ความสัมพันธ์ของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับบทบัญญัติในหมวด 5

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง วัชรา ไชยสาร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ พรรณราย ขันธกิจ


จากการศึกษาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฯ ซึ่งประมวลจากรายงานการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญฯ ที่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญฯ ได้อภิปรายแสดงความคิดเห็นไว้พบว่า คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฯ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ซึ่งเป็นกลไกที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเมืองภาคประชาชนให้มีความเข้มแข็ง คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฯ จึงได้บัญญัติให้รัฐจัดตั้งสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฯ เพื่อพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐและสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินั้น ได้มีการอภิปรายที่สำคัญๆ ดังนี้


ความสำคัญของหมวดว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

จากการประมวลการอภิปรายของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญฯ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2540 ซึ่งได้อภิปรายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่สำคัญๆ ดังนี้[1]

นายสุจิต บุญบงการ เห็นว่า ไม่ควรบัญญัติให้มีแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไว้ โดยมีสาเหตุ ดังนี้

“การมีแนวนโยบายแห่งรัฐที่อยู่ในรัฐธรรมนูญอาจจะไม่มีความจำเป็นอีกก็ได้ เพราะเนื่องจากว่านโยบายของรัฐนั้นจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์หรือความต้องการของประชาชน แล้วก็มีความเห็นพ้องต้องกันอยู่แล้วในสังคมว่า รัฐควรจะทำอะไรตรงนั้น มันเป็นจุดที่เห็นอยู่แล้ว โดยดูจากที่เราเห็นจากนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศหรือว่าที่แถลงโดยรัฐบาลนั้นจะครอบคลุมหมดทุกประเด็น ดังนั้น ความจำเป็นที่ต้องระบุไว้ ผมคิดว่า อาจจะไม่มี และที่สำคัญก็คือ เราจะเห็นว่าในทางปฏิบัติเมื่อระบุไว้มันจะแตกลูกออกไปมากมายเลย ผมนับดูในขณะนี้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีแนวนโยบายของรัฐถึง 30 มาตรา เพิ่มจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ อีกพอสมควรทีเดียว แล้วก็จะมีการเพิ่มอยู่เรื่อย เพราะถ้าสมมติว่า พอมีการเขียนไว้เรื่องหนึ่งก็จะมีคนถามผมว่า แล้วอีกเรื่องหนึ่งไม่เขียนหรือ ตอนนี้ก็มีคนพูดแล้วว่า ควรจะมีการเขียนเรื่องแนวนโยบายของรัฐในการปราบยาเสพย์ติด แนวนโยบายของรัฐในการปราบปรามอาชญากรรมทางเพศอะไรต่างๆ มันแตกลูกออกมาเยอะแยะเลย และถ้าอันไหนไม่เขียนก็จะมีคำถามว่า คำว่า รัฐ ไม่เห็นเป็นนโยบายหรืออย่างไร ดังนั้นผมคิดว่า อันนี้น่าจะออกไป แล้วก็ถ้ามีความจำเป็นจะต้องเขียนตรงไหน ก็ค่อยใส่ไว้ในส่วนที่มันเกี่ยวข้อง ผมคิดอย่างนั้น ผมขอเสนออย่างนี้แล้วที่ประชุมคณะกรรมาธิการจะว่าอย่างไร ผมคงไม่มีโอกาสได้มาชี้แจงอะไรเพิ่มเติม”

แต่นายเอนก สิทธิประศาสน์ ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดดังกล่าว เนื่องจากสาเหตุ ดังนี้

“เรื่องแนวนโยบายแห่งรัฐผมคิดว่า ถ้าทิ้งไว้เหมือนอย่างที่รัฐธรรมนูญในหลายๆ ฉบับที่เขียนไว้ มันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคนที่ศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญโดยไม่ใช่นักกฎหมายรัฐธรรมนูญจะเข้าใจได้อย่างง่าย

ประการที่ 1 ประชาชนทั่วไป ถ้าได้อ่านแล้วเขาจะรู้สึก ถ้าเขาอ่านคำว่า สิทธิเสรีภาพ เฉยๆ แล้วไม่มีอะไรเพิ่มเติมเข้าไป เขาว้าเหว่ เพราะเขาไม่ได้มีท่านอาจารย์ ทั้งหลายคอยอธิบาย อันนี้ต้องมีไว้ สำหรับผม ถ้าจะให้ประชาชนเขานำไปตั้งคำถาม ให้ความเห็นมาต้องมีไว้ทีเดียว ส่วนในท้ายที่สุดจะมาเขียนอย่างไรให้อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายก็แล้วแต่ แต่ตอนนี้เราจะเขียนเพื่อให้ประชาชนได้เสนอความเห็นมาต้องมีไว้”

โดยที่นายคณิต ณ นคร เห็นว่า แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เป็นเพียงแนวทางกว้างไม่มีผลอะไรมากนัก หากตัดออกไปก็จะเป็นสิ่งที่ดีเพราะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการพิจารณานานมาก ดังนี้

“แนวนโยบายแห่งรัฐ ไม่มีลักษณะของการบังคับอะไรเลย เขียนไปเพียงกว้างๆ แล้วก็เมื่อไม่มีสภาพบังคับมันก็ไม่ค่อยมีมรรคมีผล

ประการที่ 2 หลังจากที่ได้ฟังคำชี้แจงถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกท่านอาจารย์บวรศักดิ์ ว่าอันแรกเกิดที่รัฐธรรมนูญอินเดีย แล้วท่านก็สาธยายต่อไปว่ามีรัฐธรรมนูญของประเทศเดนมาร์ก ดูแล้วรู้สึกว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะด้อยพัฒนา ขอประทานโทษที่อาจจะใช้คำนั้นไม่เหมาะสม

ประการที่ 3 เมื่อกำหนดลงไป ผมคิดว่าในสภาใหญ่เราก็คง Debate กันนาน Debate ในเรื่องที่ไม่มีสิ่งที่บังคับได้เลย หรือว่าเรื่องที่เราไม่สามารถที่จะ Implement ได้มันเสียเวลา แล้วเวลาที่เราจะทำงานที่น้อยอยู่ เพราะฉะนั้น ถ้าตัดส่วนนี้ออกไปได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดี ตรงไหนที่เราคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องนำมา ก็บัญญัติเสียจะบัญญัติในหมวดว่าด้วยสิทธิเสรีภาพหรือว่าเรื่องอื่นๆ กำหนดลงไปอย่างกับหมวดนำของเรา เรื่ององค์พระมหากษัตริย์ ลักษณะของรัฐอะไรต่างๆ ผมว่า ไปใส่ตรงนั้นก็น่าจะดี ผมก็เป็นห่วงเรื่องเวลาอย่างมากเลยว่า ถ้าเรา Debate ได้ แล้วก็เท่าที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้มันจะแตกลูกออกไปตั้งสามแล้ว บัญญัติครั้งแรกก็ไม่ค่อยจะพอใจเท่าไร แล้ว 3 ประการที่บัญญัติมา มันก็ไม่มีมรรคมีผลอะไรเลยในทางปฏิบัติ”

ความคิดเห็นของนายคณิต ณ นคร และนายสุจิต บุญบงการ ดังกล่าวนั้น สอดคล้องกับความคิดเห็นของนายสมคิด ศรีสังคม ซึ่งเสนอให้ตัดประเด็นดังกล่าวออกไป ดังนี้

“เรื่องนโยบายแห่งรัฐ ผมขอสนับสนุนท่านอาจารย์สุจิตที่เสนอให้ตัดออก เรื่องนี้ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำไว้ กำหนดว่าพึงทำอย่างโน้นพึงทำอย่างนี้ ซึ่งไม่มีผลบังคับอะไรเลยแล้วมันก็จะแตกลูก แตกหน่อ แตกแขนงออกไปอีก ซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น ผมว่าตัดออกเสียเลย แล้วจะบอกว่าทำอย่างไรในทางปฏิบัติ ก็พรรคการเมืองแต่ละพรรค ระบบพรรคการเมืองของเรา เราจะต้องทำให้ระบบพรรคมั่นคงขึ้น แต่ละพรรคก็เขียนนโยบายอะไรๆ เขียนไว้ เพราะฉะนั้นเขาไม่ทำตามนโยบาย แล้วประชาชนบีบบังคับ องค์กรเอกชน มติมหาชนจะบังคับบีบเข้าไป กดดันเข้าไป เขาก็ทำไปเอง เพราะฉะนั้นผมเห็นว่าควรตัดออกทั้งหมด”

ในทางตรงกันข้าม นายกระมล ทองธรรมชาติ ได้แสดงทัศนคติที่แตกต่างกัน ดังนี้

“ผมจำได้ก็คือว่าเป็นเรื่องของอุดมการณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ แล้วอยากจะเห็นความคิดบางอย่างซึ่งเป็นอุดมการณ์ตอนนั้น เป็นอุดมการณ์ของคนทั้งชาติจึงได้เอาไปใส่ไว้ในแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และรัฐธรรมนูญปี 2492 เข้าใจว่าคนที่ร่างรัฐธรรมนูญช่วงนั้นก็มีความคิดคล้ายคลึงกับผู้ร่างรัฐธรรมนูญของอินเดียในช่วงนั้นจึงได้เอามาใส่ไว้ว่าแนวนโยบายแห่งรัฐเท่ากับเป็นการประกาศว่าชาติไทยหรือรัฐไทยนั้นมีเป้าหมายร่วมกันอยู่ที่ไหน และแนวทางที่จะไปสู่เป้าหมายร่วมกันนั้นมีอย่างไร ก็ด้วยความหมายของอุดมการณ์นั้นซึ่งมีความหมาย 2 อย่างคือ เป็นเป้าหมายสูงสุดของคนทั้งชาติ และแนวทางที่จะไปสู่เป้าหมายนั้นที่คนในชาติเชื่อร่วมกันว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่จะไปถึงซึ่งอุดมการณ์นั้น การที่อุดมการณ์แห่งรัฐนั้นมันเป็นการบอกอุดมการณ์นั้นได้อย่างไรครับ

ในปี 2518 ในปี 2492 หมวดที่ว่าด้วยแนวนโยบายแห่งรัฐมีแค่ 18 มาตรา แต่ปัจจุบันนี้มี 35 มาตรา เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ก็แสดงว่าอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นที่ทำให้คนไทยมีความรู้สึกว่าเป้าหมายร่วมกัน คือ เป้าหมายอันดีงามของคนในชาตินั้น จะไม่บรรลุถึงแน่ถ้าไม่เขียนแนวนโยบายเหล่านี้ไว้เป็นเรื่องสภาพแวดล้อม เรื่องศิลปวัฒนธรรมอะไรต่างๆ นั้น ในขณะนั้นเขาเขียนไว้เพียงแค่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม อะไรกว้างๆ พอหลังๆ นี่ก็ลงมาในรายละเอียดมาก อย่างคราวที่แล้วเพิ่มขึ้นมาเยอะเลย ในปี 2538 กระผมจึงยังเชื่อมั่นว่าแนวนโยบายแห่งรัฐนั้นมีไว้ไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหาย แต่มันเป็นการบอกเจตนารมณ์ของคนทั้งชาติว่า เราจะไปไหนกัน เป้าหมายข้างหน้าของเราคืออะไร เช่น สมมติว่า เราเชื่อว่าเป้าหมายข้างหน้าของเราคือการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรามีแนวทางอย่างนี้ที่จะไปให้ถึงซึ่งอุดมการณ์ทางนั้น ทีนี้ถ้าเราไปเลือกก่อนอย่างนี้

คนไทยจะไม่รู้ว่ามีแนวทางอย่างไร จะไม่ทราบว่าเราจะเดิน แนวทางไหนถึงจะถูกต้องพรรคการเมืองต่างๆ คือ เขียนนโยบายต่างกัน จนกระทั่งคนไทยเขาเลือกไม่ถูกว่าแนวนโยบายไหนจะไปสู่เป้าหมายที่เราเชื่อร่วมกันไว้ จึงอยากจะขอเสนอ จึงอยากจะกล่าวว่าการมีไว้ไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหาย แม้ว่าจะฟ้องร้องรัฐมิได้ก็ตาม แต่เป็นการบอกว่าผู้ร่างชุดนี้ สะท้อนความรู้สึกของคนในชาติว่าต้องการอะไร ต้องการให้บ้านเมืองนี้พัฒนาไปอย่างไร มีแนวทางอย่างไรที่จะให้ความเชื่อของคนในชาติ”

นายคณิต ณ นคร นายสุจิต บุญบงการ และนายกระมล ทองธรรมชาติ

จากการอภิปรายแสดงความคิดเห็นในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฯ ที่เกี่ยวกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐดังกล่าว สรุปได้ดังนี้[2]

(1) แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไม่มีความจำเป็นต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ เนื่องจากจะเป็นการบัญญัติแนวทางกว้างๆ ไม่มีผลบังคับอะไรมากนัก และมีความซ้ำซ้อนกับรายละเอียดที่อยู่ในนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศหรือที่แถลงโดยรัฐบาลนั้นที่ครอบคลุมทั้งหมดทุกประเด็น

(2) แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐจำเป็นต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ เนื่องจากจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับการศึกษาทำความเข้าใจรัฐธรรมนูญฯ ทั้งฉบับ ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกว่า มีหลักประกันเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ และที่สำคัญ คือ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ถือเป็นอุดมการณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้แนวนโยบายแห่งรัฐเป็นอุดมการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีเป้าหมายร่วมกันอย่างไร และแนวทางนำไปสู่เป้าหมายร่วมกันนั้นมีจะดำเนินการอย่างไร

ความสัมพันธ์ของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับบทบัญญัติว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

ก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 นั้น บทบัญญัติว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก และขาดกลไกในดำเนินการ นอกจากนั้น ยังเป็นเพียงบทบัญญัติที่ขาดสภาพบังคับด้วย

อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติหมวด 5 ว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ โดยมาตรา 89 ในหมวดนี้บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามหมวดนี้ ให้รัฐจัดให้มีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ...” เป็นอันว่าสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการบัญญัติขึ้นมาในรัฐธรรมนูญ ให้เป็นเครื่องมือทำสิ่งที่ยากแต่สำคัญมาก คือแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เนื่องจาก “นโยบาย” เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะกระทบทุกอณูของสังคม และกำหนดทิศทางที่สังคมจะดำเนินไปในอนาคต นโยบายที่ดีมีได้ยากเพราะขาดพลังความดี แต่มีพลังของผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มที่จะทำให้นโยบายเฉไฉไปทางอื่น

ดังนั้นสภาที่ปรึกษาฯ จึงเป็นองค์กรที่มีความสำคัญต่อประะเทศชาติ ถ้าสภาที่ปรึกษาฯ สามารถเป็นกลไกให้เกิดนโยบายของรัฐที่ดี ก่อให้เกิดพัฒนาประเทศที่สอดคล้องกับความต้องการขอประชาชน โดยที่ไม่มีองค์กรใดทำได้ สภาที่ปรึกษาฯ ก็จะเป็นองค์กรอันประเสริฐ หรือรัตนองค์กร[3]

กลไกสู่ความสำเร็จของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

จากบทบาทหน้าที่ของสภาที่ปรึกษาฯ ดังกล่าวนั้น จึงยากที่สภาที่ปรึกษาฯ จะทำหน้าที่ได้สำเร็จโดยลำพัง ทุกภาคส่วนในสังคมไทยต้องเข้ามาสนับสนุนการดำเนินงานของสภาที่ปรึกษาฯ อย่างเต็มที่ เพราะภารกิจแห่งชาติเป็นภารกิจร่วมกันของคนทั้งชาติ ควรมีการทำงานเป็นเครือข่ายกับภาคีต่างๆ ภายใต้การมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน โดยมีกลไกสู่ความสำเร็จ ดังนี้

(1) สภาที่ปรึกษาฯ และเครือข่ายภาคีที่สนับสนุนจะทำงานในเรื่อง “แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ” เพื่อให้ประเทศชาติไปสู่การพัฒนาที่ดี ต้องมีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนให้กว้างขวาง แต่อย่าไปทำแยกย่อยเป็นเบี้ยหัวแตก จะไม่มีพลัง กลายเป็นองค์กรจับฉ่าย อย่าไปทำตัวเป็นองค์กรรับเรื่องร้องทุกข์ และอย่าทำตัวเป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาล หรือเป็นเอ็นจีโอแห่งชาติ เพราะจะพลาดจากภารกิจหลักเรื่องนโยบาย

(2) สภาที่ปรึกษาฯ ต้องสร้างภาคีหรือเครือข่ายในการทำงานโดยสมัครใจ ควรเชิญองค์กรต่างๆ เข้ามาเป็นภาคี เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งองค์กรชุมชน และภาคีองค์กรสื่อมวลชน เป็นต้น สร้างระบบเชื่อมโยงกันด้วยสปิริต และด้วยการมีความมุ่งหมายร่วมกัน คือ ความเจริญของชาติบ้านเมือง

(3) สภาที่ปรึกษาฯ ควรสร้างวิสัยทัศน์และกำหนดประเด็นนโยบายสาธารณะที่จะผลักดันร่วมกันกับภาคีหรือเครือข่าย รวมทั้งควรจะดูมาตราต่างๆ ทั้งในรัฐธรรมนูญหมวด 5 “แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ” และในหมวดอื่นๆ บางเรื่องเป็นเรื่องใหญ่เรื่องเดียวกัน แต่กระจายอยู่ในหลายมาตรา ควรจะสังเคราะห์มารวมกันเป็นแนวทางใหญ่ๆ เช่น ความเป็นธรรมทางสังคม ระบบความยุติธรรม การใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน สิทธิชุมชน และการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น เป็นต้น

(4) สภาที่ปรึกษาฯ ควรจัดเวทีนโยบายสาธารณะเป็นประจำ เพื่อขับเคลื่อน “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ซึ่งประกอบด้วย การสร้างความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน การเคลื่อนไหวทางสังคม และการเชื่อมโยงกับอำนาจรัฐ

ที่มา

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. 2546. สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ. รัฐสภาสาร ปีที่ 51 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2546 : 1 – 16.

พรรณราย ขันธกิจ. บทบาทและหน้าที่ขององค์กรสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. นนทบุรี : สถาบันพระปกเกล้า, 2548.

รายงานการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ, วันที่ 28 มกราคม 2540.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540.

http://www.prawase.com/article/95.pdf, กรกฎาคม 2553.

ดูเพิ่มเติม

เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ. รัฐสภาสาร ปีที่ 51 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2546 : 1 – 16.

โคทม อารียา. การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. วารสารสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับเดือน ม.ค.-มี.ค. 2549 : 7-15.

คณะติดตามการดำเนินงานโครงการจัดทำเครือข่ายฐานข้อมูล สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. รายงานวิจัยดัชนีตัวชี้วัดตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 71-89. กรุงเทพฯ : ม.ป.ท., 2547.

ทิวา เงินยวง. รูปแบบองค์กรที่ปรึกษาและให้คำแนะนำทางเศรษฐกิจและสังคม. กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.), 2538.

ประเวศ วะสี. สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สู่ความเป็นรัตนองค์กร. มติชนรายวัน. วันที่ 22 กันยายน 2548. ปีที่ 28 ฉบับที่ 10057 หน้า 7.

วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ และคณะ. รายงานการวิจัย เรื่อง สภาที่ปรึกษาฯ ในความคาดหวังของสังคมไทย และความเชื่อมโยงเครือข่ายภาคประชาชน. สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช. ม.ป.ท., 2545.

www.nesac.go.th/

อ้างอิง

  1. รายงานการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฯ, วันที่ 28 มกราคม 2540.
  2. พรรณราย ขันธกิจ. บทบาทและหน้าที่ขององค์กรสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. นนทบุรี : สถาบันพระปกเกล้า, 2548 หน้า 138 – 142.
  3. ประเวศ วะสี. สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สู่ความเป็นรัตนองค์กร. มติชนรายวัน. วันที่ 22 กันยายน 2548. ปีที่ 28 ฉบับที่ 10057 หน้า 7.