ผลต่างระหว่างรุ่นของ "20 ตุลาคม พ.ศ. 2501"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
(ไม่แสดง 4 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
บรรทัดที่ 1: บรรทัดที่ 1:
'''ผู้เรียบเรียง''' ศ.นรนิติ เศรษฐบุตร
'''ผู้เรียบเรียง''' ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


----
----
บรรทัดที่ 7: บรรทัดที่ 7:
----
----


วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 เป็นวันที่จอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์ และคณะทหาร ได้ยึดอำนาจการปกครองล้มรัฐธรรมนูญ
วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 เป็นวันที่[[สฤษดิ์  ธนะรัชต์|จอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์]] และคณะทหาร ได้ยึดอำนาจการปกครองล้ม[[รัฐธรรมนูญ]]
การยึดอำนาจวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ของจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ นั่นว่าไปแล้วก็เป็นการยึดอำนาจที่สะดวกและง่ายดายมาก เพราะรัฐบาลในตอนนั้นมีพลเอกถนอม กิตติขจร ลูกน้องของจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี และท่านก็ได้ลาออกจากนายกรัฐมนตรีไปล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ตอนเที่ยงวันของวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501
การยึดอำนาจวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ของจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ นั่นว่าไปแล้วก็เป็นการยึดอำนาจที่สะดวกและง่ายดายมาก เพราะ[[รัฐบาล]]ในตอนนั้นมี[[ถนอม กิตติขจร|พลเอกถนอม กิตติขจร]] ลูกน้องของจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ เป็น[[นายกรัฐมนตรี]] และท่านก็ได้ลาออกจากนายกรัฐมนตรีไปล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ตอนเที่ยงวันของวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501
ตอนนั้นทางการยังได้ประกาศให้ประชาชนรู้ล่วงหน้าอีกว่าจะมีข่าวสำคัญในคืนนั้น
ตอนนั้นทางการยังได้ประกาศให้ประชาชนรู้ล่วงหน้าอีกว่าจะมีข่าวสำคัญในคืนนั้น
ครั้นเวลาประมาณ 3 ทุ่มของวันนั้น คณะผู้ยึดอำนาจที่มีจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าก็นำทหารเข้ายึดอำนาจล้มรัฐธรรมนูญ การยึดอำนาจคราวนี้ต่างกับเมื่อครั้งที่จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ยึดอำนาจในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 เพราะได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ที่ได้ใช้มาเป็นเวลาประมาณ 7 ปี และได้ยกเลิกพรรคการเมือง
ครั้นเวลาประมาณ 3 ทุ่มของวันนั้น คณะผู้ยึดอำนาจที่มีจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าก็นำทหารเข้า[[ยึดอำนาจ]]ล้มรัฐธรรมนูญ การยึดอำนาจคราวนี้ต่างกับเมื่อครั้งที่จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ยึดอำนาจในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 เพราะได้ยกเลิก[[รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495]] ที่ได้ใช้มาเป็นเวลาประมาณ 7 ปี และได้ยกเลิก[[พรรคการเมือง]]
วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2502 จึงได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502
วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2502 จึงได้ประกาศใช้[[ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502]]
การยึดอำนาจล้มรัฐธรรมนูญและพรรคการเมืองครั้งนี้ผู้ยึดอำนาจเรียกว่า “การปฏิวัติ” โดยต้องการที่จะหยุดการปกครองแบบประชาธิปไตยไว้ชั่วคราว ดังปรากฏความคิดเห็นของผู้ที่ใกล้ชิดจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ อยู่ในหนังสือประวัติและผลงานของจอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์ ดังจะขอยกส่วนหนึ่งมาบันทึกไว้ให้อ่านกัน
การยึดอำนาจล้มรัฐธรรมนูญและ[[พรรคการเมือง]]ครั้งนี้ผู้ยึดอำนาจเรียกว่า “[[การปฏิวัติ]]” โดยต้องการที่จะหยุดการปกครองแบบประชาธิปไตยไว้ชั่วคราว ดังปรากฏความคิดเห็นของผู้ที่ใกล้ชิดจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ อยู่ในหนังสือประวัติและผลงานของจอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์ ดังจะขอยกส่วนหนึ่งมาบันทึกไว้ให้อ่านกัน
“ในเวลาที่ทำรัฐประหารในวันที่ 16 กันยายน 2500 นั้น มิได้มีการแก้ไขรูปแบบการปกครองบ้านเมืองใหม่ คงปล่อยให้ดำเนินการไปตามแบบเดิมกล่าวคือ ยังคงมีรัฐสภา มีพรรคการเมือง ให้เสรีภาพหนังสือพิมพ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้อย่างเต็มที่และกว้างขวาง มีสหพันธ์และสหบาลกรรมการที่ชอบหยุดงานและสไตรก์เมื่อไม่พอใจนายจ้างเหล่านี้เป็นต้น...”
“ในเวลาที่ทำ[[รัฐประหาร]]ในวันที่ [[16 กันยายน พ.ศ. 2500 |16 กันยายน 2500 ]]นั้น มิได้มีการแก้ไขรูปแบบการปกครองบ้านเมืองใหม่ คงปล่อยให้ดำเนินการไปตามแบบเดิมกล่าวคือ ยังคงมี[[รัฐสภา]] มี[[พรรคการเมือง]] ให้เสรีภาพหนังสือพิมพ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้อย่างเต็มที่และกว้างขวาง มีสหพันธ์และ[[สหบาลกรรมการ]]ที่ชอบหยุดงานและ[[สไตรก์]]เมื่อไม่พอใจนายจ้างเหล่านี้เป็นต้น...”


สิ่งที่ท่านบ่นว่ากันมานั้น ที่จริงก็เป็นสิ่งปกติที่มีอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ท่านผู้มีทั้งกำลังและอำนาจ ท่านเบื่อและไม่อยากทน ดังมีความเห็นต่อมาอีกว่า
สิ่งที่ท่านบ่นว่ากันมานั้น ที่จริงก็เป็นสิ่งปกติที่มีอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ท่านผู้มีทั้งกำลังและอำนาจ ท่านเบื่อและไม่อยากทน ดังมีความเห็นต่อมาอีกว่า


“...ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลได้พยายามรักษาสถานการณ์เป็นอย่างดีที่สุดแล้ว ก้ไม่อาจสำเร็จได้ ทั้งนี้เพราะกลไกต่าง ๆ ไม่ดีนั่นเอง ที่ร้ายที่สุดก็คือผู้แทนราษฎรทั้งหลายพยายามแย่งกันเป็นรัฐมนตรีและข้าราชการการเมือง โดยขู่รัฐบาลว่าถ้าไม่แต่งตั้งแล้วก็จะถอนตัวออกจากพรรคสนับสนุนรัฐบาลกันไปตั้งพรรคฝ่ายค้านขึ้นใหม่อีก”
“...ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลได้พยายามรักษาสถานการณ์เป็นอย่างดีที่สุดแล้ว ก้ไม่อาจสำเร็จได้ ทั้งนี้เพราะกลไกต่าง ๆ ไม่ดีนั่นเอง ที่ร้ายที่สุดก็คือผู้แทนราษฎรทั้งหลายพยายามแย่งกันเป็น[[รัฐมนตรี]]และข้าราชการการเมือง โดยขู่รัฐบาลว่าถ้าไม่แต่งตั้งแล้วก็จะถอนตัวออกจากพรรคสนับสนุนรัฐบาลกันไปตั้ง[[พรรคฝ่ายค้าน]]ขึ้นใหม่อีก”
ผู้รักประชาธิปไตยและเคยสนับสนุนจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ในการยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ. 2500 กลับถูกจับเข้าคุก ผู้คนต้องปิดปากเงียบ ไม่กล้าคุยเกี่ยวกับการเมือง
ผู้รักประชาธิปไตยและเคยสนับสนุนจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ในการยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ. 2500 กลับถูกจับเข้าคุก ผู้คนต้องปิดปากเงียบ ไม่กล้าคุยเกี่ยวกับการเมือง
บรรทัดที่ 29: บรรทัดที่ 29:
แต่การยึดอำนาจในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ก็เป็นการยึดอำนาจครั้งสุดท้ายของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครั้นมีธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรออกมาใช้เป็นกติกาแล้ว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลเสียเองเลย
แต่การยึดอำนาจในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ก็เป็นการยึดอำนาจครั้งสุดท้ายของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครั้นมีธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรออกมาใช้เป็นกติกาแล้ว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลเสียเองเลย
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มาแล้ว เชื่อกันว่าจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ น่าจะเป็นผู้นำการเมืองที่มีอำนาจมากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก ที่ทำให้มีอำนาจคุมทหารได้ทั้งทางนิตินัยและพฤฒินัยทั่วประเทศแล้ว ท่านยังเป็นหัวหน้ารัฐบาลควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาแห่งชาติที่ถือว่าเป็น “ซูเปอร์กระทรวง” คุมงานสำคัญที่เอามาจากกระทรวงอื่น ๆ  
หลัง[[เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475]] มาแล้ว เชื่อกันว่าจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ น่าจะเป็นผู้นำการเมืองที่มีอำนาจมากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก ที่ทำให้มีอำนาจคุมทหารได้ทั้งทางนิตินัยและพฤฒินัยทั่วประเทศแล้ว ท่านยังเป็นหัวหน้ารัฐบาลควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ[[กระทรวงพัฒนาแห่งชาติ]]ที่ถือว่าเป็น “[[ซูเปอร์กระทรวง]]” คุมงานสำคัญที่เอามาจากกระทรวงอื่น ๆ  
ทางด้านอำนาจนิติบัญญัตินั้นสภาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งทำหน้าที่นิติบัญญัติอยู่ด้วยนั้น สมาชิกทั้งหมดก็มาจากการแต่งตั้งและตัวประธานสภาก็เป็นนายทหารที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์
ทางด้าน[[อำนาจนิติบัญญัติ]]นั้น[[สภาร่างรัฐธรรมนูญ]]ซึ่งทำหน้าที่นิติบัญญัติอยู่ด้วยนั้น สมาชิกทั้งหมดก็มาจากการแต่งตั้งและตัวประธานสภาก็เป็นนายทหารที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์
ส่วนทางด้านอำนาจตุลาคม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีอำนาจตามมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยมติคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการหรือกระทำการใด ๆ ได้
ส่วนทางด้านอำนาจตุลาการ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีอำนาจตามมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยมติคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการหรือกระทำการใด ๆ ได้
ที่ไม่เคยมีมาก่อนก็คือ นายกรัฐมนตรีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยังดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจอีกด้วย
ที่ไม่เคยมีมาก่อนก็คือ นายกรัฐมนตรีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยังดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจอีกด้วย
บรรทัดที่ 39: บรรทัดที่ 39:
อย่างนี้ก็น่าจะมีอำนาจมากมายเหลือคณา
อย่างนี้ก็น่าจะมีอำนาจมากมายเหลือคณา


แต่จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ผู้มีอำนาจมากมาย ก็อยู่มาได้ถึงวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 เท่านั้นเพราะถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากโรคภัยไข้เจ็บนั่นเอง
แต่จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ผู้มีอำนาจมากมาย ก็อยู่มาได้ถึงวันที่ [[8 ธันวาคม พ.ศ. 2506]] เท่านั้นเพราะถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากโรคภัยไข้เจ็บนั่นเอง


[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]]
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:38, 16 ตุลาคม 2557

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 เป็นวันที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะทหาร ได้ยึดอำนาจการปกครองล้มรัฐธรรมนูญ

การยึดอำนาจวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั่นว่าไปแล้วก็เป็นการยึดอำนาจที่สะดวกและง่ายดายมาก เพราะรัฐบาลในตอนนั้นมีพลเอกถนอม กิตติขจร ลูกน้องของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี และท่านก็ได้ลาออกจากนายกรัฐมนตรีไปล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ตอนเที่ยงวันของวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501

ตอนนั้นทางการยังได้ประกาศให้ประชาชนรู้ล่วงหน้าอีกว่าจะมีข่าวสำคัญในคืนนั้น

ครั้นเวลาประมาณ 3 ทุ่มของวันนั้น คณะผู้ยึดอำนาจที่มีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าก็นำทหารเข้ายึดอำนาจล้มรัฐธรรมนูญ การยึดอำนาจคราวนี้ต่างกับเมื่อครั้งที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 เพราะได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ที่ได้ใช้มาเป็นเวลาประมาณ 7 ปี และได้ยกเลิกพรรคการเมือง

วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2502 จึงได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502

การยึดอำนาจล้มรัฐธรรมนูญและพรรคการเมืองครั้งนี้ผู้ยึดอำนาจเรียกว่า “การปฏิวัติ” โดยต้องการที่จะหยุดการปกครองแบบประชาธิปไตยไว้ชั่วคราว ดังปรากฏความคิดเห็นของผู้ที่ใกล้ชิดจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อยู่ในหนังสือประวัติและผลงานของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดังจะขอยกส่วนหนึ่งมาบันทึกไว้ให้อ่านกัน

“ในเวลาที่ทำรัฐประหารในวันที่ 16 กันยายน 2500 นั้น มิได้มีการแก้ไขรูปแบบการปกครองบ้านเมืองใหม่ คงปล่อยให้ดำเนินการไปตามแบบเดิมกล่าวคือ ยังคงมีรัฐสภา มีพรรคการเมือง ให้เสรีภาพหนังสือพิมพ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้อย่างเต็มที่และกว้างขวาง มีสหพันธ์และสหบาลกรรมการที่ชอบหยุดงานและสไตรก์เมื่อไม่พอใจนายจ้างเหล่านี้เป็นต้น...”

สิ่งที่ท่านบ่นว่ากันมานั้น ที่จริงก็เป็นสิ่งปกติที่มีอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ท่านผู้มีทั้งกำลังและอำนาจ ท่านเบื่อและไม่อยากทน ดังมีความเห็นต่อมาอีกว่า

“...ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลได้พยายามรักษาสถานการณ์เป็นอย่างดีที่สุดแล้ว ก้ไม่อาจสำเร็จได้ ทั้งนี้เพราะกลไกต่าง ๆ ไม่ดีนั่นเอง ที่ร้ายที่สุดก็คือผู้แทนราษฎรทั้งหลายพยายามแย่งกันเป็นรัฐมนตรีและข้าราชการการเมือง โดยขู่รัฐบาลว่าถ้าไม่แต่งตั้งแล้วก็จะถอนตัวออกจากพรรคสนับสนุนรัฐบาลกันไปตั้งพรรคฝ่ายค้านขึ้นใหม่อีก”

ผู้รักประชาธิปไตยและเคยสนับสนุนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในการยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ. 2500 กลับถูกจับเข้าคุก ผู้คนต้องปิดปากเงียบ ไม่กล้าคุยเกี่ยวกับการเมือง

แต่การยึดอำนาจในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ก็เป็นการยึดอำนาจครั้งสุดท้ายของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครั้นมีธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรออกมาใช้เป็นกติกาแล้ว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลเสียเองเลย

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มาแล้ว เชื่อกันว่าจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ น่าจะเป็นผู้นำการเมืองที่มีอำนาจมากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก ที่ทำให้มีอำนาจคุมทหารได้ทั้งทางนิตินัยและพฤฒินัยทั่วประเทศแล้ว ท่านยังเป็นหัวหน้ารัฐบาลควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาแห่งชาติที่ถือว่าเป็น “ซูเปอร์กระทรวง” คุมงานสำคัญที่เอามาจากกระทรวงอื่น ๆ

ทางด้านอำนาจนิติบัญญัตินั้นสภาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งทำหน้าที่นิติบัญญัติอยู่ด้วยนั้น สมาชิกทั้งหมดก็มาจากการแต่งตั้งและตัวประธานสภาก็เป็นนายทหารที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

ส่วนทางด้านอำนาจตุลาการ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีอำนาจตามมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยมติคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการหรือกระทำการใด ๆ ได้

ที่ไม่เคยมีมาก่อนก็คือ นายกรัฐมนตรีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยังดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจอีกด้วย

อย่างนี้ก็น่าจะมีอำนาจมากมายเหลือคณา

แต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้มีอำนาจมากมาย ก็อยู่มาได้ถึงวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 เท่านั้นเพราะถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากโรคภัยไข้เจ็บนั่นเอง