คำปรารภ
ผู้เรียบเรียง วันวิภา สุขสวัสดิ์
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง
บทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ก่อนที่จะนำมาประกาศใช้โดยทั่วไป ต้องผ่านกระบวนการที่สำคัญคือ การยกร่างกฎหมาย ซึ่งรูปแบบของร่างกฎหมายแต่ละฉบับนั้นโดยหลักสามารถแบ่งได้สามส่วนคือ (1) ส่วนของบทนำ (2) ส่วนของบทบัญญัติก่อนเริ่มเนื้อหา และ (3) บทบัญญัติเนื้อหา ซึ่งสาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับหนึ่งๆ นั้นจะประกอบไปด้วย ชื่อกฎหมาย คำปรารภ บทบัญญัติจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ วันใช้บังคับกฎหมาย บทยกเลิกกฎหมาย บทนิยาม มาตรารักษาการ บทเฉพาะกาล และการแบ่งหมวดหมู่กฎหมาย แต่สำหรับกฎหมายในลำดับศักดิ์อื่น แบบของร่างกฎหมายอาจแตกต่างกันบางประการ ซึ่งในร่างกฎหมายฉบับหนึ่งๆ นั้น ส่วนที่ถือว่ามีความสำคัญส่วนหนึ่งที่จะบอกถึงเหตุผลหรือความจำเป็นของการออกกฎหมายฉบับนั้นก็คือในส่วนของ “คำปรารภ”
ความมุ่งหมายของคำปรารภ
คำปรารภ หรือข้อความขึ้นต้นกฎหมายมีขึ้นด้วยความมุ่งหมายที่จะบ่งบอกให้ทราบถึงความจำเป็นในการมีกฎหมายฉบับนั้นๆโดยในการตรากฎหมายระดับพระราชบัญญัติลงมา คำปรารภเป็นอรัมภบทของกฎหมายที่มีขึ้นด้วยความมุ่งหมายดังต่อไปนี้
1. แสดงพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติตามรัฐธรรมนูญด้วยความเห็นชอบขององค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ โดยพระราชบัญญัตินั้นได้ผ่านการพิจารณาตามกระบวนการนิติบัญญัติตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
2. เพื่อแจ้งให้ทราบว่ากฎหมายที่ตราขึ้นใช้บังคับนั้น เป็นกฎหมายใหม่ที่ไม่เคยมีการใช้บังคับมาก่อน หรือเป็นเพียงกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ หรือเป็นกฎหมายที่ปรับปรุงกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ หรือเป็นกฎหมายยกเลิกกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ โดยเริ่มด้วยถ้อยคำว่า “โดยที่เป็นการสมควร.........”
3. เพื่อให้ทราบว่าพระราชบัญญัติฉบับนั้นมีบทบัญญัติที่เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามบทบัญญัติมาตราใดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ดังนั้นโดยหลักแล้วคำปรารภจะกำหนดให้ทราบถึงความมุ่งหมายของกฎหมายฉบับนั้นๆ แต่ทั้งนี้ก็มีข้อยกเว้นของคำปรารภของกฎหมายบางฉบับ ที่นอกจากจะกำหนดให้ทราบว่าสมควรมีกฎหมายว่าด้วยเรื่องใดแล้ว มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดจุดประสงค์ของการตรากฎหมายแทนการระบุว่าเป็นการมี แก้ไข ปรับปรุง ยกเลิกกฎหมายว่าด้วยเรื่องใด เพื่อให้เกิดความชัดเจน ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับว่า การกำหนดโดยระบุให้มีกฎหมายว่าด้วยเรื่องใดกับจุดประสงค์ของการตรากฎหมาย อย่างใดทำให้สามารถเข้าใจได้ดีกว่ากัน[1]
รูปแบบของคำปรารภ
1. รูปแบบหลัก
แบบกฎหมายในส่วนของคำปรารภที่แสดงพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการประกาศใช้บังคับกฎหมาย ในชั้นที่ยังเป็นร่างพระราชบัญญัติ จะไม่มีการใส่ข้อความใดๆ ในส่วนนี้ไว้ เมื่อร่างพระราชบัญญัติได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ความในส่วนนี้จะกำหนดขึ้นในขั้นตอนการจัดทำพระราชบัญญัติเพื่อทูลเกล้าฯ พระมหากษัตริย์เพื่อลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมาย และจะปรากฏในพระราชบัญญัติที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งแบบกฎหมายทั่วไปปรากฏเป็นดังนี้
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้”[2]
ส่วนกฎหมายระดับพระราชกำหนดเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยฝ่ายบริหาร ซึ่งคณะรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาร่างกฎหมาย และนายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ได้เช่นเดียวกับพระราชบัญญัติ โดยไม่ต้องเสนอร่างพระราชกำหนดให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แต่เมื่อประกาศใช้แล้วคณะรัฐมนตรีต้องเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนดนั้น[3]
พระราชกำหนดจึงแตกต่างจากพระราชบัญญัติตรงที่พระราชกำหนดนั้นจะออกมาใช้บังคับสำหรับกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น ได้แก่ เรื่องที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือความปลอดภัยสาธารณะ หรือกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา[4] ซึ่งรูปแบบของคำปรารภของพระราชกำหนดจะต่างกับพระราชบัญญัติตรงคำโปรดเกล้าให้ตรากฎหมาย และในขั้นตอนการตราพระราชกำหนดจะต้องระบุส่วนนี้ไว้ด้วย ทั้งนี้เพราะพระราชกำหนดนั้นเป็นกฎหมายที่ทางฝ่ายบริหารเป็นผู้เสนอพระมหากษัตริย์เพื่อขอพระราชทานประกาศใช้ไปก่อนและค่อยเสนอต่อรัฐสภา คำโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชกำหนด จึงใช้ว่า
“อาศัยอำนาจตามความในมาตรา.............ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้”
พระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยฝ่ายบริหารตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชกฤษฎีกาที่ตราขึ้นนั้นมีอยู่สองประเภท คือ พระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมาย และ พระราชกฤษฎีกาที่ไม่ได้ออกโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายใดๆ เลย เช่น พระราชกฤษฎีกากำหนดเบี้ยประชุมคณะกรรมการ หรือ พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมาชิกรัฐสภาตามสมัยประชุม[5] แต่ส่วนมากแล้ว พระราชกฤษฎีกาจะตราขึ้นกรณีที่พระราชบัญญัติมีบทบัญญัติให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ซึ่งคำปรารภของพระราชกฤษฎีกานั้นทั้งในส่วนของคำโปรดเกล้าให้ตรากฎหมายและบทอาศัยอำนาจให้ตรากฎหมายจะไม่แตกต่างกับของพระราชกำหนด[6]
ส่วนกรณีการแจ้งให้ทราบว่ากฎหมายที่ตราขึ้นใช้บังคับนั้นเป็นกฎหมายใหม่ที่ไม่เคยมีการใช้บังคับมาก่อน หรือเป็นเพียงกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ หรือเป็นกฎหมายที่ปรับปรุงกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ หรือเป็นกฎหมายยกเลิกกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ กับกรณีการแจ้งให้ทราบว่าพระราชบัญญัติฉบับนั้นมีบทบัญญัติที่เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามบทบัญญัติมาตราใดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต้องกำหนดไว้ตั้งแต่ชั้นยกร่างกฎหมาย เพื่อให้ทราบในเบื้องต้นว่า ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นกฎหมายที่มีหลักการสำคัญอย่างไรโดยมีแบบดังนี้
............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
โดยที่เป็นการสมควร............................
............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
1) กรณีคำปรารภของกฎหมายฉบับแรก
คำปรารภของกฎหมายที่ตราเป็นพระราชบัญญัติฉบับแรก หรือตราพระราชบัญญัติเพื่อยุบรวมกฎหมายหลายฉบับโดยกำหนดหลักการขึ้นใหม่ ซึ่งอาจมีการนำเนื้อหาสาระของกฎหมายฉบับเดิมมากำหนดไว้ด้วย เช่น
“โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วย............................”
2) กรณีคำปรารภของกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม
คำปรารภของกฎหมายที่ตราเป็นพระราชบัญญัติ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติและพระราชกำหนด เช่น
“โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วย.........................”
3) กรณีคำปรารภของกฎหมายปรับปรุง
คำปรารภของกฎหมายที่ตราเป็นพระราชบัญญัติ เพื่อต้องการปรับปรุงกฎหมาย ซึ่งรวมทั้งพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ประกาศของคณะปฏิวัติ และคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เช่น
“โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วย.................................”
4) กรณีคำปรารภของกฎหมายยกเลิก
รูปแบบนี้จะนำมาใช้กับคำปรารภของกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อต้องการยกเลิกกฎหมาย เช่น
“โดยที่เป็นการสมควรยกเลิกกฎหมาย........................................”[7]
ส่วนการเขียนอ้างบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อตรากฎหมายจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลจะต้องเขียนเฉพาะกรณีที่มีบทบัญญัติมาตราใดมาตราหนึ่งในร่างพระราชบัญญัตินั้น จำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้[8] ซึ่งจะจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ได้เฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ทำได้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้[9] ปรากฏดังนี้
พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งตามมาตรา............ประกอบกับมาตรา..........มาตรา........และมาตรา........ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
2. รูปแบบยกเว้น
คำปรารภของกฎหมายที่เป็นข้อยกเว้นแบบหลักนั้น ไม่อาจกำหนดรูปแบบที่แน่นนอนได้ เนื่องจากเป็นเรื่องของข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาระและหลักการของกฎหมายในแต่ละกรณีที่มีความแตกต่างกัน เช่น กรณีการออกกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ เช่น มหาวิทยาลัยหรือรัฐวิสาหกิจ มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งการควบคุมและการกำกับดูแลหน่วยงานของรัฐซึ่งแตกต่างกันตามลักษณะและประเภทของหน่วยงานของรัฐ ดังนั้นคำปรารภจึงจำเป็นต้องมีข้อความที่แสดงแตกต่างกัน รูปแบบของคำปรารภที่กำหนดจึงแตกต่างจากรูปแบบหลัก แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังคงต้องเป็นไปตามหลักการทั่วไป คือ ระบุอย่างถูกต้องและครบถ้วนชัดเจน[10]
นอกจากนี้กรณีของคำปรารภในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จะถือว่าเป็นรูปแบบยกเว้นก็ได้ เนื่องจากมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากกฎหมายลำดับอื่น กล่าวคือ คำปรารภในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะมีคำบอกศักราช[11] มีส่วนที่การกล่าวถึงเหตุการณ์ ความจำเป็น หรือเจตนารมณ์ในการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ รวมตลอดถึงกระบวนการในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับนั้นๆ ซึ่งคำปรารภในส่วนนี้ของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะแตกต่างกัน
คำปรารภในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นคำกล่าวนำที่แสดงถึงหลักการและเหตุผลของรัฐธรรมนูญ ซึ่งโดยปกติกฎหมายทุกฉบับจะต้องมีหลักการและเหตุผลแสดงอยู่ก่อนที่จะถึงตัวบท ส่วนรัฐธรรมนูญนั้นจะมีคำปรารภแทนหลักการและเหตุผล ซึ่งโดยปกติคำปรารภจะประกอบด้วยสามส่วนสำคัญด้วยกัน คือ การบอกศักราช (หมายถึงการกล่าวถึงวันเดือนปี) กับพระปรมาภิไธย เพราะพระมหากษัตริย์เท่านั้นเป็นผู้ทรงใช้อำนาจอธิปไตยส่วนหนึ่ง ประวัติความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับนั้นๆ ส่วนหนึ่ง และส่วนที่เป็นพระราชปรารภและพระราชปณิธานอีกส่วนหนึ่งรวมเป็นสามส่วน[12]
ด้วยเหตุนี้ข้อความในคำปรารภในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงเป็นการแสดงให้ทราบที่มาของรัฐธรรมนูญ แสดงให้เห็นความจำเป็นในการที่ต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แสดงถึงประวัติของชาติ และประกาศสิทธิและเสรีภาพของราษฎร อีกทั้งยังถือเสมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญที่ชี้ถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและอาจนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการตีความรัฐธรรมนูญได้ นอกจากนั้นที่ถือว่าเป็นลักษณะพิเศษของคำปรารภในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คือการมีพระบรมราชปณิธาน[13] ดังในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 บัญญัติไว้ว่า “ขอให้ปวงชนชาวไทย จงมีความสมัครสโมสรเป็นเอกฉันท์ ในอันที่จะปฏิบัติตามและพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ เพื่อธำรงคงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย และนำมาซึ่งความผาสุกสิริสวัสดิ์พิพัฒนชัยมงคล อเนกศุภผลสกลเกียรติยศสถาพรแก่อาณาประชาราษฎรทั่วสยามรัฐสีมา สมดั่งพระบรมราชปณิธานปรารถนาทุกประการเทอญ”
พัฒนาการของคำปรารภ
จากการตรวจสอบพระราชบัญญัติต่างๆ ในอดีตจนถึงที่ยังใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน พบว่าเดิมมีการเขียนคำปรารภอยู่มากมายหลายแนวทาง โดยในแต่ละแนวทางมีลักษณะเฉพาะ มีวิวัฒนาการและมีเหตุผลความเป็นมาที่แตกต่างกัน รวมทั้งได้เปลี่ยนแปลงไปตามแนวคิดตามยุคตามสมัย กล่าวคือ ในอดีตจนถึง พ.ศ. 2490 ได้มีแนวการเขียนคำปรารภที่ยาว ทั้งนี้ เพื่อจะกล่าวถึงเหตุผลความจำเป็นและวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติ เพื่อให้ประชาชนผู้อยู่ภายใต้กฎหมายเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า เหตุใดจึงมีความจำเป็นต้องประกาศใช้บังคับกฎหมายในเรื่องนั้นๆ ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นเครื่องมือในการค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมายได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ คำปรารภของกฎหมายฉบับแรกโดยหลักจะไม่มีคำว่า “ให้” ในประโยคที่ว่า “โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วย................” เพราะเมื่อพิจารณาความในส่วนแรกที่ว่า “.................มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า...............” ได้มีคำว่า “ให้” อยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อมิให้ประโยคถัดมาซึ่งได้แก่ “โดยที่เป็นการสมควร................” ใช้คำว่า “ให้” ซ้ำกันอีก ประโยคดังกล่าวจึงควรต้องเขียนว่า “โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วย............................” แต่อย่างไรก็ดี ปรากฏว่ากฎหมายหลายฉบับได้มีคำปรารภซึ่งใช้ประโยคที่ว่า “โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วย.............” ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ซึ่งกำหนดคำปรารภไว้ว่า “โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ” เป็นต้น[14]
ดังนั้นในปัจจุบันพระราชบัญญัติทุกฉบับจะต้องมีคำปรารภปรากฏอยู่เสมอ แม้เดิมนั้น คำปรารภจะมีข้อความที่ยาวและแสดงเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติไว้อย่างสมบูรณ์ แต่มาในสมัยหลังนี้ คำปรารภสั้นลงมาก เพราะจะไปปรากฏในเหตุผลท้ายพระราชบัญญัติ ซึ่งจะมีอยู่ในพระราชบัญญัติทุกฉบับเช่นเดียวกัน ต่างกันที่ว่า เหตุผลท้ายพระราชบัญญัติไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของพระราชบัญญัติเหมือนคำปรารภ และคำปรารภนี้ต้องถือว่า มีผลบังคับตามกฎหมายเช่นเดียวกับตัวพระราชบัญญัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตีความพระราชบัญญัติจะต้องดูและพิจารณาจากคำปรารภประกอบด้วย ตัวอย่างเช่น ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551[15] ข้อ 129 วรรคแรกบัญญัติว่า
“ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ให้สภาพิจารณาเริ่มต้นด้วยชื่อร่าง คำปรารภ แล้วพิจารณาเรียงตามลำดับมาตรา และให้สมาชิกอภิปรายได้เฉพาะถ้อยคำหรือข้อความที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม หรือผู้แปรญัตติที่มีการสงวนคำแปรญัตติหรือกรรมาธิการที่มีการสงวนความเห็นไว้ ทั้งนี้ เว้นแต่ที่ประชุมจะเห็นเป็นอย่างอื่น”
อ้างอิง
- ↑ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, คู่มือแบบการร่างกฎหมาย (กรุงเทพ : สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, 2551) หน้า 67-68.
- ↑ เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน.
- ↑ ประวีณ ณ นคร, เทคนิคการร่างกฎหมาย (กรุงเทพมหานคร : สวัสดิการสำนักงาน ก.พ., 2543) หน้า 148.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 184 และ มาตรา 186, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอน 74 ก, 24 สิงหาคม 2550, หน้า 68-70
- ↑ หยุด แสงอุทัย, ความรู้เบื้องต้นในการร่างกฎหมายและการแก้ไขร่างกฎหมาย (ม.ป.ป. ม.ป.ท.), หน้า 6-7.
- ↑ ประวีณ ณ นคร, เทคนิคการร่างกฎหมาย, หน้า 146-151.
- ↑ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, คู่มือแบบการร่างกฎหมาย, หน้า 67-68.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 29, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอน 74 ก 24 สิงหาคม 2550, หน้า 8.
- ↑ ประวีณ ณ นคร, เทคนิคการร่างกฎหมาย, หน้า 151.
- ↑ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, คู่มือแบบการร่างกฎหมาย, หน้า 72.
- ↑ “ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนกาลเป็นอดีตภาค 2550 พรรษา ปัจจุบันสมัย จันทรคตินิยม สูกรสมพัตสร สาวนมาส ชุณหปักษ์ เอกาทสีดิถี สุริยคติกาล สิงหาคมมาส จตุวีสติมสุรทิน ศุกรวาร โดยกาลบริเฉท” (คำปรารภ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550)
- ↑ เดโช สวนานนท์, พจนานุกรมศัพท์การเมือง (กรุงเทพ : สำนักพิมพ์หน้าต่างสู่โลกกว้าง, 2545), หน้า 96.
- ↑ หยุด แสงอุทัย, “หลักรัฐธรรมนูญทั่วไป” (กรุงเทพ : วิญญูชน, 2538), หน้า 143-145.
- ↑ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, คู่มือแบบการร่างกฎหมาย, หน้า 74.
- ↑ คณิน บุญสุวรณ, “ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย ฉบับสมบูรณ์” (กรุงเทพ : โรงพิมพ์บริษัทตถาตา พับลิเคชั่น จำกัด, 2548) หน้า 205.
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ
กาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) กระบวนการตรากฎหมาย. กรุงเทพ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2544.
เดโช สวนานนท์. พจนานุกรมศัพท์การเมือง. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์หน้าต่างสู่โลกกว้าง, 2545.
คณิน บุญสุวรรณ. ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย ฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพ : โรงพิมพ์บริษัทตถาตา พับลิเคชั่น จำกัด, 2548.
ประวีณ ณ นคร. เทคนิคการร่างกฎหมาย. กรุงเทพฯ : สวัสดิการสำนักงาน ก.พ., 2543.
ประสงค์ วินัยแพทย์. “แบบ” และข้อควรรู้ขั้นพื้นฐานบางประการในการยกร่างกฎหมาย (พระราชบัญญัติ-พระราชกำหนด). ม.ป.ท., 2535.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. คู่มือแบบการร่างกฎหมาย. กรุงเทพ : สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, 2551.
หยุด แสงอุทัย. ความรู้เบื้องต้นในการร่างกฎหมายและการแก้ไขร่างกฎหมาย. ม.ป.ป. ม.ป.ท.
หยุด แสงอุทัย. หลักรัฐธรรมนูญทั่วไป. กรุงเทพ : วิญญูชน, 2538.
บรรณานุกรม
เดโช สวนานนท์. พจนานุกรมศัพท์การเมือง. กรุงเทพ : หน้าต่างสู่โลกกว้าง, 2545.
คณิน บุญสุวรณ. ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย ฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพ : โรงพิมพ์บริษัทตถาตา พับลิเคชั่น จำกัด, 2548.
ประวีณ ณ นคร. เทคนิคการร่างกฎหมาย. กรุงเทพมหานคร : สวัสดิการสำนักงาน ก.พ., 2543.
ประสงค์ วินัยแพทย์. “แบบ” และข้อควรรู้ขั้นพื้นฐานบางประการในการยกร่างกฎหมาย (พระราชบัญญัติ-พระราชกำหนด). ม.ป.ท., 2535.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. คู่มือแบบการร่างกฎหมาย. กรุงเทพ : สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, 2551.
หยุด แสงอุทัย. ความรู้เบื้องต้นในการร่างกฎหมายและการแก้ไขร่างกฎหมาย. ม.ป.ป. ม.ป.ท.
หยุด แสงอุทัย. หลักรัฐธรรมนูญทั่วไป. กรุงเทพ : วิญญูชน, 2538.
ดูเพิ่มเติม
หน้าหลัก |
---|