ประชาชาติ (พ.ศ. 2534)
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
พรรคประชาชาติ (2534)
หลังจากถูกคำสั่งศาลฎีกาให้ยุบเลิกพรรคในปี 2532 พรรคประชาชาติก็ได้ยุติบทบาททางการเมืองในฐานะพรรคการเมืองไปเป็นเวลาประมาณ 2 ปีเศษ จากนั้น พรรคประชาชาติได้ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองอีกครั้ง เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2534 ในทะเบียนเลขที่ 27/2534 โดยใช้ชื่อในภาษาไทยว่า “พรรคประชาชาติ” และในภาษาอังกฤษว่า “NATIONAL PARTY” ใช้ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรค ณ เลขที่ 44 ถนนพหลโยธิน ซอย 11 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ที่เดียวกันกับพรรคประชาชาติ พ.ศ. 2531[1]
เครื่องหมายประจำพรรคประชาชาติ พ.ศ. 2534 ก็มีลักษณะเดียวกับเครื่องหมายประจำพรรคประชาชาติ พ.ศ. 2531 เป็นรูปวงกลม มีเครื่องหมายตราชูประดับอยู่ด้านบน มีแถบสีธงชาติไทยบรรจุอยู่ภายในวงกลม และมีตัวอักษร “พรรคประชาชาติ” และ “NATIONAL PARTY” ปรากฏอยู่ด้วย [2]
อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชาติ พ.ศ. 2534 ได้มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคเล็กน้อย โดยในครั้งนี้คณะกรรมการบริหารพรรคมีทั้งสิ้น 15 คน ตำแหน่งสำคัญ ๆ มีรายชื่อดังนี้ [3]
1. นายเผดิม สิริเวชชะพันธ์ หัวหน้าพรรค
2. พันตรีทองทวี อินทรทัต รองหัวหน้าพรรค
3. นายกฤตกร เรืองวิเศษ รองหัวหน้าพรรค
4. นายสำราญ สธูป รองหัวหน้าพรรค
5. นายมกรินทร์ เนื้อนวล เลขาธิการพรรค
6. นายสุนาท เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองเลขาธิการพรรค
นโยบายของพรรคประชาชาติ พ.ศ. 2534[4]
1. นโยบายด้านการเมือง
ธำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
มุ่งสร้างสรรค์และจรรโลงระบบพรรคการเมืองให้เป็นองค์กรสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยทุกอาชีพมีส่วนเข้าร่วมในกระบวนการเมืองของประเทศ
ป้องกันและขจัดการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงของหน่วยราชการ
ส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนในการพัฒนาประเทศ
2. นโยบายด้านเศรษฐกิจ
จะเพิ่มผลผลิตของประเทศและรายได้ของประชาชาติ
จะกระจายผลของการพัฒนาเศรษฐกิจออกไปให้ถึงประชาชนทั่วราชอาณาจักร
จะปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้มั่นคงและสมดุลยิ่งขึ้น
จะส่งเสริมอุตสาหกรรมของเอกชนทุกประเภท
จะพัฒนาแรงงานระดับต่าง ๆ และรักษาเสถียรภาพการเงิน, การคลังของประเทศ
3. นโยบายด้านสังคม
จะเร่งรัดและบริการในด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง
จะส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา
จะพัฒนาการศึกษาให้ประสานกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
จะส่งเสริมและรักษาขนบธรรมเนียมอันดีงามของชาติและประชาชน
จะส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์ในระดับต่าง ๆ
4. นโยบายด้านความมั่นคง
จะเสริมสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง มีเกียรติ มีวินัย และสร้างค่านิยมในกองทัพ
จะปราบปรามผู้ก่อการร้ายให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว
ป้องกันมิให้ประชาชนหลงผิดไปเข้ากับขบวนการก่อการร้าย
ใช้นโยบายทางการเมืองประสานควบคู่กับมาตรการปราบปรามผู้ก่อการร้าย
พัฒนาด้านยุทธศาสตร์และยุทธวิธี
5. นโยบายด้านต่างประเทศ
จะรักษาศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของประเทศในการดำเนินความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
ให้ความร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ
ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้าน
สนับสนุนนโยบายผูกมิตรกับทุกประเทศ และระงับการขัดแย้งโดยสันติวิธี
เสริมสร้างเศรษฐกิจระหว่างประเทศให้มั่นคงยิ่งขึ้น
ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 พรรคประชาชาติได้ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 91 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 มาตรา 46 (3) ที่ระบุให้พรรคการเมืองต้องส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 120 คน จึงเป็นเหตุให้ศาลฎีกามีคำสั่งที่ 3671/2535 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2535 ให้ยุบพรรคประชาชาติอีกครั้ง[5]
อ้างอิง
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 105 ตอนที่ 104, วันที่ 1 กรกฎาคม 2531, หน้า 4-5. และ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 108 ตอนที่ 112, วันที่ 25 มิถุนายน 2534, หน้า 422
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 105 ตอนที่ 104, วันที่ 1 กรกฎาคม 2531, หน้า 4-5. และ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 108 ตอนที่ 112, วันที่ 25 มิถุนายน 2534, หน้า 422.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 108 ตอนที่ 112, วันที่ 25 มิถุนายน 2534, หน้า 422-423.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 108 ตอนที่ 112, วันที่ 25 มิถุนายน 2534, หน้า 423-425.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 111 ตอนที่ 39 ง, วันที่ 17 พฤษภาคม 2537, หน้า 31-32.