ผลต่างระหว่างรุ่นของ "คณะองคมนตรี (privy council)"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าด้วย " เรียบเรียงโดย : วรัญญา เพ็ชรคง ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :..."
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
Apirom ย้ายหน้า คณะองคมนตรี (วรัญญา เพ็ชรคง) ไปยัง คณะองคมนตรี (privy council) โดยไม่สร้างหน้าเปลี่ยนท...
 
(ไม่แสดง 3 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:


เรียบเรียงโดย : วรัญญา เพ็ชรคง
เรียบเรียงโดย : วรัญญา เพ็ชรคง


ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต


----
----
บรรทัดที่ 8: บรรทัดที่ 8:
'''คณะองคมนตรี'''
'''คณะองคมนตรี'''


          คณะองคมนตรี หมายถึงคณะบุคคลซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วยประธานองคมนตรีคนหนึ่งและองคมนตรีอื่นอีกไม่เกิน ๑๘ คน [http://dictionary.sanook.com/search/คณะองคมนตรี คณะองคมนตรี]มีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ[[#_ftn1|[1]]]
          คณะองคมนตรี หมายถึงคณะบุคคลซึ่ง[[พระมหากษัตริย์|พระมหากษัตริย์]]ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย[[ประธานองคมนตรี|ประธานองคมนตรี]]คนหนึ่งและองคมนตรีอื่นอีกไม่เกิน ๑๘ คน คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ[1]


'''คณะองคมนตรี'''  หรือ privy council ในภาษาอังกฤษ คำว่า "privy" หมายถึง "ส่วนตัว" หรือ "ลับ" ดังนั้นแรกเริ่มเดิมที privy council คือคณะที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของกษัตริย์ที่ให้คำปรึกษา[https://th.wikipedia.org/wiki/การรักษาความลับ ที่รักษาเป็นความลับ]ในเรื่องกิจการรัฐ
'''คณะองคมนตรี'''  หรือ privy council ในภาษาอังกฤษ คำว่า "privy" หมายถึง "ส่วนตัว" หรือ "ลับ" ดังนั้นแรกเริ่มเดิมที privy council คือคณะที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของกษัตริย์ที่ให้คำปรึกษาที่รักษาเป็นความลับในเรื่องกิจการรัฐ


ประเทศที่มีสภาองคมนตรีหรือองค์กรเทียบเท่าในปัจจุบัน ได้แก่ [https://th.wikipedia.org/wiki/สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ] [https://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศแคนาดา ประเทศแคนาดา] [https://th.wikipedia.org/wiki/ราชอาณาจักรเดนมาร์ก ราชอาณาจักรเดนมาร์ก] [https://th.wikipedia.org/wiki/ราชอาณาจักรตองกา ราชอาณาจักรตองกา] และ[https://th.wikipedia.org/wiki/ราชอาณาจักรไทย ราชอาณาจักรไทย]
ประเทศที่มี[[สภาองคมนตรี|สภาองคมนตรี]]หรือองค์กรเทียบเท่าในปัจจุบัน ได้แก่ สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ประเทศแคนาดา ราชอาณาจักรเดนมาร์ก ราชอาณาจักรตองกา และราชอาณาจักรไทย


'''ความเป็นมา'''
'''ความเป็นมา'''


          คณะองคมนตรีมีมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระยะแรกนั้นไม่ได้เรียก  “คณะองคมนตรี” แต่จะใช้คำว่า “ปรีวีเคาน์ซิล” “ปรีวีเคาน์ซิลลอร์” หรือ “ที่ปรึกษาในพระองค์” ส่วนคำว่า  “องคมนตรี” เริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน ทั้งนี้ในรายงานการประชุมเสนาบดีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ร.ศ.111 (พ.ศ.2435) และใน “ประกาศการพระราชพิธีศรีสัจปานกาล พระราชทานพระไชยวัฒน์องค์เล็กแลเครื่องราชอิศริยาภรณ์ แลตั้งองคมนตรี” เมื่อ ร.ศ.111 ปรากฏว่ามีการใช้คำว่า “องคมนตรี” แล้ว
          คณะองคมนตรีมีมาตั้งแต่สมัย[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ในระยะแรกนั้นไม่ได้เรียก  “คณะองคมนตรี” แต่จะใช้คำว่า “ปรีวีเคาน์ซิล” “ปรีวีเคาน์ซิลลอร์” หรือ “ที่ปรึกษาในพระองค์” ส่วนคำว่า  “[[องคมนตรี|องคมนตรี]]” เริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน ทั้งนี้ในรายงานการประชุมเสนาบดีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ร.ศ.111 (พ.ศ.2435) และใน “ประกาศการพระราชพิธีศรีสัจปานกาล พระราชทานพระไชยวัฒน์องค์เล็กแลเครื่องราชอิศริยาภรณ์ แลตั้งองคมนตรี” เมื่อ ร.ศ.111 ปรากฏว่ามีการใช้คำว่า “องคมนตรี” แล้ว


          ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการตั้งปรีวีเคาน์ซิลล์หรือคณะที่ปรึกษาในพระองค์หลายครั้ง ทั้งนี้ “...จำนวนทีปรึกษาในพระองค์นั้น มากน้อยเท่าใดไม่มีกำหนด ตามแต่พระราชประสงค์...แล้วต้องรับตำแหน่งที่อยู่จนสิ้นแผ่นดิน...” ต่อเมื่อทรงเห็นว่าผู้ใดมีความเหมาะสมก็จะทรงตั้งเพิ่มเติม และมีการผลัดเปลี่ยนได้ตามแต่จะทรงเห็นสมควร
          ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการตั้งปรีวีเคาน์ซิลล์หรือคณะที่ปรึกษาในพระองค์หลายครั้ง ทั้งนี้ “...จำนวนทีปรึกษาในพระองค์นั้น มากน้อยเท่าใดไม่มีกำหนด ตามแต่พระราชประสงค์...แล้วต้องรับตำแหน่งที่อยู่จนสิ้นแผ่นดิน...” ต่อเมื่อทรงเห็นว่าผู้ใดมีความเหมาะสมก็จะทรงตั้งเพิ่มเติม และมีการผลัดเปลี่ยนได้ตามแต่จะทรงเห็นสมควร


          ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรียังคงเป็นไปแบบเดิม ไม่มีการแก้ไขประการใด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งองคมนตรีขึ้นใหม่ตามพระราชอัธยาศัย แต่ทั้งนี้ ทรงตั้งประเพณีไว้อย่างหนึ่ง คือในเดือนมีนาคมให้กระทรวงมุรธาธรทำบัญชีผู้ได้รับพระราชทานพานทองเครื่องยศในคราวพระราชพิธีฉัตรมงคลเดือนพฤศจิกายนขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อเลือกองคมนตรี แล้วจะทรงตั้งเป็นองคมนตรีในวันที่ 4 เมษายนของทุกปี เนื่องในพระราชพิธีศรีสัจปานกาล ([https://www.gotoknow.org/posts/tags/พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา]) เป็นผลให้องคมนตรีในรัชกาลนี้มีมากถึง 32 คน และอยู่ในตำแหน่งไปจนสิ้นรัชกาล [[#_ftn2|[2]]]
          ในรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] แบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรียังคงเป็นไปแบบเดิม ไม่มีการแก้ไขประการใด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งองคมนตรีขึ้นใหม่ตามพระราชอัธยาศัย แต่ทั้งนี้ ทรงตั้งประเพณีไว้อย่างหนึ่ง คือในเดือนมีนาคมให้กระทรวงมุรธาธรทำบัญชีผู้ได้รับพระราชทานพานทองเครื่องยศในคราวพระราชพิธีฉัตรมงคลเดือนพฤศจิกายนขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อเลือกองคมนตรี แล้วจะทรงตั้งเป็นองคมนตรีในวันที่ 4 เมษายนของทุกปี เนื่องในพระราชพิธีศรีสัจปานกาล ([[ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา|พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา]]) เป็นผลให้องคมนตรีในรัชกาลนี้มีมากถึง 32 คน และอยู่ในตำแหน่งไปจนสิ้นรัชกาล [2]


สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยึดแบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรีตามแบบประเพณีในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างคือ ทรงเลือกผู้ที่ไม่ได้รับพระราชทานเครื่องยศชั้นพานทองด้วย อีกทั้งจำนวนองคมนตรีมีจำนวนมาก ไม่สะดวกในการเรียกเข้าประชุม รัชกาลที่ 7 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “สภากรรมการองคมนตรี” ขึ้นตามพระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470 และทรงคัดเลือกองคมนตรีที่ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ จำนวน 40 คน เข้ามาเป็นกรรมการองคมนตรีเพื่อทำหน้าที่ “ประชุมปรึกษาหารือข้อราชการตามแต่จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานลงมาให้ปรึกษา” นอกจากนี้ยังมีพระราชดำริจะให้สภากรรมการองคมนตรีเป็นที่ประชุมตัวอย่างสำหรับการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเสรีอีกด้วย ตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ 7สภาองคมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่และทำการประชุมอย่างสม่ำเสมอ
          สมัย[[รัชกาลที่_7|รัชกาลที่ 7]] [[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงยึดแบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรีตามแบบประเพณีในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างคือ ทรงเลือกผู้ที่ไม่ได้รับพระราชทานเครื่องยศชั้นพานทองด้วย อีกทั้งจำนวนองคมนตรีมีจำนวนมาก ไม่สะดวกในการเรียกเข้าประชุม รัชกาลที่ 7 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “[[สภากรรมการองคมนตรี|สภากรรมการองคมนตรี]]” ขึ้นตาม[[พระราชบัญญัติองคมนตรี_พุทธศักราช_2470|พระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470]] และทรงคัดเลือกองคมนตรีที่ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ จำนวน 40 คน เข้ามาเป็นกรรมการองคมนตรีเพื่อทำหน้าที่ “ประชุมปรึกษาหารือข้อราชการตามแต่จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานลงมาให้ปรึกษา” นอกจากนี้ยังมีพระราชดำริจะให้สภากรรมการองคมนตรีเป็นที่ประชุมตัวอย่างสำหรับการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเสรีอีกด้วย ตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ 7 สภาองคมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่และทำการประชุมอย่างสม่ำเสมอ


จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย จึงได้มีประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470 องคมนตรีทั้งหมดจึงพ้นจากตำแหน่ง และว่างเว้นมาเป็นเวลา 15 ปี จนกระทั่งใน[https://th.wikipedia.org/w/index.php?title=รัฐธรรมนูญ_พ.ศ._2490&action=edit&redlink=1 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490] จึงมีบทบัญญัติคล้ายคลึงกันโดยกำหนดให้มี "คณะอภิรัฐมนตรี" ทำหน้าที่นี้ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น "คณะองคมนตรี" ใน[https://th.wikipedia.org/w/index.php?title=รัฐธรรมนูญ_พ.ศ._2492&action=edit&redlink=1 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492] และใช้มาตราบจนถึงปัจจุบัน
          จนกระทั่งมี[[การเปลี่ยนแปลงการปกครอง_24_มิถุนายน_2475|การเปลี่ยนแปลงการปกครอง]]จาก[[ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์|ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์]]มาเป็น[[ระบอบประชาธิปไตย|ระบอบประชาธิปไตย]] จึงได้มีประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470 องคมนตรีทั้งหมดจึงพ้นจากตำแหน่ง และว่างเว้นมาเป็นเวลา 15 ปี จนกระทั่งในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 จึงมีบทบัญญัติคล้ายคลึงกันโดยกำหนดให้มี "[[คณะอภิรัฐมนตรี|คณะอภิรัฐมนตรี]]" ทำหน้าที่นี้ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น "คณะองคมนตรี" ใน[[รัฐธรรมนูญ_พ.ศ._2492|รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492]] และใช้มาตราบจนถึงปัจจุบัน


ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้มีประกาศแต่งตั้งอภิรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2470 ซึ่งมีรายละเอียดบัญญัติไว้ดังนี้
          ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช|พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช]] [[รัชกาลที่_9|รัชกาลที่ 9]] ได้มีประกาศแต่งตั้งอภิรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2470 ซึ่งมีรายละเอียดบัญญัติไว้ดังนี้


“มาตรา 9 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสำหรับถวายคำปรึกษาในราชการแผ่นดิน มาตรา 10 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง จะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ จะได้แต่งตั้งอภิรัฐมนตรีขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ...”
          “มาตรา 9 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสำหรับถวายคำปรึกษาในราชการแผ่นดิน มาตรา 10 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง จะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ จะได้แต่งตั้งอภิรัฐมนตรีขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ...”


[https://th.wikipedia.org/wiki/รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2550 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550] ระบุว่าเป็นคณะบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิเป็น ประธานองคมนตรี คนหนึ่งและ องคมนตรี อื่นอีกไม่เกิน 18 คน ความเห็นที่ถวายต่อพระมหากษัตริย์ ต้องเป็นพระราชกรณียกิจ ที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษาเท่านั้น การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรีหรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดย ประธานองคมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง องคมนตรี หรือให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง
          รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ระบุว่าเป็นคณะบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิเป็น ประธานองคมนตรี คนหนึ่งและ องคมนตรี อื่นอีกไม่เกิน 18 คน ความเห็นที่ถวายต่อพระมหากษัตริย์ ต้องเป็นพระราชกรณียกิจ ที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษาเท่านั้น การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรีหรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดย ประธานองคมนตรี เป็นผู้รับสนอง[[พระบรมราชโองการ|พระบรมราชโองการ]] แต่งตั้ง องคมนตรี หรือให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง


องคมนตรีต้องไม่เป็น[https://th.wikipedia.org/wiki/สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร] [https://th.wikipedia.org/wiki/วุฒิสภา สมาชิกวุฒิสภา] [https://th.wikipedia.org/w/index.php?title=สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง&action=edit&redlink=1 กรรมการการเลือกตั้ง] [https://th.wikipedia.org/wiki/สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา] [https://th.wikipedia.org/wiki/สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ] [https://th.wikipedia.org/wiki/สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ] [https://th.wikipedia.org/wiki/สำนักงานศาลปกครอง ตุลาการศาลปกครอง] [https://th.wikipedia.org/wiki/สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ] [https://th.wikipedia.org/wiki/สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน] [https://th.wikipedia.org/wiki/ข้าราชการ ข้าราชการ]ซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงาน[https://th.wikipedia.org/wiki/รัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจ] เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของ[https://th.wikipedia.org/wiki/พรรคการเมือง พรรคการเมือง] และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ และพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง
          องคมนตรีต้องไม่เป็น[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร|สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]] [[สมาชิกวุฒิสภา|สมาชิกวุฒิสภา]] [[กรรมการการเลือกตั้ง|กรรมการการเลือกตั้ง]] [[ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา|ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา]] [[คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ|กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ]] [[ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ|ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ]] [[ตุลาการศาลปกครอง|ตุลาการศาลปกครอง]] [[คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ|กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ]] [[คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน|กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน]] ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของ[[พรรคการเมือง|พรรคการเมือง]] และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ และพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง


 
 
บรรทัดที่ 54: บรรทัดที่ 54:
 
 
<div>'''อ้างอิง''' <div id="ftn1">
<div>'''อ้างอิง''' <div id="ftn1">
[[#_ftnref1|[1]]] พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
[1] พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
</div> <div id="ftn2">
</div> <div id="ftn2">
[[#_ftnref2|[2]]] คณะองคมนตรี. พิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงเปิดทำเนียบองคมนตรี ณ พระราชอุทยานสราญรมย์ วันอังคาร ที่ 20 มกราคม พุทธศักราช 2547. หน้า 10.
[2] คณะองคมนตรี. พิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงเปิดทำเนียบองคมนตรี ณ พระราชอุทยานสราญรมย์ วันอังคาร ที่ 20 มกราคม พุทธศักราช 2547. หน้า 10.
</div> </div>
</div> </div>  
[[Category:องคมนตรี]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 11:20, 30 พฤศจิกายน 2563

เรียบเรียงโดย : วรัญญา เพ็ชรคง

ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต


คณะองคมนตรี

          คณะองคมนตรี หมายถึงคณะบุคคลซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วยประธานองคมนตรีคนหนึ่งและองคมนตรีอื่นอีกไม่เกิน ๑๘ คน คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ[1]

คณะองคมนตรี  หรือ privy council ในภาษาอังกฤษ คำว่า "privy" หมายถึง "ส่วนตัว" หรือ "ลับ" ดังนั้นแรกเริ่มเดิมที privy council คือคณะที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของกษัตริย์ที่ให้คำปรึกษาที่รักษาเป็นความลับในเรื่องกิจการรัฐ

ประเทศที่มีสภาองคมนตรีหรือองค์กรเทียบเท่าในปัจจุบัน ได้แก่ สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ประเทศแคนาดา ราชอาณาจักรเดนมาร์ก ราชอาณาจักรตองกา และราชอาณาจักรไทย

ความเป็นมา

          คณะองคมนตรีมีมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระยะแรกนั้นไม่ได้เรียก  “คณะองคมนตรี” แต่จะใช้คำว่า “ปรีวีเคาน์ซิล” “ปรีวีเคาน์ซิลลอร์” หรือ “ที่ปรึกษาในพระองค์” ส่วนคำว่า  “องคมนตรี” เริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน ทั้งนี้ในรายงานการประชุมเสนาบดีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ร.ศ.111 (พ.ศ.2435) และใน “ประกาศการพระราชพิธีศรีสัจปานกาล พระราชทานพระไชยวัฒน์องค์เล็กแลเครื่องราชอิศริยาภรณ์ แลตั้งองคมนตรี” เมื่อ ร.ศ.111 ปรากฏว่ามีการใช้คำว่า “องคมนตรี” แล้ว

          ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการตั้งปรีวีเคาน์ซิลล์หรือคณะที่ปรึกษาในพระองค์หลายครั้ง ทั้งนี้ “...จำนวนทีปรึกษาในพระองค์นั้น มากน้อยเท่าใดไม่มีกำหนด ตามแต่พระราชประสงค์...แล้วต้องรับตำแหน่งที่อยู่จนสิ้นแผ่นดิน...” ต่อเมื่อทรงเห็นว่าผู้ใดมีความเหมาะสมก็จะทรงตั้งเพิ่มเติม และมีการผลัดเปลี่ยนได้ตามแต่จะทรงเห็นสมควร

          ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรียังคงเป็นไปแบบเดิม ไม่มีการแก้ไขประการใด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งองคมนตรีขึ้นใหม่ตามพระราชอัธยาศัย แต่ทั้งนี้ ทรงตั้งประเพณีไว้อย่างหนึ่ง คือในเดือนมีนาคมให้กระทรวงมุรธาธรทำบัญชีผู้ได้รับพระราชทานพานทองเครื่องยศในคราวพระราชพิธีฉัตรมงคลเดือนพฤศจิกายนขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อเลือกองคมนตรี แล้วจะทรงตั้งเป็นองคมนตรีในวันที่ 4 เมษายนของทุกปี เนื่องในพระราชพิธีศรีสัจปานกาล (พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา) เป็นผลให้องคมนตรีในรัชกาลนี้มีมากถึง 32 คน และอยู่ในตำแหน่งไปจนสิ้นรัชกาล [2]

          สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยึดแบบอย่างการแต่งตั้งองคมนตรีตามแบบประเพณีในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบ้างคือ ทรงเลือกผู้ที่ไม่ได้รับพระราชทานเครื่องยศชั้นพานทองด้วย อีกทั้งจำนวนองคมนตรีมีจำนวนมาก ไม่สะดวกในการเรียกเข้าประชุม รัชกาลที่ 7 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “สภากรรมการองคมนตรี” ขึ้นตามพระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470 และทรงคัดเลือกองคมนตรีที่ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ จำนวน 40 คน เข้ามาเป็นกรรมการองคมนตรีเพื่อทำหน้าที่ “ประชุมปรึกษาหารือข้อราชการตามแต่จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานลงมาให้ปรึกษา” นอกจากนี้ยังมีพระราชดำริจะให้สภากรรมการองคมนตรีเป็นที่ประชุมตัวอย่างสำหรับการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเสรีอีกด้วย ตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ 7 สภาองคมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่และทำการประชุมอย่างสม่ำเสมอ

          จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย จึงได้มีประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติองคมนตรี พุทธศักราช 2470 องคมนตรีทั้งหมดจึงพ้นจากตำแหน่ง และว่างเว้นมาเป็นเวลา 15 ปี จนกระทั่งในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 จึงมีบทบัญญัติคล้ายคลึงกันโดยกำหนดให้มี "คณะอภิรัฐมนตรี" ทำหน้าที่นี้ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น "คณะองคมนตรี" ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 และใช้มาตราบจนถึงปัจจุบัน

          ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้มีประกาศแต่งตั้งอภิรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2470 ซึ่งมีรายละเอียดบัญญัติไว้ดังนี้

          “มาตรา 9 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอภิรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสำหรับถวายคำปรึกษาในราชการแผ่นดิน มาตรา 10 ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง จะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ จะได้แต่งตั้งอภิรัฐมนตรีขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ...”

          รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ระบุว่าเป็นคณะบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้ง ผู้ทรงคุณวุฒิเป็น ประธานองคมนตรี คนหนึ่งและ องคมนตรี อื่นอีกไม่เกิน 18 คน ความเห็นที่ถวายต่อพระมหากษัตริย์ ต้องเป็นพระราชกรณียกิจ ที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษาเท่านั้น การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรีหรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดย ประธานองคมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่งตั้ง องคมนตรี หรือให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง

          องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ และพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง

 

บรรณนุกรม

คณะองคมนตรี. พิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงเปิดทำเนียบองคมนตรี ณ พระราชอุทยานสราญรมย์ วันอังคาร ที่ 20 มกราคม พุทธศักราช 2547.

คณิน บุญสุวรรณ.  “ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย ฉบับสมบูรณ์”. กรุงเทพฯ :

บริษัท ตถาตา พับลิเคชั่น, 2548.

จีรวัฒน์ ครองแก้ว. “องคมนตรี ศักดิ์ศรีแผ่นดิน”. กรุงเทพฯ : มูลนิธิทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ. 2550.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2550), หมวด 2 พระมหากษัตริย์.

เรื่องสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในรัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก หลวงสถิตยุทธการ ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. (สถิต สถิตยุทธการ) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทร์ทราวาส วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช พ.ศ.2514.

ธงทอง จันทรางศุ. “สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (2540) พระมหากษัตริย์”. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า. 2544

 

อ้างอิง

[1] พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ.

[2] คณะองคมนตรี. พิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปทรงเปิดทำเนียบองคมนตรี ณ พระราชอุทยานสราญรมย์ วันอังคาร ที่ 20 มกราคม พุทธศักราช 2547. หน้า 10.