การเสด็จประพาสหัวเมืองและทะเลอ่าวไทย

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง ': ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล
ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ': รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์

 

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือและมณฑลพายัพใน พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้ว ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จประพาสหัวเมืองชายทะเลอ่าวไทยเป็นระยะเวลาหลายวันติดต่อกัน ๒ ครั้ง คือ

หัวเมืองชายทะเลตะวันออก ระหว่างวันที่ ๑๖ เมษายน ถึงวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ด้วยเรือพระที่นั่งมหาจักรี ซึ่งทรงใช้เป็นที่ประทับแรมเกือบตลอดทาง โดยเสด็จยังศรีราชาเพื่อทอดพระเนตรโรงเลื่อยจักรของบริษัทศรีมหาราชาของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีและการตัดไม้ในป่า จากนั้นเสด็จยังชลบุรีทอดพระเนตรการถีบกระดานจับสัตว์บนชายเลนและการหีบอ้อย เป็นต้น แล้วเสด็จผ่านเกาะต่างๆ ทอดพระเนตรการตีอวน และการหาไข่เต่าที่หาดทราย เมื่อเสด็จถึงเกาะเสม็ด เสด็จขึ้นให้ราษฎรเฝ้าฯ และลงสรงน้ำทะเล จากนั้นเสด็จจันทบุรียังศาลารัฐบาลมณฑลจันทบุรี ศาลมณฑล ตลาด และสนามกอล์ฟ รุ่งขึ้นเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้ว ทรงจารึกพระบรมนามาภิไธยย่อที่หน้าผาเคียงกับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ แล้วเสด็จต่อไปยังเกาะช้างทอดพระเนตรการแข่งเรือใบของราษฎร ประพาสน้ำตกธารมะยม ก่อนที่จะเสด็จต่อไปยังจังหวัดตราดสุดแดนสยามทิศตะวันออกเฉียงใต้ จากนั้นเสด็จไปขึ้นบกที่เกาะกระดาษก่อนที่เรือพระที่นั่งจะตัดข้ามอ่าวไทยไปยังหัวหินที่ซึ่งกำลังสร้างวังไกลกังวล ประทับบนเรือที่หัวหินอยู่ ๕ วัน แล้วตัดไปยังเกาะสมุย (จังหวัดสุราษฎรธานี มณฑลนครศรีธรรมราช) เสด็จยังน้ำตกและขึ้นบนไหล่เขาเบื้องบน ทรงจารึกพระบรมนามาภิไธยทั้งที่เชิงเขาและบนไหล่เขา วันรุ่งขึ้นเสด็จถึงบางเบิด เสด็จขึ้นทอดพระเนตรนา (ไร่) บางเบิดของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร แล้วแล่นเรือถึงเกาะสีชังในวันรุ่งขึ้น เสด็จขึ้นบนเกาะทอดพระเนตรพระที่นั่ง เสร็จแล้วมุ่งสู่ปากอ่าว เสด็จขึ้นทอดพระเนตรป้อมพระจุลจอมเกล้า และเสด็จถึงกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้น [1]

หัวเมืองชายทะเลตะวันตก ระหว่างวันที่ ๑๔ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๑ ด้วยเรือพระที่นั่งมหาจักรีที่ทรงให้เป็นที่ประทับแรมเช่นกัน เสด็จขึ้นบกที่เกาะพงัน (จังหวัดสุราษฎร์ธานี มณฑลนครศรีธรรมราช) ๒ วัน แล้วเสด็จยังปัตตานี (มณฑลปัตตานี) เสด็จเยือนโรงเรียนเบญจมาราชูทิศ โรงเรียนสตรี ศาลาเทศบาล มัสยิด โรงเรียนกสิกรรม ก่อนที่จะเสด็จไปยังยะลา ทรงสักการะพระพุทธไสยาศน์ที่วัดหน้าถ้ำ ประพาสในถ้ำและสระแก้ว (ซึ่งน้ำใช้ในพิธีบรมราชาภิเษก) ทรงจารึกพระบรมนามาภิไธยย่อ เสด็จกลับทางตำบลนาประดู่ ทอดพระเนตรการเกี่ยวข้าวตามวิธีพื้นเมือง วันรุ่งขึ้นเสด็จต่อไปยังจังหวัดสายบุรี (อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานีในปัจจุบัน) ประพาสน้ำตกปาโจ ทรงจารึกพระบรมนามาภิไธยย่อ ๒ แห่ง ทอดพระเนตรการชนแกะ รำกฤช ต่อยมวย มวยปล้ำ และโนรา เสด็จยังโรงเรียนสอนภาษามลายู ตำบลตะลุบัน และเขาสะลินงบาคู จากนั้นเสด็จยังจังหวัดนราธิวาสประพาสตามลำน้ำ ทอดพระเนตรระบำรองเงง และลิงเก็บผลมะพร้าว รุ่งขึ้นเสด็จยังจังหวัดสงขลา (มณฑลนครศรีธรรมราช) เสด็จรอบทะเลสาบแล้วเสด็จขึ้นไปประทับเสวยพระสุธารสชาบนเขาน้อย ทอดพระเนตรหนังตะลุงและโนรา วันต่อมาเสด็จยังเขาตังกวน ทรงพระดำเนินขึ้นเขาไปทรงสักการะบูชาพระพุทธบาทที่ยอดเขา แล้วเสด็จประพาสสวนตูล (สวนมะพร้าว) ทอดพระเนตรการชนไก่ แล้วทรงกอล์ฟ วันรุ่งขึ้นเสด็จถึงเกาะ สมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นครั้งที่สองในรัชกาล ทอดพระเนตรสถานที่ต่างๆ วันต่อมา เสด็จขึ้นทรงม้าและสมเด็จฯ ทรงเก้าอี้หาบไปยังน้ำตก เสด็จประพาสตามธารน้ำตกเกือบถึงยอดเขา ทรงจารึกพระบรมนามาภิไธยย่อ ๓ แห่ง วันรุ่งขึ้น เสด็จทอดพระเนตรรังนกนางแอ่นที่เกาะพรวย เสด็จประพาสเกาะต่างๆ ในช่องอ่างทองไปยังหัวหิน ทรงประกอบพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์อยู่ที่นั่น ๒ วัน แล้วเสด็จกลับกรุงเทพฯ [2]

การที่ได้ทรงจารึกพระบรมนามาภิไธยย่อ “ปปร.” ไว้บนเกาะต่างๆ บางเกาะหลายแห่งนั้น น่าจะเป็นเสมือนการทรง “ปักธง” แสดงว่าเกาะเหล่านั้นอยู่ในพระราชอาณาเขต ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่มีมาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕

พระราชกรณียกิจระหว่างการเสด็จประพาสทั้งสองครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า นอกจากจะได้ทอดพระเนตรภูมิประเทศและการตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองแล้ว ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการ พ่อค้าและราษฎรได้เฝ้าฯ ตลอดระยะทาง สนพระราชหฤทัยในวิถีชีวิตความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพที่หลากหลายตลอดจนศิลปะการแสดง การละเล่นของเขาเหล่านั้น ต่างชั้นชนเชื้อชาติศาสนา เพื่อทรงทราบไว้ประกอบพระราชดำริ

แม้ว่าการเสด็จพระราชดำเนินทั้งสองครั้งนี้ จะเรียกว่า “การเสด็จประพาส” ไม่ได้เรียกว่า “การเสด็จเลียบ” (ดังในกรณีของการเสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือและมณฑลพายัพ หรือ มณฑลภูเก็ต) ซึ่งเป็นการเสด็จฯ ไปประกอบพระราชกรณียกิจสำคัญอย่างเป็นทางการ ทั้งทางด้านการเมืองการปกครองและการทนุบำรุงศาสนาและศิลปวัฒนธรรม แต่กระนั้นในระหว่างการเสด็จประพาสชายทะเลตะวันออกและชายทะเลตะวันตกทั้งสองครั้งนี้ ก็ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่เป็นทางการทั้งสองด้านนั้นอยู่บ้าง เช่น การทรงรับพระแสงราชศัตราคืนมาทรงเก็บไว้ในช่วงที่ประทับอยู่ ณ หัวเมืองเหล่านั้น การทรงสักการะพระพุทธรูปสำคัญ การเสด็จฯ ยังมัสยิดในศาสนาอิสลาม และการทอดพระเนตรศิลปะการแสดง

การเสด็จฯ ปัตตานีเป็นครั้งที่สอง: ทอดพระเนตรสุริยุปราคา

ภายในหนึ่งปีกว่าของการเสด็จประพาสชายทะเลตะวันตก ซึ่งมีการเสด็จฯ มณฑลปัตตานีรวมอยู่ด้วย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้เสด็จยังจังหวัดปัตตานีอีกคำรบหนึ่ง ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ด้วยเรือพระที่นั่งมหาจักรีจากวังไกลกังวล หัวหิน หลังพระราชพิธีคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักเปี่ยมสุข เป็นการเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงเป็นการเฉพาะ ทั้งนี้เพราะเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ คณะนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเข้ามาตั้งกล้องดูสุริยุปราคาซึ่งพยากรณ์ว่าจะเห็นได้ในจังหวัดปัตตานีในช่วงเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ สนพระราชหฤทัยที่จะทอดพระเนตร “สถานที่และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ต่างๆ ด้วย” และโดยที่ทรงคาดว่าจะมีนักดาราศาสตร์ชาวต่างประเทศขอมามากกว่าหนึ่งคณะ จึงได้มีพระราชวินิจฉัยไว้ล่วงหน้าว่า “เอาดังนี้ก็ได้ คือไปเยี่ยมสถานที่ทุกคณะ แต่การดูสุริยุปราคาจริงๆ นั้น ควรดูที่คณะที่เชิญมานี้ เพราะเชิญมาก่อนคนอื่น” [3] แสดงว่าทรงตระหนักดีว่าในพระราชสถานะพระมหากษัตริย์ของประเทศเจ้าภาพ ต้องทรงรักษาน้ำใจของทุกคณะ และมีเหตุผลอธิบายพระราชปฏิบัติ

วันที่ ๘ พฤษภาคม เวลา ๘.๓๐ น. เรือพระที่นั่งทอดสมอในอ่าวหน้าจังหวัดปัตตานี ประทับเรือกรรเชียงที่มีเรือยนต์จูงจนเมื่อใกล้ถึงฝั่งเสด็จลงประทับเรือเกาะและ (กอและ) เข้าเทียบท่าศุลกสถาน มีพิธีรับเสด็จแล้วเสด็จทอดพระเนตรพิพิธภัณฑสถาน ประทับเสวยพระกระยาหารกลางวันที่จวนสมุหเทศาภิบาล ครั้นเวลา ๑๔.๓๐ น. เสด็จยังสถานที่สำรวจของนักดาราศาสตร์อังกฤษ ที่สนามหน้าโรงเรียนประจำมณฑลปัตตานี ศาสตราจารย์ สแตรตัน (Professor Stratton) หัวหน้าคณะฯ เฝ้าฯ และนำเสด็จทอดพระเนตรเครื่องสำรวจ จากนั้นเสด็จฯ ไปยังโคกโพธิ์ ที่ตั้งของสถานสำรวจของนักดาราศาสตร์เยอรมัน ดร. โรเซนเบอร์ก (Dr. Rosenberg) หัวหน้าคณะฯ เฝ้าฯ และนำเสด็จทอดพระเนตรเครื่องสำรวจ ต่อจากนั้นเสด็จยังสถานสำรวจของกรมแผนที่และกรมชลประทานที่บนยอดเนินโคกโพธิ์ ทอดพระเนตรโดยทั่วแล้ว เสด็จไปประทับพลับพลาให้ราษฎรเฝ้าถวายของแล้ว เสด็จกลับประทับที่จวนสมุหเทศาภิบาล ทอดพระเนตรการแข่งขันเทนนิสที่สนาม พระราชทานรางวัลแก่คู่ที่ชนะการแข่งขัน รวมทั้งทอดพระเนตรระบำรองเงง เวลาดึก เสด็จกลับประทับแรมบนเรือพระที่นั่ง เห็นได้ว่าเสด็จเยี่ยมสถานสำรวจของทุกคณะก่อนตามลำดับ

ครั้นในวันจริง คือวันที่ ๙ พฤษภาคม เสด็จประทับที่จวนสมุหเทศาภิบาลเสวยพระกระยาหารกลางวันแล้ว เวลา ๑๓.๐๐ น. เสด็จยังสถานสำรวจของนักดาราศาสตร์อังกฤษ ประทับปะรำเพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคา หากแต่ในเวลาที่จับคราสนั้น อากาศมีเมฆครึ้ม “ดวงอาทิตย์ถูกเมฆบังเสียสิ้น ไม่มีดวงอาทิตย์ให้เห็น ไม่มีเงา ไม่มีรัสมี ไม่มีแสง ไม่มีอะไรจะถ่ายภาพได้หมด คงได้แต่ภาพดวงจันทร์บดบังดวงอาทิตย์เต็มคราสเท่านั้น”[4] เป็นที่ผิดหวังของนักดาราศาสตร์และผู้ร่วมดูประมาณ ๒๕,๐๐๐ คนซึ่งมีผู้ที่เดินทางโดยรถไฟขบวนพิเศษจากกรุงเทพฯ อยู่ด้วย

จากนั้นเสด็จประพาสตามถนนในเมือง แล้วประทับทอดพระเนตรการชนวัวที่สนามหลังเรือนจำ เสด็จกลับสู่จวน คณะลูกเสือร้องเพลงถวายพระพร ทอดพระเนตรกระบวนแห่ที่จัดขึ้นถวายสนองพระเดชพระคุณ แล้วเสด็จโดยเรือกอและลงสู่เรือกรรเชียงถึงเรือพระที่นั่ง เสด็จสู่ที่สรงพระมุรธาภิเษกสถานตามพระราชประเพณีเป็นการสะเดาะเคราะห์ แสดงว่าทรงอนุโลมตามความเชื่อของไทยแต่เดิม ทั้งๆ ที่ทรงศรัทธาในวิทยาศตร์ว่าเป็นวิธีการแสวงหาความจริง

วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ก่อนเสด็จฯ กลับ พระราชทานเลี้ยงอาหารกลางวันแก่คณะดาราศาสตร์อังกฤษและเยอรมันบนเรือพระที่นั่ง มีสมุหเทศาภิบาลและคณะกรรมการรับรอง ซึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น ร่วมด้วย เรือพระที่นั่งเคลื่อนจากหน้าอ่าวบ่ายหน้าไปยังเกาะพงันที่ซึ่งในวันถัดมาเสด็จขึ้นทรงพระดำเนินขึ้นไปยังชั้นยอดของน้ำตก แล้วเสด็จกลับลงมาสรงน้ำ ณ ธารเสด็จชั้นล่าง ทั้งหมดเป็นเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง จากนั้นเสด็จฯ กลับกรุงเทพฯ ผ่านหัวหิน

อนึ่ง มีนักดาราศาสตร์คณะอื่นอีกไปร่วมดูสุริยุปราคา คือ จากอินเดียและจีน เป็นต้น อีกทั้งเห็นได้ว่า แม้ว่าการเสด็จฯ ครั้งนี้จะมีวัตถุประสงค์หลักเป็นการทอดพระเนตรสุริยุปราคาก็ตาม แต่ก็ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับราษฎรด้วย

อ้างอิง

  1. บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บรรณาธิการ). (๒๕๓๗). จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗. กรุงเทพฯ: วัชรินทร์การพิมพ์ , หน้า ๒๔๗-๒๖๕.
  2. บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บรรณาธิการ). (๒๕๓๗). จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗. กรุงเทพฯ: วัชรินทร์การพิมพ์ , หน้า ๓๘๕-๓๙๑.
  3. อ้างถึงในฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร. (๒๕๔๘). ๗๗ ปี มโนทัศน์เกี่ยวกับรัชกาลที่ ๗ เสด็จฯ ทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ปัตตานี. กรุงเทพธุรกิจ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ , หน้า ๒.
  4. บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บรรณาธิการ). (๒๕๓๗). จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗. กรุงเทพฯ: วัชรินทร์การพิมพ์ , หน้า ๕๑๒.

บรรณานุกรม

ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร. (๒๕๔๘). ๗๗ ปี มโนทัศน์เกี่ยวกับรัชกาลที่ ๗ เสด็จฯ ทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ ปัตตานี. กรุงเทพธุรกิจ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘.

บรรเจิด อินทุจันทร์ยง (บรรณาธิการ). (๒๕๓๗). จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗. กรุงเทพฯ: วัชรินทร์การพิมพ์.