังของสภาฯสมัยที่สอง นายทองอินทร์และเพื่อนสมาชิกยังมีบทบาทในการคัดค้านการจัดสรรเงินงบประมาณที่ทุ่มเทไปในการพัฒนากองทัพในสมัยจอมพล ป. แต่สนับสนุนให้รัฐบาลหันมาพัฒนาการศึกษาและเศรษฐกิจ โดยเน้นการกระจายอำนาจเป็นหลัก นอกจากนี้ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา นายทองอินทร์ยังมีบทบาทในด้านการต่างประเทศคือการส่งเสริมให้รัฐบาลดำเนินนโยบายเป็นกลางอย่างเคร่งครัด
จุดจบแห่งชีวิตทางการเมืองของนายทองอินทร์เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ เพราะนายทองอินทร์และเพื่อนสมาชิกฯ ได้ประกาศจุดยืนในการต้านคณะรัฐประหารอย่างชัดเจน ทำให้พวกเขาเป็นกลุ่มนักการเมืองที่ถูกฝ่ายคณะรัฐประหารเฝ้าติดตาม กวาดล้างและจับกุมตัวเป็นระยะๆ
จนกระทั่งภายหลังเหตุการณ์กบฏวังหลวงในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๒ ก็เกิดการกวาดล้างจับกุมนักการเมือง นักหนังสือพิมพ์และข้าราชการเป็นจำนวนมาก นายทองอินทร์พร้อมด้วยสมาชิกฯ ในกลุ่มคนอื่นๆ ก็เป็นนักการเมืองอีกพวกหนึ่งที่ถูกจับกุมตัวในครั้งนี้ด้วย ระหว่างถูกควบคุมตัว นายทองอินทร์และบุคคลอื่นๆ ได้ถูกนายตำรวจภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ต.ท. เผ่า ศรียานนท์ นำไป “ฆาตกรรม” ในวันที่ ๔ มีนาคม โดยทางกรมตำรวจอ้างว่าถูกโจรจีนมลายูปล้นเพื่อแย่งชิงนักโทษ อันเป็นที่มาของ “คดี ๔ รัฐมนตรี”
บรรณานุกรม
พีรยา มหากิตติคุณ, แนวคิดและบทบาททางการเมืองของทองอินทร์ ภูริพัฒน์, ใน ปรีดี พนมยงค์ และ ๔ รัฐมนตรีอีสาน '+ ๔', (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, ๒๕๔๔)
อ้างอิง
[1] คำอภิปรายในสภาฯ ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ อ้างถึงใน พีรยา มหากิตติคุณ, แนวคิดและบทบาททางการเมืองของทองอินทร์ ภูริพัฒน์, ใน ปรีดี พนมยงค์ และ ๔ รัฐมนตรีอีสาน '+ ๑', (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์, ๒๕๔๔), น. ๒๖.
[2] เพิ่งอ้าง, น. ๒๗-๓๐.
[3] อ้างแล้ว, น. ๒๙-๓๓.
[4] อ้างแล้ว, น. ๓๔-๘๖.