ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การอภิเษกสมรส"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Suksan (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าที่ถูกสร้างด้วย 'สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ [[เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเด...'
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 4 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน)
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ [[เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์]] กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา  หลังจากที่ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการทหารจากประเทศอังกฤษ  เสด็จกลับมาประทับในประเทศเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ แล้วมักจะเสด็จไปเฝ้าฯสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนีที่[[วังพญาไท]]อยู่เสมอ  และในบางโอกาสก็ประทับแรม ณ พระตำหนัก  จึงทำให้ทรงรู้จักกับพระประยูรญาติทั้งหลาย  อาทิ [[หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี  สวัสดิวัตน์]]   


เมื่อใดที่สมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักชายทะเลที่หัวหิน  ก็โปรดเกล้าฯให้ทั้งสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี โดยเสด็จพระราชดำเนินด้วยทั้งสองพระองค์  พร้อมด้วยเจ้าพี่เจ้าน้ององค์อื่นๆ  ทรงโปรดที่จะเสด็จไปทรงสำราญพระอิริยาบถและจัดงานการละเล่นที่ตำหนักแสนสำราญของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์  ซึ่งมีบริเวณติดกันกับพระตำหนักของสมเด็จพระบรมราชชนนีอยู่เสมอๆ  เป็นเหตุให้ทั้งสองพระองค์ทรงสนิทสนมคุ้นเคยกันมากยิ่งขึ้น 
'''ผู้เรียบเรียง :''' ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล


หลังจากที่ใน พ.ศ. ๒๔๖๐ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์  ทรงผนวชครบไตรมาสแล้ว  ทรงลาสิกขา ในปีถัดมาได้ทรงกราบบังคมทูลพระกรุณา[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] รัชกาลที่ ๖ ว่าทรงมีพระหฤทัยผูกพันใน[[หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี]]  จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต อภิเษกสมรสดังความตอนหนึ่งว่า
ฉัตรบงกช  ศรีวัฒนสาร


...บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้า ได้ปฏิพัทธ์รักใคร่กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ธิดาแห่งเสด็จน้า  และข้าพระพุทธเจ้าอยากจะใคร่ทำการสมรสกับเจ้าหญิงนั้น  แต่เดิมข้าพระพุทธเจ้าได้ชอบพอกับหญิงรำไพพรรณี ฉันเด็กและผู้ใหญ่ และสมเด็จแม่ก็โปรดให้หญิงรำไพพรรณี มารับใช้ข้าพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ...”
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : '''รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์


หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ทรงเป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ (พระยศขณะนั้น) องค์ต้นราชสกุลสสวัสดิวัตน์ พระอนุชาในสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ กับ หม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณี (พระยศขณะนั้น) พระชายา
           สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ [[เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์|เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์]] กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา หลังจากที่ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการทหารจากประเทศอังกฤษ เสด็จกลับมาประทับในประเทศเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ แล้วมักจะเสด็จไปเฝ้าฯสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีที่[[วังพญาไท|วังพญาไท]]อยู่เสมอ และในบางโอกาสก็ประทับแรม ณ พระตำหนัก จึงทำให้ทรงรู้จักกับพระประยูรญาติทั้งหลาย อาทิ [[หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี_สวัสดิวัตน์|หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์]]


เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทรงรับเป็นพระราชธุระขอหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีต่อพระบิดา    แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกอบพิธีอภิเษกสมรสพระราชทาน ในวันจันทร์ที่ [[๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๑]]  [[พระที่นั่งวโรภาษพิมาน]]  [[พระราชวังบางปะอิน]]  พระนครศรีอยุธยา  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  นับเป็นการพิธีครั้งแรกตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วย การเศกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๑  ซึ่งให้เจ้านายในพระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปจะทำการเศกสมรสกับผู้ใด ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน  เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วจึงจะทำการพิธีนั้นได้
           เมื่อใดที่สมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม พระตำหนักชายทะเลที่หัวหิน ก็โปรดเกล้าฯให้ทั้งสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี โดยเสด็จพระราชดำเนินด้วยทั้งสองพระองค์ พร้อมด้วยเจ้าพี่เจ้าน้ององค์อื่นๆ ทรงโปรดที่จะเสด็จไปทรงสำราญพระอิริยาบถและจัดงานการละเล่นที่ตำหนักแสนสำราญของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ ซึ่งมีบริเวณติดกันกับพระตำหนักของสมเด็จพระบรมราชชนนีอยู่เสมอๆ เป็นเหตุให้ทั้งสองพระองค์ทรงสนิทสนมคุ้นเคยกันมากยิ่งขึ้น


ในการพิธีอภิเษกสมรสในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริให้มีการสอบถามความสมัครใจของคู่ที่จะทำการสมรสก่อน  กล่าวคือ เมื่อเสด็จออก ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมานแล้ว  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์)  แต่ยังเป็นมหาเสวกโท พระยาจักรปาณีศรีศิลวิสุทธิ สมุหพระนิติศาสตร์ ตั้งกระทู้กราบทูลและทูลถามคู่อภิเษกสมรสว่า   
           หลังจากที่ใน พ.ศ. ๒๔๖๐ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ ทรงผนวชครบไตรมาสแล้ว ทรงลาสิกขา ในปีถัดมาได้ทรงกราบบังคมทูลพระกรุณา[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] รัชกาลที่ ๖ ว่าทรงมีพระหฤทัยผูกพันใน[[หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี|หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี]] จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต อภิเษกสมรสดังความตอนหนึ่งว่า


(ชาย) ฝ่าพระบาทตั้งพระหฤทัยจะทรงรับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีเป็นพระชายา เพื่อทรงถนอมทะนุบำรุงด้วยความเสน่หาและทรงพระเมตตาสืบไปจนตลอดฤา?  ทรงรับสั่งตอบว่าข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนั้น 
           “...บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้า ได้ปฏิพัทธ์รักใคร่กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ธิดาแห่งเสด็จน้า และข้าพระพุทธเจ้าอยากจะใคร่ทำการสมรสกับเจ้าหญิงนั้น แต่เดิมข้าพระพุทธเจ้าได้ชอบพอกับหญิงรำไพพรรณี ฉันเด็กและผู้ใหญ่ และสมเด็จแม่ก็โปรดให้หญิงรำไพพรรณี มารับใช้ข้าพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ...”


(หญิง) ท่านตั้งหฤทัยที่จะมอบองค์ของท่านเป็นพระชายาแห่งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ด้วยความเสน่หาจงรักสมัครจะปฏิบัติอยู่ในพระโอวาทแห่งพระสามีสืบไปจนตลอดนั้นฤา?  ทรงรับสั่งตอบว่าข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนั้น 
           หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ทรงเป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ (พระยศขณะนั้น) องค์ต้นราชสกุลสสวัสดิวัตน์ พระอนุชาในสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ กับ หม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณี (พระยศขณะนั้น) พระชายา


เมื่อเสร็จการพิธีแบบตะวันตกแล้ว  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวรรตและทรงเจิมคู่อภิเษกสมรสตามโบราณราชประเพณีของไทย  และองค์คู่อภิเษกสมรสได้ทรงลงพระนามในสมุด “ทะเบียนแต่งงงาน”เฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ผู้ทรงลงพระปรมาภิไธยในช่องพระนาม “ผู้สู่ขอตกแต่ง” และช่อง “ผู้ทรงเป็นประทานแลพยานในการแต่งงาน” แล้วโปรดเกล้าฯให้เจ้านายชั้นพระบรมวงศ์ ๑๒ พระองค์ ทรงลงพระนามเป็นพยานด้วย  โดยสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงลงพระนามถัดจากพระปรมาภิไธย ส่วนสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวงนั้นมิได้เสด็จฯไปทรงร่วมงาน เนื่องจากทรงพระประชวรและประทับอยู่ที่พระตำหนักน้ำ [[วังศุโขทัย]] ริมคลองสามเสน  ซึ่งเป็นวังส่วนพระองค์ของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนฯ ซึ่งพึ่งสร้างขึ้นใหม่
           เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทรงรับเป็นพระราชธุระขอหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีต่อพระบิดา แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกอบพิธีอภิเษกสมรสพระราชทาน ในวันจันทร์ที่ ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๑ ณ [[พระที่นั่งวโรภาษพิมาน|พระที่นั่งวโรภาษพิมาน]] [[พระราชวังบางปะอิน|พระราชวังบางปะอิน]] พระนครศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นการพิธีครั้งแรกตาม[[กฎมณเฑียรบาล_(โดม_ไกรปกรณ์)|กฎมณเฑียรบาล]]ว่าด้วย การเศกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๑ ซึ่งให้เจ้านายในพระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปจะทำการเศกสมรสกับผู้ใด ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วจึงจะทำการพิธีนั้นได้


ในขั้นตอนสุดท้าย  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยง และเมื่อจวนเสร็จเสวยพระกระยาหารได้มีพระราชดำรัสพระราชทานพร  และทรงชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ  ดื่มถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา (พระชันษา ๒๕ ปี) และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี  พระชายา (พระชันษา ๑๔ ปี)
           ใน'''การพิธีอภิเษกสมรส'''ในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริให้มีการสอบถามความสมัครใจของคู่ที่จะทำการสมรสก่อน กล่าวคือ เมื่อเสด็จออก ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมานแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) แต่ยังเป็นมหาเสวกโท พระยาจักรปาณีศรีศิลวิสุทธิ สมุหพระนิติศาสตร์ ตั้งกระทู้กราบทูลและทูลถามคู่อภิเษกสมรสว่า


การพระราชพิธีอภิเษกสมรสในครั้งนั้นมีความพิเศษอยู่สามประการ คือ ประการแรก เริ่มมีการพิธีด้วยการตั้งกระทู้ถามตอบคู่สมรส ดังเช่นธรรมเนียมของชาวตะวันตกเป็นครั้งแรกว่าจะทรงรักษาสัญญาต่อกันอย่าง[[ซื่อตรง]]    ประการที่สอง องค์คู่อภิเษกสมรสได้ทรงลงพระนามในสมุด “ทะเบียนแต่งงาน”เป็นคู่แรกในสยาม    และประการที่สาม  เกิดมีของชำร่วยเกิดขึ้นครั้งแรก คือแหวนทองคำลงยาประดับเพชรและมีจารึกว่าอภิเษก พระราชทานเฉพาะเจ้านายชั้นพระบรมวงศ์ ๑๒ พระองค์ที่ทรงลงพระนามเป็นพยาน
           (ชาย) ฝ่าพระบาทตั้งพระหฤทัยจะทรงรับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีเป็นพระชายา เพื่อทรงถนอมทะนุบำรุงด้วยความเสน่หาและทรงพระเมตตาสืบไปจนตลอดฤา? ทรงรับสั่งตอบว่าข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนั้น


นับตั้งแต่นั้นมา  ทั้งสองพระองค์ได้ทรงครองชีวิตสมรสโดยทรงรักษาสัญญาที่ทรงเปล่งในวันนั้นอย่างมั่นคงสมบูรณ์  เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗  ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ [[๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๖๙]]  ก็ได้มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้ประกาศเฉลิมพระนาม หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระชายา เป็น[[สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี]]  และสถาปนาพระอิสริยยศเป็นพระอัครมเหสีโดยสมบูรณ์ตามพระราชกำหนดกฎหมายและราชประเพณี  ทั้งสองพระองค์ได้ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นพระคู่ขวัญทรงมีพระราชจริยาวัตรในการรักษาความซื่อสัตย์ต่อกันโดยตลอด นับเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เราคนในปัจจุบัน
           (หญิง) ท่านตั้งหฤทัยที่จะมอบองค์ของท่านเป็นพระชายาแห่งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ด้วยความเสน่หาจงรักสมัครจะปฏิบัติอยู่ในพระโอวาทแห่งพระสามีสืบไปจนตลอดนั้นฤา? ทรงรับสั่งตอบว่าข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนั้น


==บรรณานุกรม==
           เมื่อเสร็จการพิธีแบบตะวันตกแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวรรตและทรงเจิมคู่อภิเษกสมรสตามโบราณราชประเพณีของไทย และองค์คู่อภิเษกสมรสได้ทรงลงพระนามในสมุด “ทะเบียนแต่งงาน”เฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรง[[ลงพระปรมาภิไธย]]ในช่องพระนาม “ผู้สู่ขอตกแต่ง” และช่อง “ผู้ทรงเป็นประทานแลพยานในการแต่งงาน” แล้วโปรดเกล้าฯให้เจ้านายชั้นพระบรมวงศ์ ๑๒ พระองค์ ทรงลงพระนามเป็นพยานด้วย โดยสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงลงพระนามถัดจากพระปรมาภิไธย ส่วนสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวงนั้นมิได้เสด็จฯไปทรงร่วมงาน เนื่องจากทรงพระประชวรและประทับอยู่ที่พระตำหนักน้ำ [[วังศุโขทัย|วังศุโขทัย]] ริมคลองสามเสน ซึ่งเป็นวังส่วนพระองค์ของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนฯ ซึ่งพึ่งสร้างขึ้นใหม่


ราชเลขาธิการ, สำนัก.  ประมวลพระฉายาลักษณ์และภาพพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี  พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พิมพ์สำหรับพระราชทานในงานพระบรมศพ  สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗  ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวง  วันอังคารที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๘. (๒๕๒๘). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงเทพ. 
           ในขั้นตอนสุดท้าย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยง และเมื่อจวนเสร็จเสวยพระกระยาหารได้มีพระราชดำรัสพระราชทานพร และทรงชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ดื่มถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา (พระชันษา ๒๕ ปี) และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระชายา (พระชันษา ๑๔ ปี)


พฤทธิสาณ  ชุมพล, ม.ร.ว. “ครั้งแรกในสยาม” '''สกุลไทย''' ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐.
           การพระราชพิธีอภิเษกสมรสในครั้งนั้นมีความพิเศษอยู่สามประการ คือ


[[หมวดหมู่ : พระราชประวัติก่อนขึ้นครองราชย์]]
           '''ประการแรก '''เริ่มมีการพิธีด้วยการตั้งกระทู้ถามตอบคู่สมรส ดังเช่นธรรมเนียมของชาวตะวันตกเป็นครั้งแรกว่าจะทรงรักษาสัญญาต่อกันอย่าง[[ซื่อตรง|ซื่อตรง]]
 
          ''' ประการที่สอง''' องค์คู่อภิเษกสมรสได้ทรงลงพระนามในสมุด “ทะเบียนแต่งงาน”เป็นคู่แรกในสยาม
 
           '''ประการที่สาม '''เกิดมีของชำร่วยเกิดขึ้นครั้งแรก คือแหวนทองคำลงยาประดับเพชรและมีจารึกว่าอภิเษก พระราชทานเฉพาะเจ้านายชั้นพระบรมวงศ์ ๑๒ พระองค์ที่ทรงลงพระนามเป็นพยาน
 
           นับตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองพระองค์ได้ทรงครองชีวิตสมรสโดยทรงรักษาสัญญาที่ทรงเปล่งในวันนั้นอย่างมั่นคงสมบูรณ์ เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้ทรงประกอบ[[การทรงรับราชสมบัติและพระราชพิธีบรมราชาภิเษก|พระราชพิธีบรมราชาภิเษก]]เมื่อวันที่ [[25_กุมภาพันธ์_พ.ศ._2469|๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๖๙]] ก็ได้มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้ประกาศเฉลิมพระนาม หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระชายา เป็น[[สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี_พระบรมราชินี|สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี]] และสถาปนาพระอิสริยยศเป็นพระอัครมเหสีโดยสมบูรณ์ตาม[[พระราชกำหนด]]กฎหมายและราชประเพณี ทั้งสองพระองค์ได้ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นพระคู่ขวัญทรงมีพระราชจริยาวัตรในการรักษาความซื่อสัตย์ต่อกันโดยตลอด นับเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เราคนในปัจจุบัน
 
== บรรณานุกรม ==
 
ราชเลขาธิการ, สำนัก. ประมวลพระฉายาลักษณ์และภาพพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พิมพ์สำหรับพระราชทานในงานพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวง วันอังคารที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๘. (๒๕๒๘). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงเทพ.
 
พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว. “ครั้งแรกในสยาม” '''สกุลไทย''' ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐.
 
[[Category:พระราชประวัติก่อนขึ้นครองราชย์]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 11:49, 2 ธันวาคม 2562

ผู้เรียบเรียง : ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล

ฉัตรบงกช  ศรีวัฒนสาร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์

           สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา หลังจากที่ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการทหารจากประเทศอังกฤษ เสด็จกลับมาประทับในประเทศเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ แล้วมักจะเสด็จไปเฝ้าฯสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีที่วังพญาไทอยู่เสมอ และในบางโอกาสก็ประทับแรม ณ พระตำหนัก จึงทำให้ทรงรู้จักกับพระประยูรญาติทั้งหลาย อาทิ หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์

           เมื่อใดที่สมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักชายทะเลที่หัวหิน ก็โปรดเกล้าฯให้ทั้งสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี โดยเสด็จพระราชดำเนินด้วยทั้งสองพระองค์ พร้อมด้วยเจ้าพี่เจ้าน้ององค์อื่นๆ ทรงโปรดที่จะเสด็จไปทรงสำราญพระอิริยาบถและจัดงานการละเล่นที่ตำหนักแสนสำราญของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ ซึ่งมีบริเวณติดกันกับพระตำหนักของสมเด็จพระบรมราชชนนีอยู่เสมอๆ เป็นเหตุให้ทั้งสองพระองค์ทรงสนิทสนมคุ้นเคยกันมากยิ่งขึ้น

           หลังจากที่ใน พ.ศ. ๒๔๖๐ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ ทรงผนวชครบไตรมาสแล้ว ทรงลาสิกขา ในปีถัดมาได้ทรงกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ว่าทรงมีพระหฤทัยผูกพันในหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต อภิเษกสมรสดังความตอนหนึ่งว่า

           “...บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้า ได้ปฏิพัทธ์รักใคร่กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ธิดาแห่งเสด็จน้า และข้าพระพุทธเจ้าอยากจะใคร่ทำการสมรสกับเจ้าหญิงนั้น แต่เดิมข้าพระพุทธเจ้าได้ชอบพอกับหญิงรำไพพรรณี ฉันเด็กและผู้ใหญ่ และสมเด็จแม่ก็โปรดให้หญิงรำไพพรรณี มารับใช้ข้าพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ...”

           หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ทรงเป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ (พระยศขณะนั้น) องค์ต้นราชสกุลสสวัสดิวัตน์ พระอนุชาในสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ กับ หม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณี (พระยศขณะนั้น) พระชายา

           เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ทรงรับเป็นพระราชธุระขอหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีต่อพระบิดา แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกอบพิธีอภิเษกสมรสพระราชทาน ในวันจันทร์ที่ ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๖๑ ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นการพิธีครั้งแรกตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วย การเศกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๑ ซึ่งให้เจ้านายในพระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปจะทำการเศกสมรสกับผู้ใด ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตก่อน เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วจึงจะทำการพิธีนั้นได้

           ในการพิธีอภิเษกสมรสในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริให้มีการสอบถามความสมัครใจของคู่ที่จะทำการสมรสก่อน กล่าวคือ เมื่อเสด็จออก ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมานแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) แต่ยังเป็นมหาเสวกโท พระยาจักรปาณีศรีศิลวิสุทธิ สมุหพระนิติศาสตร์ ตั้งกระทู้กราบทูลและทูลถามคู่อภิเษกสมรสว่า

           (ชาย) ฝ่าพระบาทตั้งพระหฤทัยจะทรงรับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีเป็นพระชายา เพื่อทรงถนอมทะนุบำรุงด้วยความเสน่หาและทรงพระเมตตาสืบไปจนตลอดฤา? ทรงรับสั่งตอบว่าข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนั้น

           (หญิง) ท่านตั้งหฤทัยที่จะมอบองค์ของท่านเป็นพระชายาแห่งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ด้วยความเสน่หาจงรักสมัครจะปฏิบัติอยู่ในพระโอวาทแห่งพระสามีสืบไปจนตลอดนั้นฤา? ทรงรับสั่งตอบว่าข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนั้น

           เมื่อเสร็จการพิธีแบบตะวันตกแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวรรตและทรงเจิมคู่อภิเษกสมรสตามโบราณราชประเพณีของไทย และองค์คู่อภิเษกสมรสได้ทรงลงพระนามในสมุด “ทะเบียนแต่งงาน”เฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงลงพระปรมาภิไธยในช่องพระนาม “ผู้สู่ขอตกแต่ง” และช่อง “ผู้ทรงเป็นประทานแลพยานในการแต่งงาน” แล้วโปรดเกล้าฯให้เจ้านายชั้นพระบรมวงศ์ ๑๒ พระองค์ ทรงลงพระนามเป็นพยานด้วย โดยสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงลงพระนามถัดจากพระปรมาภิไธย ส่วนสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวงนั้นมิได้เสด็จฯไปทรงร่วมงาน เนื่องจากทรงพระประชวรและประทับอยู่ที่พระตำหนักน้ำ วังศุโขทัย ริมคลองสามเสน ซึ่งเป็นวังส่วนพระองค์ของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนฯ ซึ่งพึ่งสร้างขึ้นใหม่

           ในขั้นตอนสุดท้าย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยง และเมื่อจวนเสร็จเสวยพระกระยาหารได้มีพระราชดำรัสพระราชทานพร และทรงชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ดื่มถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา (พระชันษา ๒๕ ปี) และหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระชายา (พระชันษา ๑๔ ปี)

           การพระราชพิธีอภิเษกสมรสในครั้งนั้นมีความพิเศษอยู่สามประการ คือ

           ประการแรก เริ่มมีการพิธีด้วยการตั้งกระทู้ถามตอบคู่สมรส ดังเช่นธรรมเนียมของชาวตะวันตกเป็นครั้งแรกว่าจะทรงรักษาสัญญาต่อกันอย่างซื่อตรง

           ประการที่สอง องค์คู่อภิเษกสมรสได้ทรงลงพระนามในสมุด “ทะเบียนแต่งงาน”เป็นคู่แรกในสยาม

           ประการที่สาม เกิดมีของชำร่วยเกิดขึ้นครั้งแรก คือแหวนทองคำลงยาประดับเพชรและมีจารึกว่าอภิเษก พระราชทานเฉพาะเจ้านายชั้นพระบรมวงศ์ ๑๒ พระองค์ที่ทรงลงพระนามเป็นพยาน

           นับตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองพระองค์ได้ทรงครองชีวิตสมรสโดยทรงรักษาสัญญาที่ทรงเปล่งในวันนั้นอย่างมั่นคงสมบูรณ์ เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๖๙ ก็ได้มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้ประกาศเฉลิมพระนาม หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระชายา เป็นสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี และสถาปนาพระอิสริยยศเป็นพระอัครมเหสีโดยสมบูรณ์ตามพระราชกำหนดกฎหมายและราชประเพณี ทั้งสองพระองค์ได้ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นพระคู่ขวัญทรงมีพระราชจริยาวัตรในการรักษาความซื่อสัตย์ต่อกันโดยตลอด นับเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เราคนในปัจจุบัน

บรรณานุกรม

ราชเลขาธิการ, สำนัก. ประมวลพระฉายาลักษณ์และภาพพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พิมพ์สำหรับพระราชทานในงานพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ณ พระเมรุมาศท้องสนามหลวง วันอังคารที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๘. (๒๕๒๘). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงเทพ.

พฤทธิสาณ ชุมพล, ม.ร.ว. “ครั้งแรกในสยาม” สกุลไทย ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐.