การเมืองไทยบนโลกออนไลน์

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง : อภิรมย์ สุวรรณชาติ

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ดร.สติธร ธนานิธิโชติ

 

โลกออนไลน์ (Social Media)

          โลกออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย (Social Media)[1] คือ แพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถแบ่งปันเนื้อหาต่าง ๆ ได้ในรูปแบบของข้อความ รูปภาพ วิดีโอ และเสียง เป็นสื่อกลางที่ให้บุคคลทั่วไปมีส่วนร่วมสร้างและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่าง ๆ นอกจากนี้โลกออนไลน์ยังเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์งานธุรกิจ การสร้างแบรนด์ และการแสดงความคิดเห็นหรือความเห็นในหลาย ๆ ประเด็น โดยผู้ใช้งานสามารถสร้างเนื้อหาของตัวเองและส่งต่อเนื้อหาของผู้อื่นได้ โดยเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มที่เป็นโลกออนไลน์มีหลายแบบ เช่น เฟซบุ๊ค (Facebook), ไลน์ (Line), ทวิตเตอร์ (Twitter), ยูทูป (YouTube), ลิงก์ดิน (LinkedIn), อินสตาแกรม (Instagram), ติ๊กต๊อก (TikTok) เป็นต้น

 

เปิดสถิติคนไทยใช้สื่อออนไลน์โซเชียลสูงอยู่ใน 50 อันดับแรกโลก[2]

          We Are Social ดิจิทัลเอเยนซี่เปิดสถิติคนใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก ซึ่งแสดงให้มีการเก็บสถิติการงานโซเชียลมีเดียในปี 2023 จากประชากรโลกทั้งหมดมีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย จำนวน 4.76 พันล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 59.4 % ของประชากรโลก โดยมีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้นจากปี 2022 จำนวน 137 ล้านคน คิดเป็นอัตราการเติบโต 3% ต่อปี

 

Thai politics online (1).jpg
Thai politics online (1).jpg

OVERVIEW OF SOCIAL MEDIA USE JAN 2023

 

Thai politics online (2).jpg
Thai politics online (2).jpg

SOCIAL MEDIA USES vs. POPULATION JAN 2023

 

          จะเห็นได้ว่าสถิติในการใช้งานโซเซียลมีเดียของโลกจะเพิ่มขึ้น ประเทศไทยมีการใช้งานโซเซียลมีเดียอยู่ใน อันดับที่ 34 ซึ่งเมื่อมีการเจาะลึกลงไปในรายงาน Digital 2023 Global Overview Report ของ We Are Social[3] ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียในไทยมี 52.25 ล้านคน คิดเป็น 72.8% ของประชากรทั้งหมดของประเทศ ในขณะเดียวกันข้อมูลที่เผยแพร่ในเครื่องมือวางแผนโฆษณาของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชั้นนำต่าง ๆ ก็ยังระบุว่ามีผู้ใช้โซเชียลมีเดียได้ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ในประเทศไทยประชากรที่มีอายุ18 ปีขึ้นไป มีจำนวน 49.40 ล้านคน ในปี 2566 คิดเป็น ร้อยละ 84.8 ของประชากรทั้งหมด จากสถิติการใช้งานโซเซียลมีเดียของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ช่องทางในการสื่อสารในเรื่องต่าง ๆ มีความเป็นไปได้มากขึ้น

 

การนำสื่อออนไลน์ไปใช้งาน

          การนำสื่อออนไลน์ไปใช้มีหลายวิธีและประโยชน์หลายประเภท โดยขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และวิธีการที่ต้องการใช้สื่อนั้น ตัวอย่างของการนำสื่อออนไลน์ไปใช้ประโยชน์มีดังต่อไปนี้

          1. การเรียนรู้และการศึกษา สื่อออนไลน์เป็นแหล่งข้อมูลที่มีอยู่ออนไลน์เป็นมากมายที่สามารถใช้เวลาเรียนรู้เกี่ยวกับหัวข้อที่สนใจ เพราะมีคอร์สออนไลน์ บทความออนไลน์ และความรู้จากวิดีโอบน YouTube หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์อื่น ๆ อีกทั้งยังสามารถเป็นผู้สร้างความรู้ นำสื่อออนไลน์ ยังสามารถใช้ในการสนับสนุนความรู้ ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ อย่างเช่น สร้างบล็อกความรู้ เป็น Youtuber สร้างเนื้อหาความรู้ตามที่ตัวเองสนใจ การแชร์ความรู้สึกผ่านโพสต์ หรือการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ในสื่อสังคมออนไลน์

          2. การสื่อสารและเชื่อมต่อ สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารและเชื่อมต่อกับคนอื่นได้อย่างง่ายดาย คุณสามารถใช้อีเมล ข้อความ แชทออนไลน์ หรือสื่อสังคมออนไลน์เพื่อเข้าสัมพันธ์กับคนในวงกว้าง หากนำไปปรับใช้ในงานอย่างเหมาะสมก็สามาราถทำให้การประสานงานทำได้รวดเร็วขึ้น

          3. การทำงานและการทำธุรกิจ สื่อออนไลน์เป็นส่วนสำคัญของการทำงานและธุรกิจในปัจจุบันผู้ประกอบการสามารถใช้อีเมลเพื่อสื่อสารภายในบริษัทหรือในการทำธุรกิจออนไลน์ ทำโฆษณาจากสื่อออนไลน์ และจากข้อมูลจากสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย (AAT) และสมาคมโฆษณาดิจิทัลแห่งประเทศไทย (DAAT) ชี้ว่ามูลค่าการโฆษณาผ่านช่องทาง Facebook มีเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 6% ทำให้การขายสินค้าหรือบริการผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ ทำให้ผู้ประกอบการหันมาทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น

          4. การเผยแพร่ข้อมูลและการตรวจสอบข้อมูล สื่อออนไลน์มีข้อมูลมากมายที่สามารถนำใช้นำเสนอข้อมูลในด้านต่าง ๆ ที่ต้องการ เช่น การเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลสรุปงานวิชาการ และหากต้องการนำข้อมูลนั้นไปใช้งานต่อก็สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาในการอ้างอิงได้ เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็ยังสามารถนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่อเพื่อนำไปขยายผลได้อย่างรวดเร็ว เพราะเป็นข้อมูลที่ได้รับมาจากสื่อออนไลน์ เช่น การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหรือข้อมูลทางการเมือง

          จริง ๆ แล้วการนำสื่อออนไลน์ไปใช้ต่อมีความหลากหลายและสามารถนำมาใช้ในหลายด้านของชีวิตประจำวัน ดังนั้นควรใช้สื่อนี้อย่างมีสติสำหรับวัตถุประสงค์ที่เหมาะสมและรับข้อมูลอย่างรอบคอบเมื่อต้องการข้อมูลที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตประจำวัน

 

การเคลื่อนไหวทางการเมืองบนโลกออนไลน์ในประเทศไทย

          หากมองเห็นถึงที่มาของข้อมูลและการนำไปประยุกต์ใช้งาน เมื่อกล่าวถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองบนโลกออนไลน์ในประเทศไทย ก็จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัลเช่นกัน การเมืองเป็นหัวข้อที่มีความหลากหลายและสำคัญในสื่อออนไลน์ มีหลายแหล่งที่คุณสามารถหาข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับการเมืองออนไลน์ได้ เว็บไซต์ข่าวหลายเว็บไซต์ข่าวมีส่วนเฉพาะที่รายงานเรื่องการเมืองอย่างละเอียด เช่น BBC, CNN, Reuters, The Guardian, หรือ Al Jazeera เป็นเว็บไซต์ที่มีข้อมูลการเมืองมากมาย ส่วนในโซเชียลมีเดียเองก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นช่องทางของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองใช้เป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็น Facebook, TikTok หรือ Twitter (เปลี่ยนชื่อเป็น X ในปัจจุบัน) ก็มีความร้อนแรงของการประชาสัมพันธ์ข่าวการเมือง นโยบายการเลือกตั้ง พรรคการเมือง การระบุตัวผู้สมัครที่ชอบ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น #กกตมีไว้ทำไม #พิธา #พรรคก้าวไกล #พรรคเพื่อไทย #พรรคพลังประชารัฐ

 

          ตัวอย่างการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการลงโฆษณาประชาสัมพันธ์

          Facebook ก็เป็นอีกแพลตฟอร์มหนึ่งที่ในการเลือกตั้งที่สำคัญที่ผ่านมา เป็นสื่อประชาสัมพันธ์และการโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่ของพรรคการเมืองต่าง ๆ จากข่าวไทยพีบีเอสออนไลน์ได้มีการรายงานผลการรวบรวม 10 อันดับ พรรคการเมืองที่ใช้เงิน "ยิงแอด" มากที่สุดในรอบ 90 วัน[4] ตั้งแต่ วันที่ 9 ก.พ. - 9 พ.ค. 2566 และเก็บข้อมูลเฉพาะเพจหลักของพรรคการเมืองนั้น ๆ ลงโฆษณาเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ ดังนี้

               อันดับ 1 พรรคเปลี่ยน 5,433,990 บาท

               อันดับ 2 พรรคไทยสร้างไทย 718,288 บาท

               อันดับ 3 พรรครวมไทยสร้างชาติ 540,507 บาท

               อันดับ 4 พรรคเพื่อไทย 485,5258 บาท

               อันดับ 5 พรรคชาติพัฒนากล้า 271,186 บาท

               อันดับ 6 พรรคพลังธรรมใหม่ 208,710 บาท

               อันดับ 7 พรรคประชาธิปัตย์ 156,676 บาท

               อันดับ 8 พรรคภูมิใจไทย 110,600 บาท

               อันดับ 9 พรรคเสมอภาค 61,262 บาท

               อันดับ 10 พรรคเส้นด้าย 59,432 บาท

 

          สื่อโซเชียลมีเดียที่ฮอตฮิตในช่วงเลือกตั้ง[5]

          จากการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์จากการฟังเสียงประชาชนในสังคมออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม DXT360 ของ บริษัท ดาต้าเซ็ต ในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมาก็มีการเก็บข้อมูลที่น่าสนใจว่าในช่วงเลือกตั้ง 66 TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่มีการกล่าวถึงและการมีส่วนร่วมสูงสุดด้วย จำนวน 186,393,775 ครั้ง หรือคิดเป็น ร้อยละ 63 ของโซเชียลมีเดียทั้งหมด และตามมาด้วย Facebook เป็นอันดับ 2 จำนวน 54,729,106 ครั้ง คิดเป็น ร้อยละ 18 ของโซเชียลมีเดียทั้งหมดและ Twitter จำนวน 45,026,759 ครั้ง คิดเป็น ร้อยละ 15 เป็นอันดับ 3 ขณะที่ Instagram เป็นอันดับ 4 จำนวน 7,468,309 ครั้ง คิดเป็น ร้อยละ 3 และ Youtube น้อยที่สุดอยู่ที่ 3,985,168 คิดเป็น ร้อยละ 1 อยู่ในอันดับสุดท้าย

 

          การรวมตัวกันของผู้มีความคิดเห็นเหมือนกันทางการเมือง

          แฮชแท็กก็เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ในทางออนไลน์ สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ร่วมแสดงความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันในหลาย ๆ กรณี เช่น #กกต.มีไว้ทำไม ขึ้นเทรนด์ อันดับ 1 บนทวิตเตอร์ของไทยใน วันที่ 8 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมาอย่างรวดเร็ว หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งล่วงหน้าใน วันที่ 7 พ.ค. 2566 เหตุเพราะมีรายงานพบความผิดพลาดของกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง การเขียนเขตเลือกตั้งที่หน้าซองบรรจุบัตรเลือกตั้งผิดหรือบางหน่วยเลือกตั้งไม่เขียนรายละเอียดบนหน้าซองบัตรเลือกตั้ง ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจต่อการทำงานของ กกต. เกิดขึ้น และกระแส #พิธานายกคนที่30 ยังคงฟีเวอร์ครองพื้นที่โซเชียลทุกช่องทางในเวลาต่อมาเมื่อเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว หรือหากจะกล่าวถึงแฮชแท็กที่มาจากข่าวดาราบันเทิงที่โยงเข้าสู่การเมืองเข้มข้นถึงขั้นข้ามประเทศคงไม่พ้น #MilkTeaAlliance หรือ พันธมิตรชานม

          จะเห็นได้ว่าการเมืองไทยบนโลกออนไลน์มีลักษณะและผลกระทบที่หลากหลายตามความเชื่อของแต่ละบุคคลและกลุ่มคนที่มีความสนใขทางการเมือง ภาพรวมของการเมืองไทยบนโลกออนไลน์สามารถสรุปคือโซเชียลมีเดียเป็นเวทีการแสดงความคิดเห็น การเมืองไทยได้รับผลกระทบจากการแพร่กระจายข่าวสารและความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียอย่างมาก ทั้งการโพสต์ในเว็บไซต์สังคมออนไลน์ เช่น Facebook, Twitter, Instagram, และ YouTube รวมถึงการสร้างแรงกดดันจากความคิดเห็นของบุคคลที่มีผู้ติดตามจำนวนมากเหล่านี้ สามารถมีผลต่อการสร้างสื่อร่วมมือระหว่างกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นคล้ายคลึงกัน การกระทำแบบออนไลน์ การเมืองไทยบนโลกออนไลน์ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแค่การแสดงความคิดเห็นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการกระทำแบบออนไลน์ที่ส่งผลต่อการเมือง เช่น การแชร์ข่าวปลอม เผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความสับสน การแกล้งหรือการถูกกล่าวหาผิด รวมทั้งการใช้สื่อออนไลน์เพื่อก่อการร้ายและการรุกรานต่อผู้อื่น การเมืองไทยบนโลกออนไลน์มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากการเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลายและการสร้างสื่อร่วมมือในระดับโลก อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของข่าวปลอมและข้อมูลที่สร้างความสับสนก็เป็นปัญหาที่ต้องจัดการอย่างเคร่งครัดในระดับส่วนตัวและระดับรัฐบาลเช่นกัน ดังนั้นการรับข้อมูลบนโลกออนไลน์ต้องทำการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่มีความเชื่อถือเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน เนื่องจากการเมืองมักมีการสื่อสารและการมองเห็นจากมุมมองต่าง ๆ การเรียนรู้เพื่อที่จะเข้าใจหลายมุมมอง และความน่าเชื่อถือของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญเสมอในการที่จะเข้าใจสถานการณ์การเมืองที่เป็นไปอยู่ในประเทศหรือทั่วโลกได้อย่างถูกต้องและอย่างเต็มรูปแบบ

 

อ้างอิง

[1] สื่อสังคม จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี  สืบค้นจาก  https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1

[2] DIGITAL 2023 GLOBAL OVERVIEW REPORT THE ESSENTIAL GUIDE TO THE WORLD'S CONNECTED BEHAVIOURS สืบค้นจาก  https://wearesocial.com/wp-content/uploads/2023/03/Digital-2023-Global-Overview-Report.pdf

[4] ข่าวไทยพีบีเอสออนไลน์ : 10 พรรคการเมือง ยิง Ads Facebook มากที่สุด สืบค้นจาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/327664

[5] ฟังเสียงโซเชียลช่วงเลือกตั้ง “ก้าวไกล” สุดฮอต กระแสนำโด่งทั้งคนทั้งพรรค สืบค้นจาก https://www.dataxet.co/insight-social-trends-thailand-election-2023