แรงงาน (พ.ศ. 2511)
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
พรรคแรงงาน
พรรคแรงงานเป็นพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 โดยได้ยื่นจดทะเบียนต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2511 ทะเบียนเลขที่ 7/2511 โดยมีหัวหน้าพรรคคือ นายเชื้อ กาฬแก้ว และมีรองหัวหน้าพรรค 2 คน คือ นายพจน์ อัมพุนันท์ และนายปลิว ชินะนาวิน เลขาธิการพรรคคือ นายวีระ ถนองเลี้ยง และรองเลขาธิการพรรค 2 คน คือ นายวิทยา สอดส่องจิตต์ และนายสุพจน์ ด่านตระกูล กรรมการอำนวยการอื่นของพรรค ได้แก่ นายฉลอง จิตต์นิยม นายชุมพล กลิ่นชื่น นายอดุล ภมรานนท์ นายวิศิษฐ ธราธิป นายอนันต์ กลิ่นประชุม นายอุ่ม ดีประเสริฐ นายพินิจ ปทุมรส นายเฉนา ลายสังข์ นายเกรียงศักดิ์ เจียกจัน นายดุสิต นาสมใจ นายหาญ เมฆสวัสดิ์ นายสอาด เนียมประเสริฐ นายอนุพันธ์ ภูวเศรษฐ นายอัมพร ชิณรักษา นายสามารถ ผลวัฒนะ นายเปรื่อง รอดชีวัน นายบุญชู มาตราช นายประนอม ชีวธรรม นายแจ่ม สวัสดิ์เมือง นายสำเภา สัมฤทธิ์ นายสำรวย ฤทธิ์โชติ นายวิเศษศักดิ์ กันศร และนายอานนท์ บัวหนู
นโยบายของพรรคแรงงาน
นโยบายต่างประเทศ พรรคแรงงานยึดถือและสนับสนุน “นโยบายอิสระ” ซึ่งเป็นนโยบายเก่าแก่และดั้งเดิมของไทย และจากการดำเนิน “นโยบายอิสระ” จะทำให้ประเทศไทยครองความเป็น “เอกราช” พรรคแรงงานจึงสนับสนุนในหลักการขององค์การสหประชาชาติ จะสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศ จะมุ่งเสริมสร้างความเสมอภาคและความยุติธรรมระหว่างประเทศ และจะร่วมสร้างสรรค์สันติภาพของโลก
นโยบายด้านเศรษฐกิจ พรรคแรงงานถือว่าการเศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของสังคม ดังนั้นพรรคแรงงานจึงสนับสนุนแนวทางการเศรษฐกิจที่ยังความมั่นคงและยุติธรรมให้กับสังคม โดยส่งเสริมแนวทางเศรษฐกิจที่เอกชนประกอบการ ส่งเสริมแนวทางเศรษฐกิจที่รัฐประกอบการ และสนับสนุนแนวทางเศรษฐกิจที่เอกชนกับรัฐร่วมกันประกอบการ และแนวทางเศรษฐกิจที่มวลชนประกอบกันในรูปแบบของสหกรณ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ พรรคแรงงานจะยึดหลักความยุติธรรมและความผาสุกของมวลชนเป็นเครื่องกำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในแต่ละประเภทตามความเหมาะสม นโยบายด้านการเมือง พรรคแรงงานถือว่าระบอบประชาธิปไตย จะมั่นคงและเจริญงอกงามได้ ก็อยู่ที่ประชาชนทุกคนมีความสนใจและเข้าใจในการเมือง ดังนั้น พรรคแรงงานจะสนับสนุนการศึกษาหาความรู้ทางการเมืองแก่ประชาชน
นโยบายด้านวัฒนธรรม พรรคแรงงานถือว่า วัฒนธรรมเป็นชีวิตจิตใจของชาติ พรรคแรงงานจึงมุ่งสนับสนุนและฟื้นฟูวัฒนธรรมอันดีงามของชาติอันเป็นมรดกตกทอดมาแต่บรรพบุรุษ และเคารพในวัฒนธรรมของชนชาติส่วนน้อย แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า พรรคแรงงานจะหลงติดอยู่กับวัฒนธรรมไทย และปฏิเสธวัฒนธรรมต่างประเทศอย่างหลับหูหลับตา หากพรรคนี้จะยึดถือเอาความถูกต้องดีงามและเหมาะสมมาเป็นเครื่องพิจารณาในการที่จะรับหรือปฏิเสธวัฒนธรรมนั้น ๆ
นโยบายด้านการศึกษา พรรคแรงงานถือว่าการศึกษาเป็นประทีปของรัฐนาวา พรรคแรงงานจึงจะมุ่งสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาในทุกระดับอย่างแข็งขันและจริงจัง และถือว่าการศึกษาเป็นวิทยาทาน ไม่ใช่ธุรกิจการค้า พรรคแรงงานจะพยายามอย่างจริงจังที่จะทำการศึกษาให้เป็นวิทยาทานให้มากยิ่งขึ้นตามลำดับของเวลา จนกระทั่งกลายเป็นวิทยาทานอย่างทั่วถึง นโยบายด้านการป้องกันประเทศ พรรคแรงงานถือว่าการป้องกันประเทศอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลอย่างจริงจัง อยู่ที่ความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศ พรรคแรงงานจึงจะมุ่งสนับสนุนความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันก็จะมุ่งสนับสนุนกำลังทหารให้สอดคล้องกับฐานะทางเศรษฐกิจของชาติ เพื่อให้ทหารเป็นกำลังของชาตอย่างแท้จริง และมีสมรรถภาพสูง
นโยบายด้านการรักษาความสงบภายใน พรรคแรงงานถือว่าการรักษาความสงบภายในอย่างมีประสิทธิภาพนั้น อยู่ที่ภาวะอันเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและความดื่มด่ำในวัฒนธรรมของชาติ พรรคแรงงานจะสนับสนุนกิจการตำรวจและด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการรักษาความสงบภายในตามจำเป็นและเหมาะสม โดยมุ่งที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ
นโยบายด้านการประกันสวัสดิภาพของสังคม พรรคแรงงานถือว่าการประกันสวัสดิภาพของสังคม ซึ่งรวมทั้งข้าราชการและประชาชนทั่วไป เป็นภาระหน้าที่ของรัฐที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ พรรคแรงงานจึงมุ่งสนับสนุนให้เกิดการประกันสวัสดิภาพของสังคมในหลาย ๆ รูปแบบ ตามความเหมาะสมและเงื่อนไขภาวะทางเศรษฐกิจของชาติ
นโยบายด้านสิทธิและเสรีภาพของประชาชน พรรคแรงงานจะมุ่งส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตลอดจนหน้าที่อื่น ๆ อันเกี่ยวกับประชาชน โดยพรรคแรงงานจะสนับสนุนให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 พรรคแรงงานได้ส่งผู้สมัครลงแข่งขันรับเลือกตั้ง แต่ผู้สมัครของพรรคแรงงานไม่ได้รับเลือกตั้งแม้แต่คนเดียว ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ พรรคสหประชาไทยได้รับการเลือกตั้งมากที่สุดคือ 95 ที่นั่ง รองมาคือ พรรคประชาธิปัตย์ 50 ที่นั่ง พรรคแนวร่วมเศรษฐกร 4 ที่นั่ง ส่วนพรรคแนวประชาธิปไตย พรรคสัมมาชีพช่วยชาวนา พรรคประชาชน และพรรคเสรีประชาธิปไตยได้พรรคละ 1 ที่นั่งเช่นเดียวกัน
ที่มา
ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 86 ตอนที่ 3 ลงวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2512 หน้า 33-39
สุจิต บุญบงการ, การพัฒนาการเมืองของไทย: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทหาร สถาบันทางการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2531
เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช, การสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคการเมืองในประเทศไทย, วิทยานิพนธ์หลักสูตรชั้นปริญญาโท ภาค 2 ทางรัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2519