ซิม วีระไวทยะ

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

 

ผู้แต่ง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


ซิม วีระไวทยะ : ผู้ก่อการฯฝ่ายพลเรือน
          ซิม วีระไวทยะ เป็นผู้ก่อการฯฝ่ายพลเรือนอีกคนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซึ่งอาจมีคนรู้จักน้อย มีชื่อไม่เท่ากับ "คู่หู" ของท่านที่ชื่อ สงวน ตุลารักษ์ ทั้งๆที่ผู้ก่อการฯ 2 ท่านนี้ได้ช่วยหัวหน้าฝ่ายพลเรือน นายปรีดี พนมยงค์ ทำงานทั้งก่อนเปลี่ยนแปลงและหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดังที่มีการเล่ากันถึงเรื่องที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีในครั้งนั้นเผลอไปกล่าวว่าทั้งสองท่านนี้ "..เป็นโมคคัลลาห์สารีบุตรของหลวงประดิษฐ์.." ทั้งๆที่ความจริงทั้งสองท่านมิได้เป็นศิษย์เรียนหนังสือกับนายปรีดี พนมยงค์ หากแต่เรียนหนังสือกับพระยามโนฯที่โรงเรียนกฎหมาย

ชื่อของนายซิม วีระไวทยะ หายไปหลัง พ.ศ.2486 ดังนั้นจึงควรมารู้จักกับ นายซิม ผู้ก่อการฯที่คนในวงวรรณกรรมรู้จักท่านในฐานะนักเขียนนักแปลที่สำคัญคนหนึ่ง หนังสือเรื่องนั้นชื่อ "ดวงใจ"

ประวัติของท่านในหนังสืองานศพมีว่า " ซิม วีระไวทยะ เกิด ณ วันอาทิตย์ เดือน8 ปีฉลู ตรงกับเดือนสิงหาคม พ.ศ.2444" ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเป็นวันที่ 4 หรือ 11 สิงหาคม บ้านเกิดอยู่ที่ตำบลวัดเพลง อำเภอแม่น้ำอ้อม จังหวัดราชบุรี มีพ่อชื่อ สิงโต แม่ชื่อชุ่ม ท่านเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนศรัทธาสมุทร ซึ่งเป็นโรงเรียนสำคัญของจังหวัดสมุทรสงคราม และได้ไปเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนอัสสัมชัญ จึงมีความรู้ภาษาอังกฤษดี จากนั้นจึงมาเป็นนักเรียนกฎหมาย ที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม โดยทำงานเป็นครูไปเรียนกฎหมายไป จนเรียนจบกฎหมาย จึงได้ออกจากงานครูไปเป็นทนายความที่สำนักผดุงธรรม ซึ่งก็เป็นสำนักงานทนายความที่เดียวกับที่นายสงวน ตุลารักษ์ ทำงานอยู่ และเพื่อนที่โรงเรียนกฎหมายนี่เองที่ชักนำนายซิม ให้ได้รู้จักกับนายปรีดี พนมยงค์ และนายซิม ก็ได้เข้าร่วมงานการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดังที่นายปรีดี พนมยงค์ได้เขียนถึงนายซิมเอาไว้ว่า

" ข้าพเจ้าได้รู้จักนายซิม เมื่อ พ.ศ.2470 ภายหลังที่ข้าพเจ้าได้กลับจากการศึกษาวิชา ณ ประเทศฝรั่งเศสแล้ว ในระหว่างนั้นข้าพเจ้ากำลังเสาะหาผู้ที่มีความคิดร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้รับทราบจากนายกลึง พนมยงค์ (หลวงอรรถกิจกำจร) ว่ามีเนติบัณฑิตพวกผดุงธรรมอยู่คณะหนึ่ง ซึ่งเคยได้สนทนาถึงการที่อยากจะเปลี่ยนการปกครองโดยให้ประเทศไทยได้ปกครองตามระบอบรัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าจึงได้ทำความรู้จักกับทนายความในสำนักนี้และทาบทาม..."

ในงานเปลี่ยนแปลงการปกครองฯครั้งนั้น นายปรีดี พนมยงค์ ยังได้เขียนเล่าไว้อีกว่า

“ครั้นถึงกำหนดที่จะลงมือกระทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงได้กำหนดแยกหน้าที่ว่าผู้ใดทำหน้าที่อะไร นายซิม ได้รับหน้าที่ให้ทำการร่วมกับฝ่ายทหาร ซึ่ง ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงครามได้กำหนดให้ไปทำการร่วมกับ ฯพณฯ พ.อ.ช่วง เชวงศักดิสงคราม "

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว นายซิม วีระไวทยะ ยังช่วยงานนายปรีดี พนมยงค์ ทางฝ่าย
พลเรือน ที่นายปรีดี พนมยงค์ ระบุว่า "ทำหน้าที่เสมือนเลขาธิการเสนาบดีสภา" แต่ที่สำคัญก็คือ ในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2475 นายซิม วีระไวทยะ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร. จำนวน 70 คน การเป็นสมาชิกสภาฯ จึงทำให้นายซิม เป็นหนึ่งในสมาชิกสภาฯที่มีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกของไทย จนบรรลุความสำเร็จนำออกประกาศใช้ได้ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญครั้งนั้น นายซิม วีรไวทยะ ได้อภิปรายเสนอความคิดเห็นด้วยหลายเรื่อง ที่น่าสนใจก็คือท่านเป็นผู้เสนอญัตติเลิกบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ โดยท่านเสนอว่า

"ตั้งแต่แรกใช้พระธรรมนูญปกครองชั่วคราว มีสมาชิกประเภทที่ 2 นั้น มีผู้เข้าใจผิดคิดว่าคณะราษฎรจะแย่งอำนาจ ที่จริงคณะราษฎรไม่ได้ทำเช่นนั้น ความจริงอยากปล่อยสิทธิให้ประชาชนสยาม ขอเสนอให้ที่ประชุมวินิจฉัยว่า สมควรแล้วหรือยังที่จะให้ราษฎรเลือกผู้แทนเองทั้งหมด ถ้าเป็นการสมควร ก็ยกเลิกบทเฉพาะกาล"

ทั้งนี้นายซิมได้ขอให้มีการลงมติด้วย แต่ที่ประชุมกลับตกลงกันได้ว่าไม่ต้องลงมติ และขอให้นาย
ซิมถอนญัตติ งานของการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นมิใช่เพียงการยึดอำนาจและเปลี่ยนคณะผู้ปกครองเท่านั้น นายซิมจึงเป็นผู้ก่อการฯอีกคนหนึ่งที่ได้ร่วมกับนายสงวน ตุลารักษ์ ทำหน้าที่เป็น "แนวนำ" ที่จะสื่อสารไปยังราษฎรทั้งหลายหรือมวลชนให้รู้ความคิดของคณะราษฎร นายซิมได้ทำหนังสือพิมพ์ชื่อ "สจฺจํ" ขึ้นมา เพราะ "มีบุคคลบางคนในพรรคการเมืองอื่น ได้ใช้หนังสือพิมพ์เป็นเครื่องมือเขียนข้อความไปในทำนองยุยงส่งเสริมที่จะให้มหาชนเข้าใจผิดในคณะราษฎร "

แต่แล้วหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็ถูกให้ร้ายว่าเป็นหนังสือฝ่ายซ้าย ถึงขนาดเอาไปเทียบว่าตรงกับหนังสือพิมพ์ Pravda ของสหภาพโซเวียต จนนายกรัฐมนตรี พระยามโนฯขอให้เลิกทำ และนายซิมยินยอมปิดหนังสือพิมพ์ของตนเอง และไปทำงานส่วนตัวอื่น จนนายกรัฐมนตรีขอให้มีพระราชกฤษฎีกาปิดสภา นายซิมจึงหมดหน้าที่ทางการเมืองในสภาฯ ครั้นมีการยึดอำนาจและเปิดสภาฯอีกครั้งนายซิมจึงกลับมาทำงานในสภาฯอีก แต่ก็ไม่นาน เพราะในวันที่ 5 กรกฎาคมปีเดียวกัน นายซิมก็ลาออกจากสภาฯ เชื่อกันว่าท่านถูกขอให้ลาออกพร้อมกับสมาชิกอื่นอีก 4 คน แต่เมื่อเกิดกบฏบวรเดชในเดือนตุลาคมปี 2476 นายซิมก็อาสาไปรบกบฏพร้อมกับผู้ก่อการฯฝ่ายพลเรือนคนอื่นๆ "ให้ปฏิบัติหน้าที่ในสนามรบ"

นายซิมกลับมาเป็นสมาชิกสภาฯอีกครั้งในปี 2481 และยังได้เป็นเทศมนตรีอีกด้วย ชีวิตของนายซิมไม่ยาวนัก ช่วงเวลาที่ไทยอยู่ในภาวะสงคราม โรคภัยก็มาพรากนายซิม วีระไวทยะ ไปจากภรรยา คุณจิ้มลิ้ม ครอบครัวและญาติมิตรในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2486