ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระยาสุนทรพิพิธ"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าด้วย " ผู้เขียน : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร ผู้ทรงคุณ..."
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:


ผู้เขียน : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ผู้เขียน : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


----
----
<p style="text-align: center;">'''พระยาสุนทรพิพิธ : นักปกครองสองยุค'''</p>  
<p style="text-align: center;">'''พระยาสุนทรพิพิธ&nbsp;: นักปกครองสองยุค'''</p>  
<br/> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; กล่าวชื่อ “เจ้าคุณสุนทรพิพิธ” ผู้คนในแวดวงนักปกครอง ที่กระทรวงมหาดไทยรุ่นเก่าจะรู้จักทั้งชื่อเสียงและเกียรติคุณเป็นอย่างดี ท่านเจ้าคุณสุนทรท่านนี้เป็นพระยาและเจ้าเมืองตั้งแต่ยังหนุ่มมาก อายุเพียง 30 เท่านั้นเอง&nbsp; &nbsp;นั่นคือในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] รัชกาลที่&nbsp;6 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ท่านยังอยู่ในราชการต่อมา จนได้ตำแหน่งสูงสุดของข้าราชการประจำเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย และเมื่อลงเล่นการเมืองก็ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎร ต่อมาก็ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
<br/> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; กล่าวชื่อ “เจ้าคุณสุนทรพิพิธ” ผู้คนในแวดวงนักปกครอง ที่กระทรวงมหาดไทยรุ่นเก่าจะรู้จักทั้งชื่อเสียงและเกียรติคุณเป็นอย่างดี ท่านเจ้าคุณสุนทรท่านนี้เป็นพระยาและเจ้าเมืองตั้งแต่ยังหนุ่มมาก อายุเพียง 30 เท่านั้นเอง&nbsp; &nbsp;นั่นคือในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว]] รัชกาลที่&nbsp;6 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ท่านยังอยู่ในราชการต่อมา จนได้ตำแหน่งสูงสุดของข้าราชการประจำเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย และเมื่อลงเล่นการเมืองก็ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎร ต่อมาก็ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระยาสุนทรพิพิธ เป็นคนเมืองธนบุรีนี่เอง บิดาชื่อ แพ และมารดาชื่อ หุ่น ท่านเกิดที่บ้าน คลองบางสะแก ตำบลตลาดพลู ฝั่งธนบุรี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ปี 2434 มีชื่อเดิมว่า เชย สกุล มัฆวิบูลย์ ถึงวัยเรียนจึงได้เริ่มเรียนที่วัดบางสะแกนอก จากนั้นจึงข้ามฝั่งแม่น้ำมาเรียนที่โรงเรียนวัดบพิตรพิมุข แล้วย้ายข้ามกลับไปศึกษาต่อที่วัดนวลนรดิศจนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 แล้วจึงได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ได้เข้าโรงเรียนมหาดเล็กหลวง เรียนจบได้ประกาศนียบัตรวิชารัฏฐประศาสน์ ขณะที่มีอายุได้ 18 ปี จากนั้นจึงได้เริ่มทำงานไปฝึกหัดราชการที่อำเภอเมืองสงขลา ท่านคงทำงานดี เมื่อนายย้ายไปเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอีสาน นายจึงขอตัวไปทำงานด้วย และได้ตำแหน่งเป็นเลขานุการมณฑลตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี สำหรับบรรดาศักดิ์นั้น ในปีถัดมาท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนศุภกิจวิเลขการ อีกสองปีต่อมาคือปี 2456 ท่านได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงในนามเดิม และได้ตำแหน่งเป็นปลัดจังหวัดขุขันธ์ (ศรีษะเกษ) ตอนนั้นอายุได้ 22 ปี ได้สมรสกับ นางสาวประยูร เศวตเลข งานในกระทรวงมหาดไทยของท่านได้เจริญมาด้วยดี อายุเพียง 25 ปีก็ได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว โดยได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ถึงปี 2462 จึงได้ย้ายไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ จนปี 2464 ในวันที่ 30 ธันวาคม ท่านได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสุนทรพิพิธ นับว่าเป็นพระยาที่หนุ่มมากอายุเพียง 30 ปี
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระยาสุนทรพิพิธ เป็นคนเมืองธนบุรีนี่เอง บิดาชื่อ แพ และมารดาชื่อ หุ่น ท่านเกิดที่บ้าน คลองบางสะแก ตำบลตลาดพลู ฝั่งธนบุรี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ปี 2434 มีชื่อเดิมว่า เชย สกุล มัฆวิบูลย์ ถึงวัยเรียนจึงได้เริ่มเรียนที่วัดบางสะแกนอก จากนั้นจึงข้ามฝั่งแม่น้ำมาเรียนที่โรงเรียนวัดบพิตรพิมุข แล้วย้ายข้ามกลับไปศึกษาต่อที่วัดนวลนรดิศจนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 แล้วจึงได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ได้เข้าโรงเรียนมหาดเล็กหลวง เรียนจบได้ประกาศนียบัตรวิชารัฏฐประศาสน์ ขณะที่มีอายุได้ 18 ปี จากนั้นจึงได้เริ่มทำงานไปฝึกหัดราชการที่อำเภอเมืองสงขลา ท่านคงทำงานดี เมื่อนายย้ายไปเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอีสาน นายจึงขอตัวไปทำงานด้วย และได้ตำแหน่งเป็นเลขานุการมณฑลตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี สำหรับบรรดาศักดิ์นั้น ในปีถัดมาท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนศุภกิจวิเลขการ อีกสองปีต่อมาคือปี 2456 ท่านได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงในนามเดิม และได้ตำแหน่งเป็นปลัดจังหวัดขุขันธ์ (ศรีษะเกษ) ตอนนั้นอายุได้ 22 ปี ได้สมรสกับ นางสาวประยูร เศวตเลข งานในกระทรวงมหาดไทยของท่านได้เจริญมาด้วยดี อายุเพียง 25 ปีก็ได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว โดยได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ถึงปี 2462 จึงได้ย้ายไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ จนปี 2464 ในวันที่ 30 ธันวาคม ท่านได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสุนทรพิพิธ นับว่าเป็นพระยาที่หนุ่มมากอายุเพียง 30 ปี


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในช่วงเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้ทดลองตั้งเมืองจำลองชื่อ “[[ดุสิตธานี]]” จัดทดลองให้หัดมีการบริหารแบบเทศบาล ที่น่าจะจำลองมาจากแบบของอังกฤษ ให้มีชาวเมืองคือเจ้าของบ้าน ให้เลือกผู้บริหารเมือง ฝึกกันที่เมืองจำลองสักช่วงเวลาหนึ่ง ทรงเห็นว่ารู้เรื่องกันพอสมควรแล้ว ก็ขอมหาดไทยที่จะขอตัวพระยาสุนทรพิพิธ เจ้าเมืองนครสวรรค์ มาเป็นหัวหน้าผู้บริหารท้องถิ่นคนแรกอย่างจริงจังที่เมืองสมุทรสาคร อันเป็นที่ตั้งของสุขาภิบาลท่าฉลอม ที่พระราชบิดาของท่านได้ทดลองตั้งขึ้นมาก่อนหน้านั้น ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทยก็ยอม และได้ย้ายพระยาสุนทรพิพิธมาเตรียมการที่จะบริหารท้องถิ่นที่สมุทรสาคร แต่ยังไม่ทันตั้งได้เรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในช่วงเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้ทดลองตั้งเมืองจำลองชื่อ “[[ดุสิตธานี|ดุสิตธานี]]” จัดทดลองให้หัดมีการบริหารแบบเทศบาล ที่น่าจะจำลองมาจากแบบของอังกฤษ ให้มีชาวเมืองคือเจ้าของบ้าน ให้เลือกผู้บริหารเมือง ฝึกกันที่เมืองจำลองสักช่วงเวลาหนึ่ง ทรงเห็นว่ารู้เรื่องกันพอสมควรแล้ว ก็ขอมหาดไทยที่จะขอตัวพระยาสุนทรพิพิธ เจ้าเมืองนครสวรรค์ มาเป็นหัวหน้าผู้บริหารท้องถิ่นคนแรกอย่างจริงจังที่เมืองสมุทรสาคร อันเป็นที่ตั้งของสุขาภิบาลท่าฉลอม ที่พระราชบิดาของท่านได้ทดลองตั้งขึ้นมาก่อนหน้านั้น ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทยก็ยอม และได้ย้ายพระยาสุนทรพิพิธมาเตรียมการที่จะบริหารท้องถิ่นที่สมุทรสาคร แต่ยังไม่ทันตั้งได้เรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระยาสุนทรพิพิธ ได้เคยเล่าเรื่องนี้ไว้บ้าง จะขอยกความตอนหนึ่งมาให้อ่าน อันแสดงถึงงานที่จะต้องทำในตอนนั้น
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระยาสุนทรพิพิธ ได้เคยเล่าเรื่องนี้ไว้บ้าง จะขอยกความตอนหนึ่งมาให้อ่าน อันแสดงถึงงานที่จะต้องทำในตอนนั้น
บรรทัดที่ 18: บรรทัดที่ 18:
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว เมื่อมีการเสนอความคิดเรื่องการบริหารเทศบาล พระยาสุนทรพิพิธและม.จ.สกลวรรณากร สองท่านนี้จึงได้รวมกันเขียนหนังสือเรื่องการปกครองท้องถิ่นแบบเทศบาลออกมาเผยแพร่ จากนักปกครองสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระยาสุนทรพิพิธย้ายจากต่างจังหวัดเข้ามาเป็นข้าหลวงประจำจังหวัดพระนครธนบุรี ในเดือนมีนาคม ปี 2476 ดังนั้นท่านจึงยังเป็นนักปกครองอยู่ได้ด้วยดี ถึงปี 2478 ขึ้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาดไทย อันเป็นกรมสำคัญที่สุดของกระทรวง ตอนนั้นพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้นถึงสมัยหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ปี 2482 พระยาสุนทรพิพิธก็ได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว เมื่อมีการเสนอความคิดเรื่องการบริหารเทศบาล พระยาสุนทรพิพิธและม.จ.สกลวรรณากร สองท่านนี้จึงได้รวมกันเขียนหนังสือเรื่องการปกครองท้องถิ่นแบบเทศบาลออกมาเผยแพร่ จากนักปกครองสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระยาสุนทรพิพิธย้ายจากต่างจังหวัดเข้ามาเป็นข้าหลวงประจำจังหวัดพระนครธนบุรี ในเดือนมีนาคม ปี 2476 ดังนั้นท่านจึงยังเป็นนักปกครองอยู่ได้ด้วยดี ถึงปี 2478 ขึ้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาดไทย อันเป็นกรมสำคัญที่สุดของกระทรวง ตอนนั้นพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้นถึงสมัยหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ปี 2482 พระยาสุนทรพิพิธก็ได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ท่านเป็นปลัดกระทรวงอยู่ได้สักสองปี ไทยก็เข้าอยู่ในภาวะสงคราม ภายใต้การนำของนายกฯหลวงพิบูลฯ งานช่วงนั้นจึงเป็นงานที่ยุ่งยากมาก ผ่านมาจนเสร็จสิ้นสงคราม ท่านจึงลาออกจากราชการเพื่อรับบำนาญในปี 2488 ขณะที่มีอายุได้ 54 ปี แม้ยังไม่ถึงเวลาเกษียณราชการ ทั้งนี้เข้าใจว่าท่านเตรียมเดินทางเข้าสู่การเมือง เพราะจะมีการเลือกตั้งครั้งแรกในเวลา 9 ปี เป็นการเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม ปี 2489 ท่านเจ้าคุณลงเลือกตั้งที่จังหวัดพิษณุโลก เมืองที่ท่านเคยเป็นข้าหลวงมาหลายปี ผลงานดีท่านจึงได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดนี้ และได้ร่วมรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ครั้นถึงปี 2490 ท่านได้ร่วมรัฐบาลหลวงธำรงฯเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ท่านเป็นปลัดกระทรวงอยู่ได้สักสองปี ไทยก็เข้าอยู่ในภาวะสงคราม ภายใต้การนำของนายกฯ หลวงพิบูลฯ งานช่วงนั้นจึงเป็นงานที่ยุ่งยากมาก ผ่านมาจนเสร็จสิ้นสงคราม ท่านจึงลาออกจากราชการเพื่อรับบำนาญในปี 2488 ขณะที่มีอายุได้ 54 ปี แม้ยังไม่ถึงเวลาเกษียณราชการ ทั้งนี้เข้าใจว่าท่านเตรียมเดินทางเข้าสู่การเมือง เพราะจะมีการเลือกตั้งครั้งแรกในเวลา 9 ปี เป็นการเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม ปี 2489 ท่านเจ้าคุณลงเลือกตั้งที่จังหวัดพิษณุโลก เมืองที่ท่านเคยเป็นข้าหลวงมาหลายปี ผลงานดีท่านจึงได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดนี้ และได้ร่วมรัฐบาล[[ปรีดี_พนมยงค์|นายปรีดี พนมยงค์]] เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ครั้นถึงปี 2490 ท่านได้ร่วมรัฐบาลหลวงธำรงฯเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; หลังการรัฐประหารปี 2490 แล้ว ท่านจึงเว้นว่างจากวงการเมืองไปเป็นเวลากว่าทศวรรษ จนเมื่อจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจครั้งที่ 2 และตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น พระยาสุนทรพิพิธได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างฯด้วยในปี 2502 อีกปีถัดมาท่านจึงได้เริ่มงานใหม่คู่กันไปด้วย คือไปเป็นอาจารย์ประจำที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะท่านเป็นผู้บรรยายทั้งในกระทรวงมหาดไทย และที่มหาวิทยาลัยมาก่อนแล้ว เช่น วิชากฎหมายเลือกตั้ง หลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2511 ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วยในปี 2511
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; หลังการรัฐประหารปี 2490 แล้ว ท่านจึงเว้นว่างจากวงการเมืองไปเป็นเวลากว่าทศวรรษ จนเมื่อ[[จอมพล_สฤษดิ์_ธนะรัชต์]] ยึดอำนาจครั้งที่ 2 และตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น พระยาสุนทรพิพิธได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างฯด้วยในปี 2502 อีกปีถัดมาท่านจึงได้เริ่มงานใหม่คู่กันไปด้วย คือไปเป็นอาจารย์ประจำที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะท่านเป็นผู้บรรยายทั้งในกระทรวงมหาดไทย และที่มหาวิทยาลัยมาก่อนแล้ว เช่น วิชากฎหมายเลือกตั้ง หลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2511 ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็น[[สมาชิกวุฒิสภา]]ด้วยในปี 2511


&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระยาสุนทรพิพิธ เป็นสมาชิกวุฒิสภาจนถึงวันที่[[ถนอม_กิตติขจร|จอมพล ถนอม กิตติขจร]] ยึดอำนาจในปี 2514 จากนั้นท่านก็ออกไปเป็นผู้ดูการเมืองอยู่นอกวง จนถึงแก่อนิจกรรมในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2516
&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; พระยาสุนทรพิพิธ เป็นสมาชิกวุฒิสภาจนถึงวันที่[[ถนอม_กิตติขจร|จอมพล ถนอม กิตติขจร]] ยึดอำนาจในปี 2514 จากนั้นท่านก็ออกไปเป็นผู้ดูการเมืองอยู่นอกวง จนถึงแก่อนิจกรรมในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2516

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 10:55, 26 พฤศจิกายน 2561

ผู้เขียน : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


พระยาสุนทรพิพิธ : นักปกครองสองยุค


          กล่าวชื่อ “เจ้าคุณสุนทรพิพิธ” ผู้คนในแวดวงนักปกครอง ที่กระทรวงมหาดไทยรุ่นเก่าจะรู้จักทั้งชื่อเสียงและเกียรติคุณเป็นอย่างดี ท่านเจ้าคุณสุนทรท่านนี้เป็นพระยาและเจ้าเมืองตั้งแต่ยังหนุ่มมาก อายุเพียง 30 เท่านั้นเอง   นั่นคือในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ท่านยังอยู่ในราชการต่อมา จนได้ตำแหน่งสูงสุดของข้าราชการประจำเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย และเมื่อลงเล่นการเมืองก็ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎร ต่อมาก็ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

          พระยาสุนทรพิพิธ เป็นคนเมืองธนบุรีนี่เอง บิดาชื่อ แพ และมารดาชื่อ หุ่น ท่านเกิดที่บ้าน คลองบางสะแก ตำบลตลาดพลู ฝั่งธนบุรี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ปี 2434 มีชื่อเดิมว่า เชย สกุล มัฆวิบูลย์ ถึงวัยเรียนจึงได้เริ่มเรียนที่วัดบางสะแกนอก จากนั้นจึงข้ามฝั่งแม่น้ำมาเรียนที่โรงเรียนวัดบพิตรพิมุข แล้วย้ายข้ามกลับไปศึกษาต่อที่วัดนวลนรดิศจนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 แล้วจึงได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ได้เข้าโรงเรียนมหาดเล็กหลวง เรียนจบได้ประกาศนียบัตรวิชารัฏฐประศาสน์ ขณะที่มีอายุได้ 18 ปี จากนั้นจึงได้เริ่มทำงานไปฝึกหัดราชการที่อำเภอเมืองสงขลา ท่านคงทำงานดี เมื่อนายย้ายไปเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอีสาน นายจึงขอตัวไปทำงานด้วย และได้ตำแหน่งเป็นเลขานุการมณฑลตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี สำหรับบรรดาศักดิ์นั้น ในปีถัดมาท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนศุภกิจวิเลขการ อีกสองปีต่อมาคือปี 2456 ท่านได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงในนามเดิม และได้ตำแหน่งเป็นปลัดจังหวัดขุขันธ์ (ศรีษะเกษ) ตอนนั้นอายุได้ 22 ปี ได้สมรสกับ นางสาวประยูร เศวตเลข งานในกระทรวงมหาดไทยของท่านได้เจริญมาด้วยดี อายุเพียง 25 ปีก็ได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว โดยได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ถึงปี 2462 จึงได้ย้ายไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ จนปี 2464 ในวันที่ 30 ธันวาคม ท่านได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสุนทรพิพิธ นับว่าเป็นพระยาที่หนุ่มมากอายุเพียง 30 ปี

          ในช่วงเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้ทดลองตั้งเมืองจำลองชื่อ “ดุสิตธานี” จัดทดลองให้หัดมีการบริหารแบบเทศบาล ที่น่าจะจำลองมาจากแบบของอังกฤษ ให้มีชาวเมืองคือเจ้าของบ้าน ให้เลือกผู้บริหารเมือง ฝึกกันที่เมืองจำลองสักช่วงเวลาหนึ่ง ทรงเห็นว่ารู้เรื่องกันพอสมควรแล้ว ก็ขอมหาดไทยที่จะขอตัวพระยาสุนทรพิพิธ เจ้าเมืองนครสวรรค์ มาเป็นหัวหน้าผู้บริหารท้องถิ่นคนแรกอย่างจริงจังที่เมืองสมุทรสาคร อันเป็นที่ตั้งของสุขาภิบาลท่าฉลอม ที่พระราชบิดาของท่านได้ทดลองตั้งขึ้นมาก่อนหน้านั้น ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทยก็ยอม และได้ย้ายพระยาสุนทรพิพิธมาเตรียมการที่จะบริหารท้องถิ่นที่สมุทรสาคร แต่ยังไม่ทันตั้งได้เรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต

          พระยาสุนทรพิพิธ ได้เคยเล่าเรื่องนี้ไว้บ้าง จะขอยกความตอนหนึ่งมาให้อ่าน อันแสดงถึงงานที่จะต้องทำในตอนนั้น

          “ฉะนั้นหน้าที่ของข้าพเจ้าในชั้นต้นก็คือ การร่วมเป็นกรรมการพิจารณาจัดร่างธรรมนูญการปกครอง และระเบียบแบบแผนที่จะต้องใช้ในการนี้ อีกประการหนึ่งก็คือ ข้าพเจ้าจะต้องศึกษาระบบ Municipality ของอังกฤษ โดยให้ไปติดต่อปรึกษาหารือกับหม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ ซึ่งเป็นกรรมการในเรื่องนี้ด้วยผู้หนึ่ง ...”

          ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว เมื่อมีการเสนอความคิดเรื่องการบริหารเทศบาล พระยาสุนทรพิพิธและม.จ.สกลวรรณากร สองท่านนี้จึงได้รวมกันเขียนหนังสือเรื่องการปกครองท้องถิ่นแบบเทศบาลออกมาเผยแพร่ จากนักปกครองสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระยาสุนทรพิพิธย้ายจากต่างจังหวัดเข้ามาเป็นข้าหลวงประจำจังหวัดพระนครธนบุรี ในเดือนมีนาคม ปี 2476 ดังนั้นท่านจึงยังเป็นนักปกครองอยู่ได้ด้วยดี ถึงปี 2478 ขึ้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาดไทย อันเป็นกรมสำคัญที่สุดของกระทรวง ตอนนั้นพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้นถึงสมัยหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ปี 2482 พระยาสุนทรพิพิธก็ได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย

          ท่านเป็นปลัดกระทรวงอยู่ได้สักสองปี ไทยก็เข้าอยู่ในภาวะสงคราม ภายใต้การนำของนายกฯ หลวงพิบูลฯ งานช่วงนั้นจึงเป็นงานที่ยุ่งยากมาก ผ่านมาจนเสร็จสิ้นสงคราม ท่านจึงลาออกจากราชการเพื่อรับบำนาญในปี 2488 ขณะที่มีอายุได้ 54 ปี แม้ยังไม่ถึงเวลาเกษียณราชการ ทั้งนี้เข้าใจว่าท่านเตรียมเดินทางเข้าสู่การเมือง เพราะจะมีการเลือกตั้งครั้งแรกในเวลา 9 ปี เป็นการเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม ปี 2489 ท่านเจ้าคุณลงเลือกตั้งที่จังหวัดพิษณุโลก เมืองที่ท่านเคยเป็นข้าหลวงมาหลายปี ผลงานดีท่านจึงได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดนี้ และได้ร่วมรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ครั้นถึงปี 2490 ท่านได้ร่วมรัฐบาลหลวงธำรงฯเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย

          หลังการรัฐประหารปี 2490 แล้ว ท่านจึงเว้นว่างจากวงการเมืองไปเป็นเวลากว่าทศวรรษ จนเมื่อจอมพล_สฤษดิ์_ธนะรัชต์ ยึดอำนาจครั้งที่ 2 และตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น พระยาสุนทรพิพิธได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างฯด้วยในปี 2502 อีกปีถัดมาท่านจึงได้เริ่มงานใหม่คู่กันไปด้วย คือไปเป็นอาจารย์ประจำที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะท่านเป็นผู้บรรยายทั้งในกระทรวงมหาดไทย และที่มหาวิทยาลัยมาก่อนแล้ว เช่น วิชากฎหมายเลือกตั้ง หลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2511 ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วยในปี 2511

          พระยาสุนทรพิพิธ เป็นสมาชิกวุฒิสภาจนถึงวันที่จอมพล ถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจในปี 2514 จากนั้นท่านก็ออกไปเป็นผู้ดูการเมืองอยู่นอกวง จนถึงแก่อนิจกรรมในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2516