แนวพระราชดำริเกี่ยวกับหลักการตรวจสอบถ่วงดุลในแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดการสืบทอดอำนาจ
แนวพระราชดำริเกี่ยวกับหลักการตรวจสอบถ่วงดุลในแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดการสืบทอดอำนาจโดยคณะบุคคล
เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ในช่วงระหว่าง พ.ศ. พ.ศ. 2476-2489 ได้เกิดการสืบทอดอำนาจทางการเมืองของคณะราษฎร โดยมีสาเหตุสำคัญสองประการ ประการแรกคือ บางมาตราในรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างที่ใช้บทบัญญัติเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ประการที่สอง เจตนาของคณะราษฎรที่ต้องการใช้บางมาตราในรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติฯเพื่อสืบทอดอำนาจของตน [1] ดังที่ปรากฏว่า ตลอดระยะเวลา 13 ปี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อเนื่องยาวนานที่สุดและรองลงมาได้แก่
1. หลวงศุภชลาศัย (บุง) */** เป็นรัฐมนตรี 9 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 7, 8, 10, 11, 12, 14
2. หลวงสินธุ์สงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) */** เป็นรัฐมนตรี 8 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11
3. หลวงประดิษฐ์มนูธรรม */** เป็นรัฐมนตรี (รวมนายกรัฐมนตรี) 7 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 15 (เว้นช่วงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ระหว่าง พ.ศ. 2484-2488)
4. จอมพล ป. พิบูลสงคราม */** เป็นรัฐมนตรี (รวมนายกรัฐมนตรี) 7 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10
5. หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นรัฐมนตรี 7 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10
6. เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร์ ณ สงขลา) ** เป็นรัฐมนตรี 6 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 8, 9, 11, 14
7. หลวงนฤเบศร์มานิต (สงวน จูฑะเตมีย์) */** เป็นรัฐมนตรี 6 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 8, 9, 15
8. นายควง อภัยวงศ์ */** เป็นรัฐมนตรี (รวมนายกรัฐมนตรี) 5 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 8. 9. 10, 11, 14
9. พระยาพหลพลพยุหเสนา */** เป็นรัฐมนตรี (รวมนายกรัฐมนตรี) 5 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 7, 11
10. หลวงอดุลเดชจรัส ** (ไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ตั้งแต่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2481) เป็นรัฐมนตรี 5 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 8, 9, 10, 12, 13
11. พระเวชยันต์รังสฤษฏ์ (มุนี มหาสันทนะ) ** 5 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 7, 8, 9, 11, 14
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นปัญหาดังกล่าวนี้ตั้งแต่ต้น และทรงเสนอแนวพระราชดำริในการแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดการสืบทอดอำนาจโดยคณะบุคคล โดยระบอบคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคณาธิปไตยในระดับที่มีความเข้มข้นและ “เป็นพวกเดียวกัน” เสียส่วนใหญ่อย่างที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 13 ปี หากการเสนอชื่อแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เป็นไปตามที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเข้าพระทัยในขณะที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 ดังที่ปรากฏในพระราชกระแสแลกเปลี่ยนกับคำสนองพระราชบันทึกของคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 ภายใต้พระยาพหลพลพยุหเสนา ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2477 - 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (วันประกาศสละราชสมบัติ) ว่า
“ข้าพเจ้าไม่ได้คัดค้านเป็นลายลักษณ์อักษรต่อวิธีการที่จะเลือกสมาชิกประเภทที่ 2 ดั่งที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติเลือกตั้งผู้แทนราษฎร เพราะว่า
ก. พระยามโนฯ ได้สัญญาแก่ข้าพเจ้าว่า อันบัญชีรายนามผู้ที่เสนอให้เป็นสมาชิกนั้น จะส่งมาให้ข้าพเจ้าล่วงหน้าเป็นเวลานานก่อนที่จะตราขึ้นเป็นพระราชกฤษฎีกา
ข. และว่าจะเสนอรายชื่อมากกว่าจำนวนสมาชิกที่ต้องการตั้ง เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสเลือกได้บ้าง และรับจะพิจารณาคำทักท้วงของข้าพเจ้า
ค. กับว่าอันบัญชีรายนามนั้นจะได้ทำขึ้นให้ตรงต่อหลักการ ซึ่งข้าพเจ้าได้วางไว้ให้แล้วให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ [2]
จริงอยู่อันข้อสัญญาต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้ว มิได้ทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรเลย ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะเสนอนามสำหรับคัดเลือกตั้ง พระยามโนฯก็ได้ออกจากตำแหน่งหน้าที่ไปแล้วโดยถูกรัฐประหาร ข้าพเจ้าได้ร้องขอหลายครั้งหลายหนว่า อันบัญชีรายนามผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งนั้นควรเสนอมาให้ข้าพเจ้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อันที่จริงบัญชีรายนามนี้ได้ส่งมาให้ข้าพเจ้าในตอนกลางคืน ก่อนวันซึ่งได้กำหนดไว้สำหรับเป็นวันเปิดสภาผู้แทนราษฎร ความจริงประมาณเพียง 12 ชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลาเริ่มการพิธีเปิดสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น การที่ทำเช่นนี้เห็นได้ชัดๆว่า มุ่งหมายที่จะให้ข้าพเจ้าจำต้องเซ็นอนุมัติรายนามนั้นไปอย่างหลับหูหลับตา จะแสดงความขัดข้องประการใดก็คงจะทำให้การเปิดสภาผู้แทนราษฎรล่าช้าไปอีก และอย่างไรก็ดีก็คงจะไม่เป็นผลประการใดเลย” [3]
หากคณะรัฐบาลขณะนั้นจริงใจและเห็นด้วยกับการถวายเวลาให้พระองค์ได้ทรงมีพระราชวินิจฉัยพิจารณาคัดเลือกจากการเสนอรายนามสมาชิกประเภทที่ 2 เป็นจำนวนที่มากกว่าที่ต้องการตั้ง เพื่อไม่เป็นเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ระบอบคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจอย่างที่เกิดขึ้น รัฐบาลก็สามารถขยายเวลาให้พระองค์ได้ทรงมีพระราชวินิจฉัยคัดเลือกได้ และต่อมาเมื่อเวลาล่วงเลยมาแล้ว และได้มีการตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ไปแล้ว แม้ว่ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 จะอ้างว่า “พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้สัญญาไว้กระไรนั้น รัฐบาลไม่อาจที่จะทราบได้เลย พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ปิดบังความจริงที่ได้กราบบังคมทูลไว้ รัฐบาลเพิ่งทราบโดยพระราชบันทึกไขความฉบับหลังนี้เอง” [4] หากคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 มีความจริงใจและไม่ต้องการให้เกิดระบอบคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจโดยเห็นด้วยกับข้อ ก - ค ในพระราชกระแสฯข้างต้น คณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 ก็สามารถกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จรพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าจะถวายรายนามบุคคลที่จะต้องมีการตั้งเป็นสมาชิกประเภทที่ 2 ในโอกาสต่อไปได้
นอกจากนี้ เมื่อมีการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ไปแล้ว โดยพระองค์มิได้ทรงมีส่วนในการคัดเลือก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงตระหนักถึงความ “เป็นพวกเดียวกัน” ในเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกคณะราษฎรในจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ทั้งหมด พระองค์จึงทรงมีความห่วงใยโดยเกรงว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นั้นจะกลายเป็นเพียงการโอนพระราชอำนาจจากพระมหากษัตริย์ไปสู่คณะบุคคล โดยไม่ไปถึงประชาชนส่วนใหญ่ และการปกครองก็จะกลายเป็นคณาธิปไตยไปได้โดยง่าย พระองค์จึงทรงมีพระราชกระแสที่ทรงไขความแก้คำสนองของรัฐบาลในข้อ 2 โดยทรงพระราชทานคำแนะนำว่า
“ตราบใดที่ยังคงให้สมาชิกประเภทที่ 2 อยู่ ตามความเห็นของข้าพจ้า วิธีการซึ่งเหมาะสมที่สุดในอันที่จะลงมติไม่เห็นชอบด้วยกับคำทักท้วง (ร่างกฎหมาย/ผู้เขียน) ของพระมหากษัตริย์นั้นมีอยู่เพียงวิธีเดียว กล่าวคือ ควรให้มีเสียงข้างมากที่ไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนเศษสามส่วนสี่ (เสียงข้างมากพิเศษ/ผู้เขียน) ถ้าหากใช้วิธียุบ (สภา) แล้ว ก็จักต้องให้เป็นไปเองและจักต้องเพิ่มความในรัฐธรรมนูญไว้ว่า ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงทักท้วงพระราชบัญญัติฉบับใดลงมา สภาฯผู้แทนราษฎรเป็นอันต้องยุบไปเองในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ต้องเป็นไปโดยมิต้องอาศัยความยินยอมของรัฐมนตรีผู้หนึ่งผู้ใดในอันที่จะรับสนองพระบรมราชโองการ ข้าพเจ้าได้เคยขอให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว แต่รัฐบาลก็ไม่ยินยอม และก็คงเป็นเช่นนี้แทบทุกคราวไป ถ้านำวิธีนี้มาใช้แล้ว สมาชิกประเภทที่ 2 ก็ควรที่จะเลือกตั้งกันใหม่เหมือนกัน การที่ข้าพเจ้าขอมาดั่งนี้ก็เพื่อที่จะรักษาหลัก (เน้นโดยผู้เขียน) ไว้ มิใช่เพื่อที่จะให้การทักท้วงพระราชบัญญัติของข้าพเจ้าเป็นผลทุกคราวไป ถ้าข้าพเจ้าแน่ใจได้ว่านโยบายอันใดเป็นความประสงค์อันแท้จริงของราษฎรส่วนมากแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่ขัดขวางนโยบายอันนั้นเลย” [5]
หลักการของพระปกเกล้าฯ
หลักที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงต้องการรักษาไว้คือ หลักการตรวจสอบถ่วงดุลโดยพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐแทนประชาชน เพราะที่กำหนดไว้คือ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงทักท้วงร่างพระราชบัญญัติที่ทูลเกล้าฯขึ้นมา หากเสียงในสภาผู้แทนราษฎรยังลงมติตามเดิมด้วยเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ก็สามารถประกาศให้เป็นกฎหมายได้ แต่ในขณะที่เสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เป็น “พวกเดียวกัน” กับคณะรัฐมนตรีที่เลือกพวกเขามา อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นสมาชิกคณะราษฎรด้วย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสองประเภทมีจำนวนเท่ากัน ดังนั้น เสียงส่วนใหญ่ในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 จึงต้องการเสียงอีกไม่เท่าไรเพื่อให้ได้คะแนนเพียงเกินครึ่งในการลงมติตามเดิม โดยที่เสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนไม่สามารถคัดค้านได้หากไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัตินั้นๆ และก็จะไม่สามารถถ่วงดุลได้ ดังนั้น วิธีการที่พระองค์ทรงเสนอเพื่อรักษาหลักการตรวจสอบถ่วงดุลคือ การใช้เสียงข้างมากพิเศษสามในสี่แทนเสียงข้างมากธรรมดาที่เพียงเกินกึ่งหนึ่งในการลงมติให้ร่างกฎหมายนั้นผ่านสภาผู้แทนราษฎรและประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ โดยน่าจะทรงคาดหวังให้เป็นเสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎรจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงเกินกึ่งหนึ่ง หรือถ้าไม่ใช้เสียงข้างมากพิเศษ พระองค์ก็ทรงให้แก้ไขเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญว่า หากในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงทักท้วงร่างพระราชบัญญัติฉบับใดลงมา ก็ให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ประชาชนได้สะท้อนเสียงต่อร่างพระราชบัญญัตินั้นกลับมาผ่านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ และพระองค์ทรงเห็นว่า เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ก็ควรให้มีการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ขึ้นใหม่ด้วย [6] ซึ่งคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 ได้สนองพระราชกระแสที่ทรงไขข้อความที่ 2 โดยมิได้ตอบกรณีที่พระองค์ทรงขอให้ใช้เสียงข้างมากพิเศษในการยืนยันมติที่เห็นชอบต่อร่างพระราชบัญญัติที่ทรงทักท้วงลงมา ว่า
“การที่จะให้สภาผู้แทนราษฎรต้องยุบไปเองโดยเหตุที่พระมหากษัตริย์ทรงทักท้วงพระราชบัญญัติฉบับใดลงมานั้น เห็นว่าตามระบอบรัฐธรรมนูญทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนที่ได้เคยทรงขอให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร และรัฐบาลไม่ยินยอมนั้น ข้อนี้ก็ได้กราบบังคมทูลไปแล้วในครั้งก่อนว่ารัฐบาลยังไม่เห็นเป็นการสมควรจึงมิได้ยุบ ตามที่รัฐบาลได้ตอบพระราชบันทึกไปนั้น ก็ได้พยายามหาหนทางที่จะให้เป็นไปโดยไม่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ” [7]
ในกรณีการยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยเป็นการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรีนั้น ปรากฏว่าตลอดระยะเวลา 13 ปี มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่เกิดขึ้นจากความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรีได้เพียงหนเดียวเท่านั้น นั่นคือ การยุบสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2481 [8] และเป็นการถ่วงดุลอำนาจระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับคณะรัฐมนตรีครั้งแรกและครั้งเดียวตลอดระยะเวลา 13 ปีภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 โดยแท้จริงแล้ว ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้ง กับ คณะรัฐมนตรี คณะที่ 8 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี คณะก่อนหน้าและคณะที่ 8 แต่คณะรัฐมนตรีกลับเป็นฝ่ายแพ้ไปด้วยคะแนนเสียง 45 ต่อ 31 เพียงเพราะสมาชิกประเภทที่ 2 ซึ่งสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลอยู่ในห้องประชุมน้อย [9] และการที่สมาชิกประเภทที่ 2 อยู่ในห้องประชุมน้อยจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่นายกรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรี คณะที่ 9 ได้เปลี่ยนจากพระยาพหลพลพยุหเสนาที่เป็นนายกรัฐมนตรีติดต่อกันมาตั้งแต่คณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ถึงคณะที่ 8 มาเป็นหลวงพิบูลสงครามเป็นครั้งแรก
อ้างอิง
[1] ดู การสืบทอดอำนาจทางการเมืองของคณะราษฎรระหว่าง พ.ศ. 2476-2489 ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้า
[2] ผู้เขียนเข้าใจว่า น่าจะเป็นเนื้อหาที่อยู่ร่างรัฐธรรมนูญที่พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯให้พระยาศรีวิสารวาจาและนายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ร่างขึ้นสำหรับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยชี้ว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรมีสองประเภท ประเภทแรกมาจากการเลือกตั้ง และประเภทที่สองมาจากการแต่งตั้ง โดยมีจำนวนเท่ากัน โดยข้อดีของสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งควรจะเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์และมีความสามารถในการตัดสินเกี่ยวกับกิจการสาธารณะ (persons of experience and judgment in public affairs) แต่สมาชิกประเภทนี้จะมีข้อเสียตรงที่ไม่เป็นอิสระพอและประชาชนจะไม่ถือว่าเป็นตัวแทน ส่วนสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งจะมีข้อดีตรงที่มีความเป็นตัวแทนประชาชน แต่ข้อเสียอาจจะไม่มีประสบการณ์และวิจารณญาณในการตัดสินเรื่องสาธารณะได้ ดู “An Outline of Changes in the Form of the Government,” ใน แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๖๙-๒๔๗๕), สถาบันพระปกเกล้า จัดพิมพ์ในพระราชพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕, พิมพ์ครั้งที่สี่, หน้า 199.
[3] “พระราชกระแสที่ทรงไขความแก้คำสนองของรัฐบาลในข้อ 1” ใน ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2417-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช: 2518), หน้า 383-384.
[4] “พระราชกระแสที่ทรงไขความแก้คำสนองของรัฐบาลในข้อ 1” ใน ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2417-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช: 2518), หน้า 383-384
[5] “พระราชกระแสที่ทรงไขความแก้คำสนองของรัฐบาลในข้อ 2” ใน ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2417-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช: 2518), หน้า 388-389.
[6]
[7] “สนองพระราชกระแสที่ทรงไขความข้อ 2” ใน ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2417-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช: 2518), หน้า 389.
[8] http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=การยุบสภา_พ.ศ.2481 https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/385047 https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/29192
[9] เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างสมาชิกประเภทที่ 1 ที่เสนอญัตติดังกล่าว กับรัฐบาลและสมาชิกประเภทที่ 2 ซึ่งสนับสนุนรัฐบาล กล่าวคือ ในการพิจารณาเรื่องจะส่งร่างข้อบังคับดังกล่าวให้กรรมาธิการคณะใดตรวจแก้นั้น รัฐบาลไม่ยินยอมปรึกษาพิจารณาด้วย แม้ฝ่ายรัฐบาลมีสมาชิกประเภทที่ 2 รัฐมนตรีตลอดจนนายกรัฐมนตรี จะได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญ ต่างก็ปฏิเสธสิ้น ที่สุดแล้วสภาผู้แทนราษฎรจึงตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 7 นาย จากสมาชิกประเภทที่ 1 ล้วน ๆ ขึ้นพิจารณาเรื่องดังกล่าว จากความพ่ายแพ้ของรัฐบาลในญัตติดังกล่าว พระยาพหลพลพยุหเสนาจึงได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อปรึกษาถึงการลาออก แต่ที่ประชุมเห็นว่าควรจะยุบสภามากกว่า เพราะถ้าลาออกก็จะไม่มีคณะรัฐมนตรีชุดใดปฏิบัติตามความประสงค์ของรัฐสภาได้ แต่ที่ประชุมก็ยอมลาออกจากตำแหน่งตามความต้องการของนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม เมื่อนายกรัฐมนตรีได้ถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ปรากฏว่าคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่เห็นชอบด้วย โดยเห็นว่ารัฐบาลควรบริหารราชการต่อไปเพราะสถานการณ์ในโลกขณะนั้นกำลังปั่นป่วน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลกำลังจะนิวัติกลับประเทศสยาม ดังนั้นรัฐบาลจึงประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ด้วยการมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สมาชิกประเภทที่ 1)ใหม่ ลงวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2481 http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=การยุบสภา_พ.ศ._2481#การยุบสภา_พ.ศ.2481






