ลานโพธิ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้แต่ง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


ลานโพธิ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นี้อยู่ในอาณาบริเวณพื้นที่ประมาณ 50 ไร่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ท่าพระจันทร์ ถ้าเดินเข้ามาจากทางประตูท่าพระจันทร์ก็จะใกล้นิดเดียว โผล่จากประตูเข้ามาก็จะเห็นต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ทางซ้ายมือที่หน้าตึกคณะศิลปศาสตร์ ทางขวามือนั้นจะเป็นตึกอเนกประสงค์ที่มีศูนย์หนังสืออยู่ที่ชั้นล่างสุด ตึกนี้ขนานกับถนนหน้าตึกโดม...ที่เป็นเส้นทางเดินรถทางเดียวให้ออกประตูท่าพระจันทร์ ลานโพธิ์แห่งนี้เป็นลานขนาดกลาง ที่มีชื่อว่า “เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของธรรมศาสตร์และสังคมไทย” ทั้งนี้นับแต่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย คือ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เพราะการชุมนุมของนักศึกษาที่เริ่มต้นในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ที่ลานโพธิ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทหารของจอมพล ถนอม กิตติขจร ปล่อยตัวผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญ 13 คนที่ทางตำรวจได้จับกุมตัวไป ในบรรดาผู้ที่ถูกจับกุมตัวไปนี้มีอาจารย์ 1 คน และนักศึกษา 2 คน จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รวมอยู่ด้วย การเริ่มชุมนุมประท้วงและเรียกร้องของนักศึกษาได้รับการสนับสนุนจากผู้คนทั้งหลายที่ไม่พอใจรัฐบาลทหารจึงได้เข้ามาร่วมมากขึ้น จนลานโพธิ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่โตมากนักรับไม่ไหวจนต้องย้ายไปชุมนุมกันที่สนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่อยู่ด้านหลังตึกโดม

ต้นโพธิ์ที่ลานโพธิ์แห่งนี้มีขนาดใหญ่มากน่าจะมีอายุแก่กว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่สถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2477 และได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่บริเวณมหาวิทยาลัยที่ท่าพระจันทร์แห่งนี้ตั้งแต่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 นักศึกษาเก่าหลายคนบอกว่าได้เห็นต้นโพธิ์ที่เป็นต้นไม้ใหญ่มาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 แล้ว จึงน่าจะเป็นต้นไม้ที่ติดอยู่กับที่ดิน ตั้งแต่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซื้อมาจากกระทรวงกลาโหมแล้ว ปัจจุบันนี้ที่โคนต้นโพธิ์ได้ทำเป็นที่นั่งหินขัดล้อมรอบต้นโพธิ์เอาไว้และมีแผ่นปฏิมากรรมเหตุการณ์ “14 ตุลา 16” ติดอยู่ และที่พื้นก็มีหมุดเหตุการณ์ด้วย ส่วนความเป็นมาของเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยนั้น ประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกไว้ ดังความต่อไปนี้

“เมื่อย้อนจะดูไปที่เหตุการณ์ “14 ตุลาคม 16” ก็ควรทราบเสียก่อนว่ารัฐบาลทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อ พ.ศ. 2516 นั้นเป็นรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของจอมพลถนอม กิตติขจร เองและล้มสภาตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ปกครองโดยอาศัยธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 ซึ่งมีลักษณะและสภาพเป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราวปกครองประเทศอยู่ ผู้คนจึงว่าเป็นรัฐบาลทหาร”

ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2516 มีบุคคลทั่วไปทั้งนักศึกษาประชาชนร่วมลงชื่อได้สัก 100 คน เรียกร้องรัฐธรรมนูญ คือให้มีรัฐธรรมนูญถาวรออกมาใช้แทนธรรมนูญการปกครองฯ อันหมายความว่ามีการเลือกตั้งและรัฐบาลที่มาจากสภาผู้แทนราษฎร บุคคลที่เป็นผู้ร่วมคิดกันเรียกร้องรัฐธรรมนูญนี้ประมาณ 20 คน ที่มีผู้นำนักศึกษาคนสำคัญ คือ นายธีรยุทธ บุญมี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เดินแจกใบปลิวเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ตำรวจได้จับผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญที่มีอาจารย์ นิสิต นักศึกษา และประชาชนขั้นแรก 12 คน และเพิ่มนายไขแสง สุกใสอดีตผู้แทนราษฎรอีกหนึ่งคนรวมเป็น 13 คน และนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ “14 ตุลา 16” ที่มีการชุมนุมนักศึกษาและประชาชนที่ลานโพธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังที่ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ บันทึกเล่าเหตุการณ์ครั้งนี้เอาไว้

“นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ชุมนุมกันประท้วงการจับกุม และเปิดอภิปรายโจมตีรัฐบาลอย่างรุนแรงในบริเวณมหาวิทยาลัย”

จึงเห็นได้ชัดว่าแม้ตำรวจจะจับกุมตัวผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญไปคุมขังไว้ ก็มิได้ทำให้ผู้คนทั่วไปเกรงกลัวคณะปฏิวัติแต่อย่างใด การเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เริ่มโดยกลุ่มคนจำนวนน้อยเพียงหลัก 100 คนได้รับความเห็นใจจากประชาชนจำนวนมากในกรุงเทพฯ ทำให้มีจำนวนผู้เข้ามาร่วมชุมนุมมากขึ้นตามลำดับ

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 นี้มีผู้คนเขียนเล่ากันอยู่มากในที่นี้จะขอยก บันทึกเล่าของศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในขณะที่เหตุการณ์เกิดขึ้นมาดู เพื่อให้เห็นมุมมองของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ต้องดูแลลานโพธิ์เอง

“วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม 2516 พอพีรพลโทรศัพท์มาบอกว่านักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถูกจับก็ใจหายวาบรู้สึกทันทีว่าเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแล้วอะไรจะตามมาก็ไม่รู้”

พีรพลที่ท่านศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เขียนถึงนี้ก็คือ นายพีรพล ตริยะเกษม นายกองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในขณะนั้น และที่ท่านบอกว่านักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ถูกจับนั้น ก็เพราะในจำนวนผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญ 13 คนที่ถูกจับนั้นมีนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ที่ถูกจับอยู่ 2 คน คือ นายธัญญา ชุนชฎาธาร และนายปรีดี บุญซื่อ ส่วนอาจารย์ก็คือท่านอาจาร์ทวี หมื่นนิกร และอธิการบดีศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ก็บันทึกต่อไปอีก

“วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2516 พีรพลและภูมิสัน มานั่งคอยในห้อง หน้าตาวิตกนัก บอกว่านักศึกษาเห็นจะมีปฏิกริยาแน่ ก็ยิ่งใจไม่สบาย จะถือท้ายเรือไปล่มหรือรอดก็ไม่แน่คราวนี้ ที่ช่วยได้ตอนนั้นก็เป็นเพียงให้สติว่า

1. ปฏิกริยาถ้าจำเป็นต้องมีก็ขอให้ใจเย็น ๆ คิดให้รอบคอบและควรให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผน

2. อย่าใช้ความรุนแรงเป็นอันขาด

3. อย่าออกนอกมหาวิทยาลัยเป็นอันขาด

4. อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาพัวพันกับหลักการ”

ในวันรุ่งขึ้นวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2516 นิสิตนักศึกษาของสถาบันการศึกษาได้ร่วมกันเรียกร้องให้ปล่อยผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญทั้ง 13 คนทันทีในส่วนของการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เริ่มจากลานโพธิ์นั้น ผู้นำในการเรียกร้องที่สำคัญก็คือ นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล อันผู้นำนักศึกษาข้างนอกก็คือ นายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ เลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย นอกจากนิสิตนักศึกษาแล้ว นักเรียนอาชีวะจากสถาบันหลายแห่งก็พากันไปร่วมชุมนุมที่ลานโพธิ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขณะนั้นเองก็ได้บันทึกความทุกข์ของตนในยามนั้นเอาไว้ด้วยว่า

วันอังคารที่ 9 พุธที่ 10 พฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2516 จะกินจะนอนไม่เป็นสุข คอยแต่รับข่าวคราวของลานโพ (ขอบคุณท่านรองอธิการบดีและอาจารย์และนายกองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ประธานสมาชิกสภาฯ ที่บอกให้ทราบทุกระยะ) ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์แคบนิดเดียว แม้จะมีเสรีภาพทุกตารางนิ้วอย่างที่เขาว่าก็จะรับคนตั้งพันตั้งหมื่น ตลอดวันตลอดคืนได้ไปนานเท่าใด เด็กๆ จะไปกินกันที่ไหน จะไปถ่ายกันที่ไหน ไต้ฝุ่นกำลังพาฝนมาลูกหลานเจ็บไข้ไปพ่อแม่จะวุ่นใจเท่าไร”

การชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญที่ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย และกลุ่มนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่สามารถดึงเอานักศึกษา นักเรียนอาชีวะ นักเรียนทั่วไป และประชาชนเข้ามารวมตัวกันยืนหยัดรวมกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยประกาศให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุมตัวไปทั้งหมดโดยปราศจากเงื่อนไข ตอนแรกรัฐบาลจะปล่อยตัวโดยให้ประกันตัวและให้ไปสู้คดี ทางนิสิตนักศึกษา และประชาชนได้ให้เวลารัฐบาลถึงเวลาเที่ยงตรงของวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2516

ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม จนถึงวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เป็นเวลา 5 วัน ที่ผู้ชุมนุมได้รวมตัวรอกันอยู่ที่สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักศึกษาธรรมศาสตร์ไปยึดห้องเรียนและห้องสอบทั้งได้ประกาศเลื่อนการสอบไปอย่างไม่มีกำหนด

เมื่อถึงเวลาเที่ยงตรง วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ตามเวลาที่ทางศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาฯ ได้กำหนดเป็นเส้นตายที่ให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญทั้ง 13 คน และทางรัฐบาลยังมิได้ปฏิบัติตามผู้นำนักศึกษาจึงได้นำนิสิตนักศึกษา นักเรียนและประชาชนที่ชุมนุมรอฟังผลมาหลายวันหลายคืนแล้วเคลื่อนขบวนออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และมุ่งสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า

“การเดินทางขบวนอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของประชาชนไทยได้เริ่มขึ้นจากจุดตรงนี้เอง”

ขบวนซึ่งมีทั้งธงชาติ และธงสีเหลือของศาสนาและพระบรมฉายาลักษณ์ ได้เคลื่อนออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปตามถนนราชดำเนินมุ่งสู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและลานพระบรมรูปทรงม้า

การชุมนุมประท้วงของนิสิตนักศึกษา นักเรียน และประชาชน ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าได้ยืดเยื้อ ต่อมาจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ท่านกลางความสับสนที่มีข่าวว่ารัฐบาลยอมปล่อยตัวผู้ถูกจับแล้วกับการที่รัฐบาลไม่ยอมปล่อยตัวและจะจัดการกับผู้ชุมนุม ดังที่ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ บันทึกว่า

“แต่ปรากฏการเข้าใจผิดกันทั้งฝ่ายนักศึกษาและเจ้าหน้าที่รักษาการณ์จนถึงขั้นรุนแรง เมื่อเกิดความไม่สงบขึ้นแล้วทางทหารก็ส่งกำลังเข้าปราบปรามทั้งกำลังคน อาวุธปืน และรถถัง เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ด้วย ทำให้ประชาชน นักเรียน นักศึกษา บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก”

ผลของการเกิดความรุนแรง มีการใช้กำลัง และมีประชาชนเสียชีวิตหลายคนในวันนั้น ทำให้จอมพลถนอม กิตติขจร ผู้นำทหารคนสำคัญที่เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ต้องยอมลาออกจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีพ้นทั้งคณะและตัวจอมพลถนอม กิตติขจรเอง กับบุตรชายคนโต คือ พันเอกณรงค์ กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่มีตำแหน่งสำคัญในกองทัพก็ต้องลาออกจากทุกตำแหน่งในกองทัพ และต้องยอมเดินทางออกไปต่างประเทศด้วยทันที

ตอนดึกของคืนวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 นั่นเอง ขณะที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะคับขัน เมื่อจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง บ้านเมืองจึงว่างรัฐบาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชกระแสรับสั่งผ่านทางโทรทัศน์ความว่า

“วันนี้เป็นวันมหาวิปโยคที่น่าเศร้าสลดใจอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของประชาชนชาวไทย ตลอดระยะเวลา 6-7 วันที่ผ่านมาได้มีการเรียกร้องและเจรจากัน จนกระทั่งนักศึกษาและรัฐบาลทำข้อตกลงกันได้ แต่แล้วมีการขว้างระเบิดขวดและยิงแก๊สน้ำตาขึ้น ทำให้เกิดการปะทะกันและได้มีคนได้รับบาดเจ็บหลายคน ความรุนแรงได้ทวีขึ้นทั้งพระนคร ถึงขั้นจลาจลและยังไม่สิ้นสุดมีคนไทยด้วยกันต้องเสียชีวิตนับร้อย

ขอให้ทุกฝ่าย ทุกคนพึงระงับเหตุแห่งความรุนแรง ด้วยการตั้งสติยับยั้ง เพื่อให้ชาติบ้านเมืองคืนสู่สภาพปกติเร็วที่สุด

อนึ่ง เพื่อขจัดเหตุร้ายนั้น จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ขอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อค่ำวันนี้ ข้าพเจ้าจึงแต่งตั้งให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี

ขอให้ทุกคนทุกฝ่ายร่วมกันสนับสนุน เพื่อให้คณะรัฐบาลใหม่สามารถบริหารงานแผ่นดินได้โดยมีประสิทธิภาพเต็มเปี่ยม และแก้ไขสถานการณ์ให้คืนสู่สภาพเรียบร้อยได้โดยเร็ว ยังความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรืองให้บังเกิดแก่ประเทศ และประชาชนชาวไทยโดยทั่วกัน”

ดังนั้น ในคืนวันเดียวกัน ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บุรุษไทยผู้มิได้เคยมีความคิดที่จะเล่นการเมืองเลยก็ได้ ให้คำมั่นสัญญาทางการเมืองเป็น “ปฐมวาทะทางการเมือง” แด่มหาชนชาวไทย ในฐานะนายกรัฐมนตรีหัวหน้ารัฐบาลที่จะต้องเข้ามาดำเนินการให้บ้านเมืองสงบสุขว่า

“ข้าพเจ้าขอสัญญาว่าจะให้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรโดยเร็วที่สุดที่จะทำได้และข้าพเจ้าคาดว่าจะไม่ควรจะเกิน 6 เดือน นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะเชื้อเชิญท่านผู้ทรงคุณวุฒิ มีคุณธรรม มีความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริตประกอบเข้าเป็นคณะรัฐมนตรีในเร็ววันนี้ ขอให้ท่านข้าราชการประจำทุกท่านไม่ว่าในตำแหน่งใด ได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ท่านมีอยู่ในปัจจุบันต่อไปตามเดิมทุกประการ

รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นี้มีเจตจำนงจะปกครองชาติตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง สวัสดี”

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 นับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ประชาชนลุกฮือขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยจากรัฐบาล โดยเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญถาวร และเมื่อรัฐบาลใช้อำนาจจับกุมตัวประชาชนที่เรียกร้องอย่างสันติวิธีเข้าคุมขัง การเรียกร้องของประชาชนกลุ่มน้อยได้รับการสนองตอบจากประชาชนจำนวนมากจนทำให้รัฐบาลล้มลง และทำให้ผู้คนเข้าใจว่าอำนาจของประชาชนนั้นมีโอกาสแสดงพลังเล่นงานรัฐบาลได้ มีนักวิชาการทางรัฐศาสตร์ ศาสตราจารย์ เสน่ห์ จามริก ได้ให้ความเห็นไว้ว่า เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ได้ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญทางการเมืองว่า

“เปลี่ยนรูปการเมืองของอภิสิทธิ์ชน มาสู่ยุคการเมืองของมวลชน ปฏิวัติ 14 ตุลาคม จะเป็นที่เข้าใจได้ดีขึ้นก็ในแง่ที่เป็นช่วงหนึ่งในกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมการเมืองไทย แต่โดยที่การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องกระทบถึงอำนาจและผลประโยชน์ จึงเป็นธรรมดาที่ย่อมจะต้องมีทั้งผู้สนับสนุนและต่อต้าน”