คณะอภิรัฐมนตรีสภา

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง ชงคชาญ สุวรรณมณี


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


ประวัติศาสตร์การเมืองก่อนถึงการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในปี พ.ศ. 2475 นั้น มีปัจจัยทางประวัติศาสตร์ที่เป็นเงื่อนไขตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 ที่มีการปฏิรูปการปกครองมาโดยลำดับ เมื่อสิ้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐกาลที่ 7 ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในหลักรัฐศาสตร์การปกครองของสมเด็จพระบรมชนกนาถ คือ สมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5 เป็นอย่างยิ่ง และได้โปรดนำวิธีตั้งที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในยุคสยามใหม่นั้นมาใช้ โดยทรงใช้คำว่า คณะอภิรัฐมนตรี หรือ “Supreme Council of the State” นับว่าเป็นวิวัฒนาการที่ได้นำมาสู่คำว่า “คณะองคมนตรี” หรือ “Privy Council” ดังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน คณะองคมนตรีในทุกรัชสมัย ได้ดำรงภาระหน้าที่สำคัญถวายองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาด้วยความจงรักภักดี สมดั่งพระดำรัสของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดี ที่ว่า “คณะองคมนตรี” คือ คณะที่ปรึกษาชั้นสูงสุดของพระมหากษัตริย์ ด้วยทรงโปรดเกล้าฯ ตั้งตามพระราชอัธยาศัย

ความเป็นมาของการตั้งอภิรัฐมนตรีสภา[1]

สภาพการเมืองการปกครองเมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2468 พระองค์ได้ทรงตระหนักมาก่อนแล้วว่าพระราชฐานะของพระมหากษัตริย์กำลังถูกปัญญาชนมองไปในทางที่ไม่ดีมาตั้งแต่รัชกาลก่อนและความรู้สึกระหว่างพระมหากษัตริย์กับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ตกอยู่ในภาวะที่แตกแยกกัน ดังนั้นพระองค์จึงทรงตั้ง “อภิรัฐมนตรีสภา” ขึ้นมาเพื่อรวบรวมพระบรมวงศานุวงศ์ที่อาวุโสสูง แต่ยังทรงทันสมัยด้วยมีประสบการณ์มากมาทรงทำงานร่วมกันเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่พระบรมวงศ์และทรงช่วยแบ่งเบาพระราชกิจของพระองค์ด้วย[2]

เมื่อวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ภายหลังจากที่เสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 2 วัน พระบาทสมพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งอภิรัฐมนตรีสภาขึ้น โดยมีกระแสพระราชดำรัส ดังนี้

“ขอขอบพระทัยและขอบใจท่านทั้งหลายผู้เปนองคมนตรีที่ได้กระทำสัตยสัญญารับจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อตรงจงรักภักดีต่อตัวเรา

ตั้งแต่เราได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์แห่งสมเด็จพระบุรพมหาราชเจ้า ซึ่งได้ทรงปกครองป้องกันและทำนุบำรุงสยามประเทศอันเปนที่รักของเราทั้งหลายให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบมาช้านาน เราก็รู้สึกความรับผิดชอบในส่วนเรา ซึ่งจะต้องพยายามปกครองสยามประเทศกับทั้งประชาชนทั้งหลายให้ร่มเย็นเปนสันติสุข และให้บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองโดยเต็มความสามารถของเราที่จะพึงกระทำได้ทุกอย่างทุกประการต่อไปจนสุดกำลัง อาศัยความปรารภที่กล่าวมา เราคิดเห็นว่าตามราชประเพณีซึ่งมีอยู่ในบัดนี้ พระเจ้าแผ่นดินมีมนตรีสำหรับเปนที่ทรงปรึกษาหารือสองคณะด้วยกัน คือ องคมนตรี ซึ่งทรงตั้งไว้เปนจำนวนมาก สำหรับทรงปรึกษากิจการพิเศษ อันเกิดขึ้นฉะเพาะสิ่งฉะเพาะอย่างคณะ 1 กับเสนาบดีสภาผู้บังคับบัญชาราชการกระทรวงต่าง ๆ มีจำนวน หย่อนญี่สิบ สำหรับทรงปรึกษาหารือราชการ อันกำหนดไว้เปนหน้าที่ในกระทรวงนั้น ๆ คณะ 1 แต่ยังมีราชการอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเปนการสำคัญอย่างยิ่ง กล่าวคือ ที่จะคิดให้กิจการตลอดจนรัฎฐาภิปาลโนบายของรัฐบาลเปนอุปการอันหนึ่งอันเดียวกันทุกกระทรวงทบวงการ แต่ก่อนมาตกอยู่แต่ตาม พระบรมราชวินิจฉัยแม้มีพระราชประสงค์จะทรงปรึกษาหารือผู้อื่นก็ได้อาศัยแต่เสนาบดีสภา เราเห็นว่ายังไม่เหมาะ เพราะเหตุที่เสนาบดีสภาสมาชิกตั้งตามตำแหน่งกระทรวงมีจำนวนมากนั้นอย่าง 1 และล้วนเปนเจ้าหน้าที่ฉะเพาะกิจการกระทรวงใด กระทรวงหนึ่งนั้นอีกอย่าง 1 เราจึงคิดจะตั้งมนตรีขึ้นใหม่อีกคณะหนึ่ง เรียกว่า “อภิรัฐมนตรีสภา” ให้มีจำนวนสมาชิกแต่น้อย สำหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงปรึกษาราชการทั้งปวงเปนนิจ เพื่อจะได้เปนกำลังแก่การที่ทรงพระราชวินิจฉัยราชการทั้งปวง ในการตั้งสภาอภิรัฐมนตรีนี้ ผู้ซึ่งสมควรจะเปนสมาชิกจำต้องเปนผู้ซึ่งมีความคุ้นเคยและชำนิชำนาญราชการมากมาแต่ก่อน และประกอบด้วยเกียรติคุณทั้งความปรีชาสามารถ สมควรเปนที่ทรงไว้พระราชหฤทัยของพระเจ้าแผ่นดิน ตลอดจนมหาชนทั้งหลาย เราจึงได้เลือกสรร

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระองค์ 1

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต พระองค์ 1

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ พระองค์ 1

กรมพระดำรงราชานุภาพ พระองค์ 1

กรมพระจันทบุรีนฤนาถ พระองค์ 1

ด้วยทั้ง 5 พระองค์นี้ได้ทรงรับราชการในตำแหน่งสำคัญมาแต่รัฐกาลที่ 5 เคยเปนที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย ทั้งได้คุ้นเคยทราบกระแสพระราชดำริห์ และพระบรมราโชบายของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมาแต่ก่อน ล้วนทรงปรีชาสามารถและมีเกียรติคุณจะหาผู้อื่นเสมอเหมือนได้โดยยาก เราตั้งให้เจ้านายผู้ใหญ่ทั้ง 5 พระองค์เปนอภิรัฐมนตรีแต่นี้ไป ด้วยไว้วางใจในความซื่อตรงจงรักภักดี ซึ่งทรงมีต่อบ้านเมืองและตัวเราด้วยกันทุกพระองค์ การที่เราคิดจัดดังกล่าวมานี้หวังว่าจะเปนคุณเปนประโยชน์สืบต่อไป...”

ในการที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งอภิรัฐมนตรีสภา ทำให้พระองค์ประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศในระยะแรก ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีไปถึงพระยากัลยาณไมตรี มีความตอนหนึ่งว่า..

“...ทันทีที่ข้าพเจ้าเสวยราชย์ก็คิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างที่สุดที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อเรียกความเชื่อถือจากประชาชนกลับคืนมาอีก ดังนั้น จึงได้มีการตั้งอภิรัฐมนตรีสภาขึ้น ซึ่งได้ผลทันทีและข้าพเจ้าได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนในวันเดียว เหตุที่การกระทำเช่นนี้ได้ผลทันทีทันใดก็เพราะ มันเป็นความหวังสำหรับสิ่งซึ่งพึงปรารถนาหลายประการ ประการแรกพระราชวงศ์เริ่มรวมกันและทำงานกันอย่างกลมเกลียว ประการที่สอง พระเจ้าอยู่หัวมีความเต็มใจที่จะขอคำปรึกษาจากพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมีประสบการณ์มาแล้วในราชการ และเป็นผู้ที่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน ไม่มีขุนนางคนใดเลยที่เป็นที่เกลียดชังของประชาชนรวมอยู่ในสภานี้ ประการที่สาม พระราชอำนาจของกษัตริย์ที่จะทำอะไรตามใจพระองค์เองก็จะลดน้อยลงไป เมื่อมีสภานี้ (พึงระลึกว่าในสภาพความเห็นในประเทศขณะนั้น คิดกันว่าพระมหากษัตริย์มีทางที่จะทำอะไรที่เป็นภัยมากกว่าที่จะทำดี)..” [3]

เราจะเห็นได้ว่าการตั้งอภิรัฐมนตรีสภาแม้จะช่วยลดความกดดันในหมู่ข้าราชการและประชาชนที่เคยมีต่อสภาพการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ได้ในระยะแรกก็จริง แต่เมื่อนานวันไปข้าราชการและประชาชนต่างเกิดความรู้สึกว่าอภิรัฐมนตีสภาเริ่มมีอำนาจมากเกินไปเหมือนกับว่าพระมหากษัตริย์ทรงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคณะอภิรัฐมนตรีสภา ซึ่งสำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วพระองค์มิได้ทรงถือว่าคณะอภิรัฐมนตรีมีอิทธิพลเหนือกว่าพระองค์แต่อย่างใด เพียงเป็นผู้ที่คอยให้คำปรึกษาราชการแผ่นดินเท่านั้น

 

บทบาทหน้าที่ของอภิรัฐมนตรีสภา

อภิรัฐมนตรีสภา เป็นสถาบันใหม่เทียบเท่าได้กับสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้ตั้งขึ้นภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 2 วัน (วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468) มีหน้าที่เป็นสภาที่ปรึกษาชั้นสูงแก่พระมหากษัตริย์ ซึ่งให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกิจการการเมืองการปกครองและนโยบายของประเทศ อภิรัฐมนตรีสภา มีการกำหนดการประชุมทุก ๆ วันศุกร์ สัปดาห์ละครั้ง โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประธานในการประชุม เริ่มการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 ณ พระที่นั่งบรมพิมาน อภิรัฐมนตรีสภา ได้ให้คำปรึกษาแนะนำในเรื่องที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดินหลายเรื่องที่สำคัญ กล่าวคือ

1. ให้คำปรึกษาหารือข้อราชการเรื่อง ร่างพระราชบัญญัติสภากรรมการองคมนตรี ซึ่งพระราชทานลงมาให้ศึกษาและนำคำปรึกษาขึ้นถวายบังคมทูล

2. วางรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในรูปของเทศบาล โดยการปรับปรุงแก้ไขสุขาภิบาลที่มีอยู่ให้เป็นเทศบาล ซึ่งได้จัดตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานและความเห็นเกี่ยวกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติเทศบาล

3. พิจารณาโครงร่างรัฐธรรมนูญที่พระยากัลยาณไมตรี (Francis B.Sayre) ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย มีลักษณะเป็นระบบนายกรัฐมนตรีให้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินโดยตรงแทนองค์พระมหากษัตริย์ โดยนายกรัฐมนตรีมีสิทธิเลือกคณะรัฐมนตรีเอง ส่วนพระมหากษัตริย์ยังคงไว้ซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ตามแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ให้อภิรัฐมนตรีสภามีหน้าที่เพียงถวายคำปรึกษาเท่านั้นไม่มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน โครงร่างรัฐธรรมนูญของพระยากัลยาณไมตรีฉบับนี้จึงไม่ได้รับความเห็นชอบจากอภิรัฐมนตรีสภา โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นสมาชิกพระองค์หนึ่งของอภิรัฐมนตรีสภาทรงคัดค้านว่า การมีนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องและวิธีการปกครองในระบอบรัฐสภา ไม่ใช่การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งไม่มีรัฐสภา เมื่อเป็นเช่นนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงระงับพระราชดำริเรื่องการพระราชทานรัฐธรรมนูญไว้ก่อน แล้วทรงเริ่มงานวางพื้นฐานการปกครองแบบรัฐสภาขึ้นในปี พ.ศ. 2470 โดยการให้นายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ ที่ปรึกษาราชการกระทรวงการต่างประเทศและพระยาศรีวิสารวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้พิจารณาร่างหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ และทรงมีพระราชดำรัสถึงความประสงค์ที่จะให้รัฐธรรมนูญแก่ราษฎรโดยเร็วที่สุด และต้องให้ทันวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นวันครบรอบมหาจักรี นายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา จึงยกร่างรัฐธรรมนูญ และได้นำทูลเกล้าฯ ถวายต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2474 นอกจากนั้น นายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์และพระยาศรีวิสารวาจายังได้แนบบันทึกความเห็นประกอบเค้าโครงการเปลี่ยนแปลงการปกครองอีก 2 ฉบับว่าไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญในขณะนั้น เพราะประชาชนยังไม่พร้อม และเทศบาลก็ยังไม่ได้มีการจัดตั้งขึ้นมา โครงร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาและพระบรมวงศานุวงศ์ได้พากันคัดค้านไม่เห็นด้วย โดยอ้างเหตุผลว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควร เนื่องจากราษฎรยังมีการศึกษาไม่ดีพอ เกรงว่าเมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายภายหลัง คำคัดค้านดังกล่าวทำให้พระองค์ทรงลังเลพระทัยว่าควรจะพระราชทานรัฐธรรมนูญเมื่อใดจึงจะเหมาะสม ความไม่แน่นอนและเงื่อนไขต่าง ๆ ทำให้ระบบการเมืองไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับเหตุการณ์ การปฏิวัติในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 จึงเกิดขึ้น

คณะอภิรัฐมนตรีสภา[4]

คณะอภิรัฐมนตรีสภา ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งขึ้นนั้นโดยพระองค์ทรงคัดเลือกจากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่เคยปฎิบัติหน้าที่ในราชการสำคัญ ๆ มาแล้วทั้งสิ้น ได้แก่

1. สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารบก ทหารเรือ จเรทัพบก และเป็นผู้สำเร็จราชการในรัชกาลที่ 6 หลายครั้ง ทำหน้าที่เป็นประธานอภิรัฐมนตรีสภา

2. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต สำเร็จวิชาการทหารบกมาจากประเทศเยอรมันนี เคยรับราชการในกองทัพบก เคยเป็นเสนาธิการทหารบกในสมัยรัชกาลที่ 6 เคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ และเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ เป็นต้น

3. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงชำนาญราชการในพระราชสำนักเกี่ยวกับพระราชประเพณีทั่วไป และเคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงวัง

4. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยปฏิบัติราชการสำคัญ ๆ ในสมัยราชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 เช่นทรงจัดตั้งกระทรวงธรรมการ และทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยพระองค์แรก ทรงมีความชำนาญด้านการปกครองและทรงเป็นนักปราชญ์ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีจนได้รับขนานพระนามว่า พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย

5. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ทรงเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ และการคลัง เคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กระทรวงพาณิชย์ และทรงเป็นเอกอัครบัณฑิตทางด้านภาษาศาสตร์

คณะอภิรัฐมนตรีสภา เป็นที่ทรงนับถือขององค์พระมหากษัตริย์ ได้ทำหน้าที่ถวายข้อปรึกษาราชการในพระองค์และแผ่นดินจนถึง พ.ศ. 2475 หลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีประกาศยกเลิกอภิรัฐมนตรีสภา เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2475

อ้างอิง

  1. พระราชดำรัสทรงตั้งอภิรัฐมนตรีสภา, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 42, วันที่ 28 พฤศจิกายน 2468, หน้า 2618.
  2. สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 http://www.chanpradit.ac.th/~somsak/rutisan450450/index.htm
  3. ชัยอนันต์ สมุทวณิช การเมือง-การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย พ.ศ. 2411-2475. หน้า 84.
  4. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, การเมืองการปกครอง พ.ศ. 1762-2500, พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2549. หน้า 386-387.

บรรณานุกรม

จักษ์ พันธ์ชูเพชร. การเมืองการปกครองไทย “จากยุคสุโขทัยสู่สมัยทักษิณ” . กรุงเทพฯ : บริษัท มายด์ พับลิชชิ่ง จำกัด. 2549.

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. ประวัติการเมืองไทย 2475-2500. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์เรือนแก้ว. 2549.

ชัยอนันต์ สมุทวณิช. 100 ปี แห่งการปฏิรูประบบราชการวิวัฒนาการของอำนาจรัฐและอำนาจการเมือง. กรุงเทพฯ : บริษัท สุขุมและบุตร จำกัด. 2538.

ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตติยา กรรณสูต. เอกสารการเมืองการปกครองไทย (พ.ศ. 2417-2477). กรุงเทพฯ : สถาบันสยามศึกษา สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย. 2532.

พีระพงษ์ สิทธิอมร และคณะ. ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ปฏิรูป ปฏิวัติ รัฐประหาร ของผู้นำ ทางการเมือง พลเรือน ตำรวจ ทหาร. กรุงเทพฯ : หจก.ซี แอนด์ เอ็น. 2549.

ภารดี มหาขันธ์. ประวัติศาสตร์การปกครองไทย. กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ์. 2527.

สมบัติ ธำรงธัญวงศ์. การเมืองการปกครองไทย : พ.ศ. 1762-2500. กรุงเทพฯ : เสมาธรรม. 2549.

ดูเพิ่มเติม

ประกาศเลิกอภิรัฐมนตรีสภา, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 49, วันที่ 17 กรกฎาคม 2475,หน้า 202.

การเมืองการปกครองในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. http://www.senate.go.th/km/data/prapok_political.doc

ชัยอนันต์ สมุทวณิช, 100 ปี แห่งการปฏิรูประบบราชการวิวัฒนาการของอำนาจรัฐและอำนาจ การเมือง, กรุงเทพฯ : บริษัท สุขุมและบุตร จำกัด , 2538.

ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตติยา กรรณสูต, เอกสารการเมืองการปกครอง ( พ.ศ. 2417-2477). พิมพ์ครั้งที่ 2 โดยสถาบันสยามศึกษา สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2532.

ภิศักดิ์ กัลยาณมิตร, แนวทางการสร้างรัฐธรรมนูญก่อน 24 มิถุนายน 2475 (3), http://www.siamrath.co.th/uifont/Articledetail.aspx?nid=3701&acid=3701

ภารดี มหาขันธ์, ประวัติศาสตร์การปกครองไทย, กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ์ , 2527.

โสภณ น้อยจันทร์, ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัชกาลที่ 7 – ปัจจุบัน, http://learners.in.th/blog/rattanagosin/225937.