ผลต่างระหว่างรุ่นของ "หัวเมืองฝ่ายเหนือ"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 4: | บรรทัดที่ 4: | ||
---- | ---- | ||
หัวเมืองฝ่ายเหนือหมายถึงดินแดนทางเหนือที่เคยเป็นอาณาจักรล้านนา อยู่ระหว่างแม่น้ำสาละวินถึงลุ่มแม่น้ำโขง มีเมืองสำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แพร่ น่าน ลำปางและแม่ฮ่องสอน หัวเมืองเหล่านี้เคยเป็นนครรัฐอิสระและตกเป็นประเทศราชของไทยและพม่าสลับกันไปมา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นหัวเมืองเหนือตกเป็นประเทศราชของไทยอย่างเด็ดขาดต้องถวายต้องส่งเครื่องราชบรรณาการต้นไม้เงินต้นไม้ทองทุกๆ 3 ปี | หัวเมืองฝ่ายเหนือหมายถึงดินแดนทางเหนือที่เคยเป็นอาณาจักรล้านนา อยู่ระหว่างแม่น้ำสาละวินถึงลุ่มแม่น้ำโขง มีเมืองสำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แพร่ น่าน ลำปางและแม่ฮ่องสอน<ref>กรมพระยาดำรงราชานุภาพและพระยาราชเสนา.เทศาภิบาล.(พระนคร : คลังวิทยา.2495) ,หน้า 63.</ref> หัวเมืองเหล่านี้เคยเป็นนครรัฐอิสระและตกเป็นประเทศราชของไทยและพม่าสลับกันไปมา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นหัวเมืองเหนือตกเป็นประเทศราชของไทยอย่างเด็ดขาดต้องถวายต้องส่งเครื่องราชบรรณาการต้นไม้เงินต้นไม้ทองทุกๆ 3 ปี<ref>ชวลีย์ ณ ถลาง.ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.(กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.2541) ,หน้า 47. </ref> ต่อมาเมื่ออังกฤษได้ขยายอิทธิพลเข้ามาในหัวเมืองฝ่ายเหนือ [[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงโปรดให้รวมนครเชียงใหม่,นครน่าน,นครลำปาง,นครลำพูน,แพร่,เถิน เข้าเป็นมณฑลลาวเฉียง มีศูนย์กลางอยู่ที่นครเชียงใหม่ และส่งข้าหลวงไปประจำ<ref>จักรกฤษณ์ นรนิติผดุงการ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับกระทรวงมหาดไทย.(กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มติชน ,2545 ),หน้า 187. </ref> หลัง พ.ศ.2437 เมื่อมีการปฏิรูปการปกครอง หัวเมืองเหนือเล่านี้กลายเป็นเมืองภายใต้มณฑลพายัพและสิ้นสุดความเป็นนครรัฐอิสระ | ||
==ความสำคัญ== | ==ความสำคัญ== | ||
ในปลายพุทธศตวรรษที่ 20 สถานะของหัวเมืองฝ่ายเหนือ เช่น นครเชียงใหม่, นครน่าน, นครลำปาง, นครลำพูน, แพร่, เถิน ยังเป็นนครรัฐอิสระปกครองตนเอง แม้ว่าขณะนั้นกรุงศรีอยุธยาจะมีความเข้มแข็งและรวบรวมสุโขทัยไว้ในอำนาจได้ | ในปลายพุทธศตวรรษที่ 20 สถานะของหัวเมืองฝ่ายเหนือ เช่น นครเชียงใหม่, นครน่าน, นครลำปาง, นครลำพูน, แพร่, เถิน ยังเป็นนครรัฐอิสระปกครองตนเอง แม้ว่าขณะนั้นกรุงศรีอยุธยาจะมีความเข้มแข็งและรวบรวมสุโขทัยไว้ในอำนาจได้<ref>ชวลีย์ ณ ถลาง.ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,หน้า 42. </ref> | ||
สงครามระหว่างเชียงใหม่กับอยุธยาเกิดขึ้นใน พ.ศ.1993 เมื่อพระยายุททธิษเฐียร เจ้าเมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นเมืองพระยามหานครของอยุธยาไปสวามิภักดิ์กับพระจ้าติโลกราช ผู้ครองนครเชียงใหม่และนำทัพเชียงใหม่มาตีหัวเมืองของอยุธยา | สงครามระหว่างเชียงใหม่กับอยุธยาเกิดขึ้นใน พ.ศ.1993 เมื่อพระยายุททธิษเฐียร เจ้าเมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นเมืองพระยามหานครของอยุธยาไปสวามิภักดิ์กับพระจ้าติโลกราช ผู้ครองนครเชียงใหม่และนำทัพเชียงใหม่มาตีหัวเมืองของอยุธยา [[สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ]]จึงทรงนำทัพเข้าขับไล่<ref>รอง สยามานนท์,ดำเนิร เลขะกุล,วิลาสวงค์ นพรัตน์,ประวัติศาสตร์สยามสมัยกรุงศรีอยุธยา : แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ถึงแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พระนคร: คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2513) ,หน้า 64-65. </ref> หลังจากนั้นก็มีศึกสงครามอีกหลายครั้งโดยเป็นการแย่งดินแดนที่เป็นรอยต่อของอำนาจทั้งสองอาณาจักร เช่น สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร จนมีการทำสัญญาพระราชไมตรีใน พ.ศ.2018<ref>ชวลีย์ ณ ถลาง.ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า 44. </ref> | ||
ด้วยภูมิรัฐศาสตร์ของล้านนาตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างอยุธยาและพม่า ทำให้อยุธยาและพม่าต่างต้องการขยายอำนาจเข้าครอบครองล้านนา สำหรับอยุธยา ล้านนาคือเมืองหน้าด่านสำหรับรับศึกพม่า สำหรับพม่า ล้านนาคือเมืองที่เป็นแหล่งเสบียงอาหารสำหรับการทำศึกกับอยุธยา | ด้วยภูมิรัฐศาสตร์ของล้านนาตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างอยุธยาและพม่า ทำให้อยุธยาและพม่าต่างต้องการขยายอำนาจเข้าครอบครองล้านนา สำหรับอยุธยา ล้านนาคือเมืองหน้าด่านสำหรับรับศึกพม่า สำหรับพม่า ล้านนาคือเมืองที่เป็นแหล่งเสบียงอาหารสำหรับการทำศึกกับอยุธยา | ||
ล้านนาตกเป็นประเทศราชของพม่าในพ.ศ.2101สมัยพระเจ้าบุเรงนอง พม่าต้องการใช้เชียงใหม่เป็นแหล่งเสบียงอาหาร สัตว์พาหนะและไพร่พลสำหรับการขยายอาณาเขตเข้ามายังลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยใช้เชียงใหม่เป็นฐาน ภายหลังอยุธยาตกเป็นประเทศราชของพม่าใน พ.ศ.2112 พม่าเข้าควบคุมเชียงใหม่ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยการส่ง มังซานรธามังคุย พระราชโอรสของบุเรงนองเข้าครองเมืองเชียงใหม่ | ล้านนาตกเป็นประเทศราชของพม่าในพ.ศ.2101สมัยพระเจ้าบุเรงนอง พม่าต้องการใช้เชียงใหม่เป็นแหล่งเสบียงอาหาร สัตว์พาหนะและไพร่พลสำหรับการขยายอาณาเขตเข้ามายังลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยใช้เชียงใหม่เป็นฐาน ภายหลังอยุธยาตกเป็นประเทศราชของพม่าใน พ.ศ.2112 พม่าเข้าควบคุมเชียงใหม่ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยการส่ง มังซานรธามังคุย พระราชโอรสของบุเรงนองเข้าครองเมืองเชียงใหม่<ref>เพิ่งอ้าง, หน้า 7. </ref> | ||
จนถึงรัชสมัย[[สมเด็จพระนเรศวรมหาราช]] หัวเมืองฝ่ายเหนือจึงตกอยู่ในฐานะ[[เมืองประเทศราช]]ของอยุธยา ตามหลักฐานระบุว่าในปี 2128 พระเจ้าเชียงใหม่ได้ส่งพระราชสาส์นเชิญเครื่องราชบรรณาการมาเจริญพระราชไมตรี และใน พ.ศ.2142 ได้ถวาย[[น้ำพระพิพัฒน์สัจจา]]สาบานว่าจะซื่อตรงและจงรักภักดีต่ออยุธยา<ref>กรมศิลปากร, คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัด และพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์.(พระนคร : คลังวิทยา, 2515), หน้า 152. </ref> อย่างไรก็ตามระหว่างต้นพุทธศตวรรษที่ 22 ถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 23 ล้านนาตกอยู่ใต้อำนาจของพม่าเป็นส่วนใหญ่ อยุธยามีอำนาจในระยะเวลาสั้นๆ เช่น ในระหว่าง พ.ศ. 2158 – 2201 ตกเป็นประเทศราชของพม่า ระหว่าง พ.ศ.2205 – 2215 เป็นประเทศราชของไทย จากนั้นตกเป็นประเทศราชของพม่าตราบจนเสียงกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง | |||
ในสมัยธนบุรี | ในสมัยธนบุรี หัวเมืองฝ่ายเหนือยอมสวามิภักดิ์ต่อ[[พระเจ้ากรุงธนบุรี]]หลังจากที่ขับไล่พม่าออกจากหัวเมืองฝ่ายเหนือในพ.ศ.2317 พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแต่งตั้งพระยาเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง โดยมอบอาญาสิทธิ์ คือมีอำนาจในการปกครองดินแดนนั้นๆตลอดจนมีอำนาจในการประหารชีวิต<ref>ชวลีย์ ณ ถลาง. ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า 45. </ref> รวมถึงเมืองแพร่และน่านที่ยอมรับในอำนาจการปกครองของกรุงธนบุรี แต่หลังจากนั้นพม่าก็ยกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือได้อีก | ||
ถึงกรุงรัตนโกสินทร์ หัวเมืองฝ่ายเหนือตกเป็นประเทศราชของไทยอีกครั้งหลังจากอิทธิพลของพม่าอ่อนแอลง แต่กรุงเทพฯได้ให้อิสระแก่บรรดาหัวเมืองประเทศราชฝ่ายเหนืออย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการปกครอง เศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยกรุงเทพฯไม่เคยส่งข้าราชการเข้ามาควบคุมหัวเมืองฝ่ายเหนือเลย จนกล่าวได้ว่าในรัชสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หัวเมืองฝ่ายเหนือเป็นนครรัฐอิสระ มีการส่งเครื่องราชบรรณาการทุก 3 ปี และส่งส่วยอันได้แก่ของมีค่า เช่น ไม้สัก งาช้าง น้ำรัก ฯลฯ มาถวายทุกปี จัดของถวายเนื่องในโอกาสสำคัญๆเช่น งานพระบรมศพพระมหากษัตริย์สยาม เป็นต้น รวมถึงการเกณฑ์ไพร่พลเมื่อมีศึกสงคราม | ถึงกรุงรัตนโกสินทร์ หัวเมืองฝ่ายเหนือตกเป็นประเทศราชของไทยอีกครั้งหลังจากอิทธิพลของพม่าอ่อนแอลง แต่กรุงเทพฯได้ให้อิสระแก่บรรดาหัวเมืองประเทศราชฝ่ายเหนืออย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการปกครอง เศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยกรุงเทพฯไม่เคยส่งข้าราชการเข้ามาควบคุมหัวเมืองฝ่ายเหนือเลย จนกล่าวได้ว่าในรัชสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หัวเมืองฝ่ายเหนือเป็นนครรัฐอิสระ มีการส่งเครื่องราชบรรณาการทุก 3 ปี และส่งส่วยอันได้แก่ของมีค่า เช่น ไม้สัก งาช้าง น้ำรัก ฯลฯ มาถวายทุกปี จัดของถวายเนื่องในโอกาสสำคัญๆเช่น งานพระบรมศพพระมหากษัตริย์สยาม เป็นต้น รวมถึงการเกณฑ์ไพร่พลเมื่อมีศึกสงคราม<ref>เพิ่งอ้าง, หน้า 47. </ref> | ||
==การปกครองของหัวเมืองฝ่ายเหนือ== | ==การปกครองของหัวเมืองฝ่ายเหนือ== | ||
การปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ คือ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน ต่างมีฐานะที่เท่าเทียมกัน เพราะรัฐบาลที่กรุงเทพฯได้แต่งตั้งเจ้าผู้ครองเมืองให้มีศักดิ์เป็นพระยาตลอดจนตำแหน่งต่างๆเสมอกันทั้งหมด แต่เมืองเชียงใหม่จะมีอำนาจเหนือลำปางและลำพูน | การปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ คือ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน ต่างมีฐานะที่เท่าเทียมกัน เพราะรัฐบาลที่กรุงเทพฯได้แต่งตั้งเจ้าผู้ครองเมืองให้มีศักดิ์เป็นพระยาตลอดจนตำแหน่งต่างๆเสมอกันทั้งหมด แต่เมืองเชียงใหม่จะมีอำนาจเหนือลำปางและลำพูน ตั้งแต่รัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก]]เป็นต้นมา ในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ได้มอบอำนาจให้เชียงใหม่มีอำนาจในการแต่งตั้งเจ้าผู้ครองเมืองลำปางและลำพูน ดังปรากฏในจดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 จ.ศ.1209<ref>เพิ่งอ้าง, หน้า 10. </ref> | ||
หัวเมืองฝ่ายเหนือจะมีโครงสร้างการปกครองที่คล้ายกัน อำนาจในการปกครองเป็นของเจ้าผู้ครองเมืองและมีผู้ช่วยอีก 4 ตำแหน่ง คือ พระยาอุปราช พระราชบุตร พระยาราชวงศ์และพระยาเมืองแก้วหรือพระยาบุรีรัตน์ รวมกับตำแหน่งพระยาเมืองจะรวมเรียกว่า เจ้าขัน 5 ใบ | หัวเมืองฝ่ายเหนือจะมีโครงสร้างการปกครองที่คล้ายกัน อำนาจในการปกครองเป็นของเจ้าผู้ครองเมืองและมีผู้ช่วยอีก 4 ตำแหน่ง คือ พระยาอุปราช พระราชบุตร พระยาราชวงศ์และพระยาเมืองแก้วหรือพระยาบุรีรัตน์ รวมกับตำแหน่งพระยาเมืองจะรวมเรียกว่า เจ้าขัน 5 ใบ ในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]]ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้แต่งตั้งอีก 3 ตำแหน่งคือเจ้าราชภาคิไนย พระยาอุดรการโกศลและพระยาไชยสงคราม ต่อมาในรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] โปรดเกล้าฯให้แต่งตั้งเพิ่มอีก 3 ตำแหน่งคือ เจ้าราชภาติกวงศ์ เจ้าราชสัมพันธวงศ์และเจ้าสุริยวงศ์ และในพ.ศ.2438 โปรดเกล้าแต่งตั้งเพิ่มอีก 6 ตำแหน่งคือ เจ้าทักษิณนิเกตน์ เจ้านิเวศอุดร เจ้าประพันธพงษ์ เจ้าวรญาติ เจ้าราชญาติและเจ้าไชยวรเชษฐ์<ref>พระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น) .พงศาวดารเมืองนครเชียงใหม่ เมืองลำปาง เมืองลำพูนไชย. (พระนคร: กรมศิลปากร, 2505),หน้า 21. </ref> | ||
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สยามกำลังถูกคุกคามจาก[[ลัทธิล่าอาณานิคม]] เพื่อเป็นการผูกใจ ได้ทรงยกตำแหน่งเจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูนและน่าน ให้มีตำแหน่งเป็นเจ้าใน พ.ศ.2399 ยกเว้นเมืองแพร่เพราะเจ้าผู้ครองเมืองมิได้ลงไปเฝ้าเมื่อมีพิธีราชาภิเษก<ref>ชวลีย์ ณ ถลาง. ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า 10. </ref> | ||
เจ้าผู้ครองเมืองจะมีเจ้านายฝ่ายเหนืออีก 32 คน เรียกว่า “เค้าสนามหลวง” ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน | เจ้าผู้ครองเมืองจะมีเจ้านายฝ่ายเหนืออีก 32 คน เรียกว่า “เค้าสนามหลวง” ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน | ||
บรรทัดที่ 34: | บรรทัดที่ 34: | ||
==รายได้ของหัวเมืองฝ่ายเหนือ== | ==รายได้ของหัวเมืองฝ่ายเหนือ== | ||
เจ้าผู้ครองหัวเมืองฝ่ายเหนือจะมีรายได้ที่สำคัญดังนี้ | เจ้าผู้ครองหัวเมืองฝ่ายเหนือจะมีรายได้ที่สำคัญดังนี้<ref>เพิ่งอ้าง, หน้า 14. </ref> | ||
(1) รายได้จากภาษีอากร ซึ่งอยู่ในรูปของเงินหรือผลิตผล เช่น ข้าว | (1) รายได้จากภาษีอากร ซึ่งอยู่ในรูปของเงินหรือผลิตผล เช่น ข้าว | ||
บรรทัดที่ 50: | บรรทัดที่ 50: | ||
'''การปฏิรูปการปกครองฝ่ายเหนือ''' | '''การปฏิรูปการปกครองฝ่ายเหนือ''' | ||
หลังจากที่สยามลงนามใน[[สนธิสัญญาเบาวริ่ง]]ใน พ.ศ.2398 อังกฤษได้เข้ามาทำการค้ากับสยามมากขึ้น สินค้าที่อังกฤษมีความต้องการคือ ไม้สัก ในสมัยพระเจ้ากาวิโลรส ได้มีคนในบังคับอังกฤษเข้ามาทำไม้ในเขตเชียงใหม่เป็นจำนวนมาก และเกิดการทะเลาะแก่งแยกผลประโยชน์ระหว่างคนในบังคับอังกฤษกับบรรดาเจ้านายและเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ กรณีพิพาทได้ลุกลามมาถึงกรุงเทพฯตั้งแต่ปลายรัชสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและยืดเยื้อมาถึงรัชสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | |||
จากสภาพปัญหาดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยที่จะแก้ไขปัญหาก่อนที่อังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจจะเข้ามาแทรกแซงจนเป็นปัญหาใหญ่ต่อไป ทรงส่งข้าหลวงต่างพระองค์ไปทำหน้าที่ชำระคดีความระหว่างคนในบังคับอังกฤษกับเจ้านายฝ่ายเหนือ ต่อมาโปรดให้รวม นครเชียงใหม่, นครน่าน, นครลำปาง, นครลำพูน, แพร่, เถิน เข้าเป็นมณฑลลาวเฉียง และทรงแต่งตั้งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิชิตปรีชากร เป็นข้าหลวงต่างพระองค์ประจำนครเชียงใหม่ ใน พ.ศ.2427 | จากสภาพปัญหาดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยที่จะแก้ไขปัญหาก่อนที่อังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจจะเข้ามาแทรกแซงจนเป็นปัญหาใหญ่ต่อไป ทรงส่งข้าหลวงต่างพระองค์ไปทำหน้าที่ชำระคดีความระหว่างคนในบังคับอังกฤษกับเจ้านายฝ่ายเหนือ ต่อมาโปรดให้รวม นครเชียงใหม่, นครน่าน, นครลำปาง, นครลำพูน, แพร่, เถิน เข้าเป็นมณฑลลาวเฉียง และทรงแต่งตั้งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิชิตปรีชากร เป็นข้าหลวงต่างพระองค์ประจำนครเชียงใหม่ ใน พ.ศ.2427<ref>ธันยวัฒน์ รัตนสัค, การบริหารราชการไทย,(เชียงใหม่ : สำนักวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555) ,หน้า 78-79. </ref> | ||
ต่อมาทรงมีพระราชดำริในการปฏิรูปการปกครองโดยเฉพาะการปฏิรูปหัวเมือง | ต่อมาทรงมีพระราชดำริในการปฏิรูปการปกครองโดยเฉพาะการปฏิรูปหัวเมือง โดยได้พระราชทานพระบรมราโชบายแก่[[กระทรวงมหาดไทย]] เพื่อเป็นแนวทาง[[การจัดการปกครองหัวเมือง]]ให้เรียบร้อยได้แก่ | ||
ข้อแรกคือ การยุบประเทศราชให้มาเป็นเมืองในพระราชอาณาเขต เพื่อเสริมสร้างเอกภาพของชาติ (Nation unity) ให้มั่นคงโดยมุ่งที่จะขจัดความแตกแยกของชนชาติต่างๆ ภายในราอาณาจักรให้หมดสิ้นไป | ข้อแรกคือ การยุบประเทศราชให้มาเป็นเมืองในพระราชอาณาเขต เพื่อเสริมสร้างเอกภาพของชาติ (Nation unity) ให้มั่นคงโดยมุ่งที่จะขจัดความแตกแยกของชนชาติต่างๆ ภายในราอาณาจักรให้หมดสิ้นไป | ||
ข้อที่สอง คือ ต้องการรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองมาไว้ที่กระทรวงมหาดไทยแต่เพียงแห่งเดียว | ข้อที่สอง คือ ต้องการรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองมาไว้ที่กระทรวงมหาดไทยแต่เพียงแห่งเดียว โดยต้องการที่จะ[[รวมอำนาจ]] (Centralization) เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่เอกภาพของชาติตามพระบรมราชประสงค์ข้อแรก และยังมุ่งที่จะจัดสรรราชการให้มีเอกภาพในการบังคับบัญชา (unity of command) เพื่อให้[[การบริหารราชการแผ่นดิน]]ระเบียบแบบแผนเดียวกัน | ||
ข้อที่สาม ได้แก่ เพื่อที่จะจัดการปกครองแบบรวมอำนาจนั้น | ข้อที่สาม ได้แก่ เพื่อที่จะจัดการปกครองแบบรวมอำนาจนั้น จำเป็นต้องใช้รูป[[การปกครองส่วนภูมิภาคแบบมัธยนุภาพ]] (Administrative deconcentration) คือ ให้มีที่ทำงานส่วนภูมิภาค (filed offices) เป็นสาขาของกระทรวงของนครหลวง และวิธีการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกใช้ในการจัดตั้งส่วนราชการบริหารตามภูมิภาคนี้ก็คือ ระบบการ[[เทศาภิบาล]] ซึ่งเป็นแบบแผนที่อังกฤษใช้ในพม่าและมลายูอยู่ในขณะนั้น เพื่อที่จะได้เป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพในการควบคุมหัวเมืองต่างๆ ซึ่งจะสร้างเอกภาพให้แก่ประเทศได้<ref>จักรกฤษณ์ นรนิติผดุงการ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับกระทรวงมหาดไทย , หน้า 95. </ref> | ||
พ.ศ.2437 ทรงยกเลิกการจัดการปกครองหัวเมืองเป็นเมืองประเทศราช หัวเมืองชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี | พ.ศ.2437 ทรงยกเลิกการจัดการปกครองหัวเมืองเป็นเมืองประเทศราช หัวเมืองชั้นเอก [[ชั้นโท]] [[ชั้นตรี]] [[ชั้นจัตวา]]แล้วใช้การปกครองระบบเทศาภิบาลแทน โดยแบ่งการจัดการปกครองออกเป็น มณฑล เมือง อำเภอ ในแต่ละมณฑลจะมี “[[ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑล]]” หรือ “[[ข้าหลวงใหญ่]]” (ต่อมาเรียกว่าผู้บัญชาการมณฑล) ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคัดเลือกจากผู้ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ปฏิบัติงานต่างพระเนตรพระกรรณ | ||
หัวเมืองฝ่ายเหนือจึงสิ้นสุดความเป็นประเทศราชหรือนครรัฐอิสระที่ยอมรับในอำนาจของ[[ส่วนกลาง]]แต่มีสิทธิปกครองตนเอง กลายเป็นเมืองในมณฑลพายัพ | |||
==อ้างอิง== | |||
<references/> | |||
==บรรณานุกรม== | ==บรรณานุกรม== |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 14:46, 7 ธันวาคม 2557
เรียบเรียงโดย : อาจารย์บุญยเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.ปธาน สุวรรณมงคล
หัวเมืองฝ่ายเหนือหมายถึงดินแดนทางเหนือที่เคยเป็นอาณาจักรล้านนา อยู่ระหว่างแม่น้ำสาละวินถึงลุ่มแม่น้ำโขง มีเมืองสำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แพร่ น่าน ลำปางและแม่ฮ่องสอน[1] หัวเมืองเหล่านี้เคยเป็นนครรัฐอิสระและตกเป็นประเทศราชของไทยและพม่าสลับกันไปมา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นหัวเมืองเหนือตกเป็นประเทศราชของไทยอย่างเด็ดขาดต้องถวายต้องส่งเครื่องราชบรรณาการต้นไม้เงินต้นไม้ทองทุกๆ 3 ปี[2] ต่อมาเมื่ออังกฤษได้ขยายอิทธิพลเข้ามาในหัวเมืองฝ่ายเหนือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้รวมนครเชียงใหม่,นครน่าน,นครลำปาง,นครลำพูน,แพร่,เถิน เข้าเป็นมณฑลลาวเฉียง มีศูนย์กลางอยู่ที่นครเชียงใหม่ และส่งข้าหลวงไปประจำ[3] หลัง พ.ศ.2437 เมื่อมีการปฏิรูปการปกครอง หัวเมืองเหนือเล่านี้กลายเป็นเมืองภายใต้มณฑลพายัพและสิ้นสุดความเป็นนครรัฐอิสระ
ความสำคัญ
ในปลายพุทธศตวรรษที่ 20 สถานะของหัวเมืองฝ่ายเหนือ เช่น นครเชียงใหม่, นครน่าน, นครลำปาง, นครลำพูน, แพร่, เถิน ยังเป็นนครรัฐอิสระปกครองตนเอง แม้ว่าขณะนั้นกรุงศรีอยุธยาจะมีความเข้มแข็งและรวบรวมสุโขทัยไว้ในอำนาจได้[4]
สงครามระหว่างเชียงใหม่กับอยุธยาเกิดขึ้นใน พ.ศ.1993 เมื่อพระยายุททธิษเฐียร เจ้าเมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นเมืองพระยามหานครของอยุธยาไปสวามิภักดิ์กับพระจ้าติโลกราช ผู้ครองนครเชียงใหม่และนำทัพเชียงใหม่มาตีหัวเมืองของอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงทรงนำทัพเข้าขับไล่[5] หลังจากนั้นก็มีศึกสงครามอีกหลายครั้งโดยเป็นการแย่งดินแดนที่เป็นรอยต่อของอำนาจทั้งสองอาณาจักร เช่น สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร จนมีการทำสัญญาพระราชไมตรีใน พ.ศ.2018[6]
ด้วยภูมิรัฐศาสตร์ของล้านนาตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างอยุธยาและพม่า ทำให้อยุธยาและพม่าต่างต้องการขยายอำนาจเข้าครอบครองล้านนา สำหรับอยุธยา ล้านนาคือเมืองหน้าด่านสำหรับรับศึกพม่า สำหรับพม่า ล้านนาคือเมืองที่เป็นแหล่งเสบียงอาหารสำหรับการทำศึกกับอยุธยา
ล้านนาตกเป็นประเทศราชของพม่าในพ.ศ.2101สมัยพระเจ้าบุเรงนอง พม่าต้องการใช้เชียงใหม่เป็นแหล่งเสบียงอาหาร สัตว์พาหนะและไพร่พลสำหรับการขยายอาณาเขตเข้ามายังลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยใช้เชียงใหม่เป็นฐาน ภายหลังอยุธยาตกเป็นประเทศราชของพม่าใน พ.ศ.2112 พม่าเข้าควบคุมเชียงใหม่ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยการส่ง มังซานรธามังคุย พระราชโอรสของบุเรงนองเข้าครองเมืองเชียงใหม่[7]
จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หัวเมืองฝ่ายเหนือจึงตกอยู่ในฐานะเมืองประเทศราชของอยุธยา ตามหลักฐานระบุว่าในปี 2128 พระเจ้าเชียงใหม่ได้ส่งพระราชสาส์นเชิญเครื่องราชบรรณาการมาเจริญพระราชไมตรี และใน พ.ศ.2142 ได้ถวายน้ำพระพิพัฒน์สัจจาสาบานว่าจะซื่อตรงและจงรักภักดีต่ออยุธยา[8] อย่างไรก็ตามระหว่างต้นพุทธศตวรรษที่ 22 ถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 23 ล้านนาตกอยู่ใต้อำนาจของพม่าเป็นส่วนใหญ่ อยุธยามีอำนาจในระยะเวลาสั้นๆ เช่น ในระหว่าง พ.ศ. 2158 – 2201 ตกเป็นประเทศราชของพม่า ระหว่าง พ.ศ.2205 – 2215 เป็นประเทศราชของไทย จากนั้นตกเป็นประเทศราชของพม่าตราบจนเสียงกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
ในสมัยธนบุรี หัวเมืองฝ่ายเหนือยอมสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้ากรุงธนบุรีหลังจากที่ขับไล่พม่าออกจากหัวเมืองฝ่ายเหนือในพ.ศ.2317 พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแต่งตั้งพระยาเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง โดยมอบอาญาสิทธิ์ คือมีอำนาจในการปกครองดินแดนนั้นๆตลอดจนมีอำนาจในการประหารชีวิต[9] รวมถึงเมืองแพร่และน่านที่ยอมรับในอำนาจการปกครองของกรุงธนบุรี แต่หลังจากนั้นพม่าก็ยกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือได้อีก
ถึงกรุงรัตนโกสินทร์ หัวเมืองฝ่ายเหนือตกเป็นประเทศราชของไทยอีกครั้งหลังจากอิทธิพลของพม่าอ่อนแอลง แต่กรุงเทพฯได้ให้อิสระแก่บรรดาหัวเมืองประเทศราชฝ่ายเหนืออย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการปกครอง เศรษฐกิจและการต่างประเทศ โดยกรุงเทพฯไม่เคยส่งข้าราชการเข้ามาควบคุมหัวเมืองฝ่ายเหนือเลย จนกล่าวได้ว่าในรัชสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หัวเมืองฝ่ายเหนือเป็นนครรัฐอิสระ มีการส่งเครื่องราชบรรณาการทุก 3 ปี และส่งส่วยอันได้แก่ของมีค่า เช่น ไม้สัก งาช้าง น้ำรัก ฯลฯ มาถวายทุกปี จัดของถวายเนื่องในโอกาสสำคัญๆเช่น งานพระบรมศพพระมหากษัตริย์สยาม เป็นต้น รวมถึงการเกณฑ์ไพร่พลเมื่อมีศึกสงคราม[10]
การปกครองของหัวเมืองฝ่ายเหนือ
การปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ คือ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน ต่างมีฐานะที่เท่าเทียมกัน เพราะรัฐบาลที่กรุงเทพฯได้แต่งตั้งเจ้าผู้ครองเมืองให้มีศักดิ์เป็นพระยาตลอดจนตำแหน่งต่างๆเสมอกันทั้งหมด แต่เมืองเชียงใหม่จะมีอำนาจเหนือลำปางและลำพูน ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นต้นมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มอบอำนาจให้เชียงใหม่มีอำนาจในการแต่งตั้งเจ้าผู้ครองเมืองลำปางและลำพูน ดังปรากฏในจดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 จ.ศ.1209[11]
หัวเมืองฝ่ายเหนือจะมีโครงสร้างการปกครองที่คล้ายกัน อำนาจในการปกครองเป็นของเจ้าผู้ครองเมืองและมีผู้ช่วยอีก 4 ตำแหน่ง คือ พระยาอุปราช พระราชบุตร พระยาราชวงศ์และพระยาเมืองแก้วหรือพระยาบุรีรัตน์ รวมกับตำแหน่งพระยาเมืองจะรวมเรียกว่า เจ้าขัน 5 ใบ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้แต่งตั้งอีก 3 ตำแหน่งคือเจ้าราชภาคิไนย พระยาอุดรการโกศลและพระยาไชยสงคราม ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้แต่งตั้งเพิ่มอีก 3 ตำแหน่งคือ เจ้าราชภาติกวงศ์ เจ้าราชสัมพันธวงศ์และเจ้าสุริยวงศ์ และในพ.ศ.2438 โปรดเกล้าแต่งตั้งเพิ่มอีก 6 ตำแหน่งคือ เจ้าทักษิณนิเกตน์ เจ้านิเวศอุดร เจ้าประพันธพงษ์ เจ้าวรญาติ เจ้าราชญาติและเจ้าไชยวรเชษฐ์[12]
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สยามกำลังถูกคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคม เพื่อเป็นการผูกใจ ได้ทรงยกตำแหน่งเจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูนและน่าน ให้มีตำแหน่งเป็นเจ้าใน พ.ศ.2399 ยกเว้นเมืองแพร่เพราะเจ้าผู้ครองเมืองมิได้ลงไปเฝ้าเมื่อมีพิธีราชาภิเษก[13]
เจ้าผู้ครองเมืองจะมีเจ้านายฝ่ายเหนืออีก 32 คน เรียกว่า “เค้าสนามหลวง” ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน
รายได้ของหัวเมืองฝ่ายเหนือ
เจ้าผู้ครองหัวเมืองฝ่ายเหนือจะมีรายได้ที่สำคัญดังนี้[14]
(1) รายได้จากภาษีอากร ซึ่งอยู่ในรูปของเงินหรือผลิตผล เช่น ข้าว
(2) รายได้จากทรัพยากร เช่น แร่ธาตุ สัตว์น้ำ สัตว์ป่า ไม้สัก ซึ่งถือเป็นของหลวง ผู้ที่เก็บได้จะต้องเสียบางส่วนเข้าท้องพระคลัง
(3) รายได้จากการปรับไหม ได้จากการปรับไหมผู้ที่ถูกพิจารณาตัดสินลงโทษโดยการปรับไหม
(4) รายได้จากส่วยไร หรือบรรณาการเมืองขึ้น ซึ่งเจ้าเมืองจะเก็บจากเมืองบริวาร
(5) รายได้จากการทำสงคราม หลังจากที่ส่งกองทัพไปร่วมรบ เมื่อรบชนะแล้วยึดทรัพย์สิน ตลอดจนจับผู้คนเป็นเชลย
(6) เมื่อประชาชนตายและไม่มีผู้สืบมรดกให้ทรัพย์สินตกเป็นของคลังหลวง
การปฏิรูปการปกครองฝ่ายเหนือ
หลังจากที่สยามลงนามในสนธิสัญญาเบาวริ่งใน พ.ศ.2398 อังกฤษได้เข้ามาทำการค้ากับสยามมากขึ้น สินค้าที่อังกฤษมีความต้องการคือ ไม้สัก ในสมัยพระเจ้ากาวิโลรส ได้มีคนในบังคับอังกฤษเข้ามาทำไม้ในเขตเชียงใหม่เป็นจำนวนมาก และเกิดการทะเลาะแก่งแยกผลประโยชน์ระหว่างคนในบังคับอังกฤษกับบรรดาเจ้านายและเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ กรณีพิพาทได้ลุกลามมาถึงกรุงเทพฯตั้งแต่ปลายรัชสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและยืดเยื้อมาถึงรัชสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จากสภาพปัญหาดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยที่จะแก้ไขปัญหาก่อนที่อังกฤษซึ่งเป็นมหาอำนาจจะเข้ามาแทรกแซงจนเป็นปัญหาใหญ่ต่อไป ทรงส่งข้าหลวงต่างพระองค์ไปทำหน้าที่ชำระคดีความระหว่างคนในบังคับอังกฤษกับเจ้านายฝ่ายเหนือ ต่อมาโปรดให้รวม นครเชียงใหม่, นครน่าน, นครลำปาง, นครลำพูน, แพร่, เถิน เข้าเป็นมณฑลลาวเฉียง และทรงแต่งตั้งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิชิตปรีชากร เป็นข้าหลวงต่างพระองค์ประจำนครเชียงใหม่ ใน พ.ศ.2427[15]
ต่อมาทรงมีพระราชดำริในการปฏิรูปการปกครองโดยเฉพาะการปฏิรูปหัวเมือง โดยได้พระราชทานพระบรมราโชบายแก่กระทรวงมหาดไทย เพื่อเป็นแนวทางการจัดการปกครองหัวเมืองให้เรียบร้อยได้แก่
ข้อแรกคือ การยุบประเทศราชให้มาเป็นเมืองในพระราชอาณาเขต เพื่อเสริมสร้างเอกภาพของชาติ (Nation unity) ให้มั่นคงโดยมุ่งที่จะขจัดความแตกแยกของชนชาติต่างๆ ภายในราอาณาจักรให้หมดสิ้นไป
ข้อที่สอง คือ ต้องการรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองมาไว้ที่กระทรวงมหาดไทยแต่เพียงแห่งเดียว โดยต้องการที่จะรวมอำนาจ (Centralization) เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่เอกภาพของชาติตามพระบรมราชประสงค์ข้อแรก และยังมุ่งที่จะจัดสรรราชการให้มีเอกภาพในการบังคับบัญชา (unity of command) เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินระเบียบแบบแผนเดียวกัน
ข้อที่สาม ได้แก่ เพื่อที่จะจัดการปกครองแบบรวมอำนาจนั้น จำเป็นต้องใช้รูปการปกครองส่วนภูมิภาคแบบมัธยนุภาพ (Administrative deconcentration) คือ ให้มีที่ทำงานส่วนภูมิภาค (filed offices) เป็นสาขาของกระทรวงของนครหลวง และวิธีการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกใช้ในการจัดตั้งส่วนราชการบริหารตามภูมิภาคนี้ก็คือ ระบบการเทศาภิบาล ซึ่งเป็นแบบแผนที่อังกฤษใช้ในพม่าและมลายูอยู่ในขณะนั้น เพื่อที่จะได้เป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพในการควบคุมหัวเมืองต่างๆ ซึ่งจะสร้างเอกภาพให้แก่ประเทศได้[16]
พ.ศ.2437 ทรงยกเลิกการจัดการปกครองหัวเมืองเป็นเมืองประเทศราช หัวเมืองชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี ชั้นจัตวาแล้วใช้การปกครองระบบเทศาภิบาลแทน โดยแบ่งการจัดการปกครองออกเป็น มณฑล เมือง อำเภอ ในแต่ละมณฑลจะมี “ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑล” หรือ “ข้าหลวงใหญ่” (ต่อมาเรียกว่าผู้บัญชาการมณฑล) ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคัดเลือกจากผู้ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ปฏิบัติงานต่างพระเนตรพระกรรณ
หัวเมืองฝ่ายเหนือจึงสิ้นสุดความเป็นประเทศราชหรือนครรัฐอิสระที่ยอมรับในอำนาจของส่วนกลางแต่มีสิทธิปกครองตนเอง กลายเป็นเมืองในมณฑลพายัพ
อ้างอิง
- ↑ กรมพระยาดำรงราชานุภาพและพระยาราชเสนา.เทศาภิบาล.(พระนคร : คลังวิทยา.2495) ,หน้า 63.
- ↑ ชวลีย์ ณ ถลาง.ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.(กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.2541) ,หน้า 47.
- ↑ จักรกฤษณ์ นรนิติผดุงการ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับกระทรวงมหาดไทย.(กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มติชน ,2545 ),หน้า 187.
- ↑ ชวลีย์ ณ ถลาง.ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,หน้า 42.
- ↑ รอง สยามานนท์,ดำเนิร เลขะกุล,วิลาสวงค์ นพรัตน์,ประวัติศาสตร์สยามสมัยกรุงศรีอยุธยา : แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ถึงแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พระนคร: คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2513) ,หน้า 64-65.
- ↑ ชวลีย์ ณ ถลาง.ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า 44.
- ↑ เพิ่งอ้าง, หน้า 7.
- ↑ กรมศิลปากร, คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัด และพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์.(พระนคร : คลังวิทยา, 2515), หน้า 152.
- ↑ ชวลีย์ ณ ถลาง. ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า 45.
- ↑ เพิ่งอ้าง, หน้า 47.
- ↑ เพิ่งอ้าง, หน้า 10.
- ↑ พระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น) .พงศาวดารเมืองนครเชียงใหม่ เมืองลำปาง เมืองลำพูนไชย. (พระนคร: กรมศิลปากร, 2505),หน้า 21.
- ↑ ชวลีย์ ณ ถลาง. ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า 10.
- ↑ เพิ่งอ้าง, หน้า 14.
- ↑ ธันยวัฒน์ รัตนสัค, การบริหารราชการไทย,(เชียงใหม่ : สำนักวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555) ,หน้า 78-79.
- ↑ จักรกฤษณ์ นรนิติผดุงการ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับกระทรวงมหาดไทย , หน้า 95.
บรรณานุกรม
กรมศิลปากร, คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัด และพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์. พระนคร : คลังวิทยา, 2515.
กรมพระยาดำรงราชานุภาพและพระยาราชเสนา.เทศาภิบาล. พระนคร : คลังวิทยา.2495.
จักรกฤษณ์ นรนิติผดุงการ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับกระทรวงมหาดไทย.กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มติชน ,2545.
ชวลีย์ ณ ถลาง.ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.2541.
ธันยวัฒน์ รัตนสัค, การบริหารราชการไทย, เชียงใหม่ : สำนักวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2555.
รอง สยามานนท์,ดำเนิร เลขะกุล,วิลาสวงค์ นพรัตน์, ประวัติศาสตร์สยามสมัยกรุงศรีอยุธยา : แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ถึงแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช. พระนคร: คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2513.
พระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น) .พงศาวดารเมืองนครเชียงใหม่ เมืองลำปาง เมืองลำพูนไชย. พระนคร: กรมศิลปากร, 2505.
เอกสารอ่านเพิ่มเติม
ลิขิต ธีรเวคิน,วิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2550.
อรอนงค์ ทิพย์พิมล,รัชกาลที่ 5 : สยามกับอุษาคเนย์และชมพูทวีป, กรุงเทพมหานคร :มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, 2547.
ธเนศวร์ เจริญเมือง, 100 ปี การปกครองท้องถิ่นไทย พ.ศ. 2440-2540, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์คบไฟ, 2542.
ชวลีย์ ณ ถลาง. ประเทศราชของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.2541.