การอ่านหนังสือและการบำรุงปัญญา
ผู้เรียบเรียง : ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล และ ศิริน โรจนสโรช
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ': รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยการอ่านหนังสือมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เมื่อดูรายงานการศึกษาระหว่างที่ทรงเรียนที่วิทยาลัยอีตัน พบว่าทรงเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส กรีกได้ดี รวมทั้งภาษาลาตินซึ่งเป็นภาษาโบราณ ในระยะแรกต้องทรงเรียนภาษาลาตินอย่างหนักเพราะเป็นวิชาที่ยากแต่ก็สำคัญสำหรับการศึกษาวิชาคลาสสิคต่างๆในโรงเรียนยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อีกนานต่อมา เมื่อทรงครองราชย์แล้ว ได้พระราชทานคำแนะนำแก่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต พระราชบุตรบุญธรรม ในการทรงฝึกภาษาอังกฤษขณะที่ทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศ ซึ่งแสดงว่าทรงตระหนักถึงความสำคัญของการอ่านว่าเป็นการฝีกฝนตนเองที่ดี โดยเฉพาะในด้านภาษา “วิธีที่รู้ภาษาดีนั้น จะเรียนแต่เวลาเรียนจริงๆ เท่านั้นไม่พอ ต้องพยายามอ่านหนังสือ ถ้าคำใดไม่เข้าใจ ควรถามใครดูหรือดูใน dictionary ควรลองเทียบสำนวนที่แปลกๆ ดูกับภาษาไทย ลองแปลดูบ้าง ดังนี้ก็จะรู้ภาษาดีได้เร็ว” [1] ในระหว่างที่ทรงครองราชย์อยู่นั้น จากพระราชกิจรายวันซึ่งมีการบันทึกไว้ ในวันที่ไม่มีพระราชกิจยามบ่าย จะทรงออกกำลังพระวรกายแล้วจึงทรงพักผ่อนและทรงหนังสือเล่ม ในวันธรรมดา เมื่อเสวยพระกระยาหารค่ำในเวลา ๒๐.๓๐ น. แล้ว ทรงหนังสือเล่ม ยกเว้นวันเสาร์จะเปลี่ยนเป็นทอดพระเนตรภาพยนตร์ และวันพฤหัสบดีซึ่งเป็นวันที่สดับพิณพาทย์หรือมโหรีหลังเสวยพระกระยาหารค่ำ ทรงใช้หนังสือเป็นสื่อการสอนเด็กที่ทรงเลี้ยง เช่น การเล่านิทานจากเนื้อหาในหนังสือ นิทานที่เด็กๆ ชอบ ได้แก่ เรื่อง ทาร์ซาน เป็นต้น หนังสือที่ทรงอ่านมีเนื้อหาหลายด้าน เมื่อตามเสด็จประพาสบ้านเมืองต่างๆ นั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงเล่าเรื่องราวที่นอกเหนือจากที่มัคคุเทศก์เล่า พระราชทานแก่ผู้ที่ตามเสด็จ แสดงว่าโปรดทรงหนังสือทางด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับประเทศต่างๆ ที่เสด็จฯ
นอกจากนี้ยังทรงได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับความสำเร็จและความล้มเหลวของการปกครองระบอบประชาธิปไตยจากการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศต่างๆ ส่วนหนึ่งของวิธีการเรียนรู้ที่ทรงใช้ก็คือ การอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ซึ่งมีอยู่จำนวนมากในกลุ่มหนังสือส่วนพระองค์ เช่นที่เก็บรักษาไว้ที่สำนักบรรณาสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ผู้ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเยาว์จนเติบใหญ่ ทรงเล่าว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รับสั่งเรื่องประชาธิปไตยว่าคนสมัยใหม่ต้องการประชาธิปไตย ท่านรับสั่งว่า ประชาธิปไตยนี่เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้เป็น ถ้าเผื่อใช้ไม่เป็นแล้วอาจจะทำให้ยุ่งยากได้ ... รับสั่งว่าถ้าเผื่อใช้ไม่เป็นหรือพูดกันง่ายๆ ถ้าเผื่อประชาชนไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร ไม่มีประชามติ คือไม่มีความเป็นของประชาชนละก็โดยมากอำนาจการปกครองจะตกไปอยู่ในมือของผู้คุมกำลังโดยปริยาย ท่านรับสั่งว่าท่านทรงได้จากประวัติศาสตร์ของหลายประเทศ เพราะฉะนั้นการจะมีประชาธิปไตยก็ควรจะสอนประชาชนให้รู้เรื่องตั้งแต่เด็กให้เข้าใจว่าคนเรามีสิทธิควบคู่กับหน้าที่ [2]
หนังสือที่โปรดมากอีกกลุ่มหนึ่ง คือ นวนิยาย และวรรณคดี ทั้งของไทยและของเทศ ต่อมา ได้มีพระราชดำริเกี่ยวกับการอ่านหนังสือวรรณคดีว่า “ควรจะหัดอ่านโคลงและกลอนด้วย เพราะถ้าไม่รู้จักโคลงและกลอนของไทยก็ออกจะโง่อยู่บ้าง เพราะของเราไม่เลวเลย” [3]
หม่อมราชวงศ์ปิ่มสาย อมระนันท์ พระนัดดาในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เล่าว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดทรงหนังสือ ซึ่งส่วนมากเป็นประวัติศาสตร์ ชีวประวัติ การทำสวน และนวนิยายภาษาต่างประเทศของนักประพันธ์บางท่าน เช่น นวนิยายของ Somerset Maugham, Evelyn Waugh, P.G. Wodehouse ซึ่งของรายหลังนี้เป็นแนวตลกเกี่ยวกับพฤติกรรมของชนชั้นสูงของอังกฤษ
นอกจากนี้ยังโปรดทรงหนังสือพิมพ์รายวันในตอนเช้าเป็นกิจวัตรประจำวัน ทำให้ทรงทราบข่าวสารบ้านเมืองทั้งในประเทศไทยและของต่างประเทศ
การที่ทรงพระปรีชาสามารถด้านภาษาต่างประเทศถึงสองภาษา คืออังกฤษและฝรั่งเศสทำให้ทรงสามารถเข้าพระทัยสิ่งที่ทรงอ่านได้ดี ทั้งยังได้ทรงใช้เวลาว่างศึกษาภาษาเยอรมันจากตำรา การอ่านหนังสือพิมพ์และหนังสือประวัติศาสตร์น่าจะมีส่วนทำให้ทรงคาดคะเนเหตุการณ์สำคัญของโลกได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ เช่น สงครามโลกครั้งที่สอง ในขณะนั้น เซอร์เนวิล เชมเบอร์เลน นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ทำสัญญาสันติภาพกับฮิตเลอร์ ผู้นำเยอรมัน จึงไม่น่าจะเกิดสงครามระหว่างประเทศทั้งสอง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับทรงแน่พระราชหฤทัยว่าสงครามต้องเกิดอย่างแน่นอนจากการที่ทรงติดตามสถานการณ์ต่างๆ มาตลอด ในที่สุดสงครามโลกครั้งที่สองก็เกิดขึ้น
หนังสือส่วนพระองค์ สะท้อนให้เห็นถึงความใฝ่รู้ของพระองค์เป็นอย่างดี เนื้อหาของหนังสือเหล่านี้ประกอบด้วยเรื่องราวด้านศาสนา ปรัชญา ภาษา กฎหมาย การเมืองการปกครอง การทหาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ศิลปะ กีฬา วรรณคดี ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ นวนิยาย ภาษาที่ใช้ในหนังสือมีทั้งภาษาไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และอิตาเลี่ยน ที่ด้านหลังของหน้าปกหนังสือมีป้ายบรรณสิทธิ์ (Book plate) ซึ่งเป็นป้ายแสดงว่าเป็นหนังสือของพระองค์ และตรายางประทับพระปรมาภิไธยอยู่ภายในตัวเล่ม บางเล่มมีลายพระราชหัตถ์ลงพระปรมาภิไธยไว้ นอกจากนี้บางเล่มมีวันเดือนปีที่เป็นลายพระราชหัตถ์ไว้ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวเล่ม เช่น ด้านในปกหน้าของหนังสือ เป็นต้น บางเล่มมีประวัติการถวายหรือพระราชทาน หรือประวัติการครอบครองว่าเคยเป็นของผู้ใดมาก่อน
นอกจากจะโปรดทรงอ่านหนังสือเพื่อบำรุงปัญญาแล้ว บางครั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงมีพระราชปฏิสันถารกับนักเขียนนักประพันธ์ชาวต่างประเทศที่มีชื่อเสียง ดังปรากฏว่าเมื่อกวีปราชญ์นักการศึกษาชาวเบงกาลีผู้ได้รับรางวันโนเบลสาขาวรรณกรรม คือ รพินทรนาถ ฐากูร เข้ามาเยือนสยามใน พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ แต่เพียงผู้เดียวในช่วงดึกก่อนที่จแสดงปาฐกถาหน้าพระที่นั่งเรื่อง “Asia’s Continental Culture” ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน ที่ประทับ[4] อีกทั้งเมื่อเสด็จประพาสประเทศต่างๆ ในยุโรปใน พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗ ได้เสด็จฯ ยังบ้านของ Somerset Maugham ที่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ทรงพระราชปฏิสันถารกับเขาและนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่ง คือ J.B. Priestley ต่อมาเมื่อเสด็จฯ ยังลอนดอนได้เสด็จฯ ยังสำนักของ Lady Colefax และ ณ ที่นั้นระหว่างเสวยพระกระยาหารกลางวัน นอกจากเจ้าของบ้านผู้เป็นนักประพันธ์เองแล้ว มี H.G. Wells นักประพันธ์แนวสังคมนิยม และ Aldous Huxley นักประพันธ์แนววิพากษ์วิจารณ์สังคม ร่วมโต๊ะเสวย [5] เห็นได้ว่านอกจากจะทรงอ่านหนังสือแล้ว ยังทรงแสวงหาโอกาสที่จะได้ทรงแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดกับนักคิดนักเขียนต่างๆ หลากหลาย เพื่อเป็นวิธีการทรงบำรุงพระปัญญา ตลอดจนทรงติดตามกระแสความคิดต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในสังคมร่วมสมัย มิใช่ว่าจะสมพระราชหฤทัยแต่ในประวัติศาสตร์แห่งอดีตกาล
อ้างอิง
- ↑ คุณหญิงมณี สิริวรสาร. (๒๕๔๒). ม.ป.ท.: ม.ป.พ. , หน้า ๕๙.
- ↑ การวิก จักรพันธุ์, หม่อมเจ้า. (๒๕๓๘). สัมภาษณ์โดยศิริน โรจนสโรช. ใน สุวิทย์ ไพทยวัฒน์,บรรณาธิการ. พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจากข้อมูลประวัติศาสตร์บอกเล่า (หน้า ๖๒-๘๑). นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, หน้า ๗๔.
- ↑ คุณหญิงมณี สิริวรสาร. (๒๕๔๒). ม.ป.ท.: ม.ป.พ. , หน้า ๘๗.
- ↑ สาวิตรี เจริญพงศ์. (๒๕๕๗). สัมพันธ์สยามในนามภารต บทบาทของรพินทรนาภ ฐากูร สวามีสัตยานันทบุรี และสุภาส จันทร โบส ในสายสัมพันธ์ไทย-อินเดีย. กรุงเทพฯ: ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, หน้า ๖๗.
- ↑ วิชิตวงศ์วุฒิไกร, พระยา (๒๕๒๖). จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์, หน้า ๔๕ , ๑๖๕.
บรรณานุกรม
การวิก จักรพันธุ์, หม่อมเจ้า. (๒๕๓๘). สัมภาษณ์โดยศิริน โรจนสโรช. ใน สุวิทย์ ไพทยวัฒน์,บรรณาธิการ. พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจากข้อมูลประวัติศาสตร์บอกเล่า (น. ๖๒-๘๑). นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
กุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ, เนียนศิริ ตาละลักษณ์, ฉวีงาม มาเจริญ, สุภรณ์ อัศวสันโสภณ, เพลินพิศ กำราญ,บุหลง ศรีกนก, ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย, ศิรินันท์ บุญศิริ, วีณา โรจนราธา, สุทธิพันธ์ ขุทรานนท์, ปราณีต นิยายลับ. (๒๕๓๗). พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ: กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร.
วิชิตวงศ์วุฒิไกร, พระยา (๒๕๒๖). จดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๗๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์.
คุณหญิงมณี สิริวรสาร. (๒๕๔๒). ม.ป.ท.: ม.ป.พ.
มณี สิริวรสาร, คุณหญิง. (๒๕๓๘). สัมภาษณ์โดยสุมาลี บำรุงสุข, ศิริน โรจนสโรช. ใน สุวิทย์ ไพทยวัฒน์, บรรณาธิการ. พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจากข้อมูลประวัติศาสตร์บอกเล่า (น.๑๓๔-๑๕๘). นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
สาวิตรี เจริญพงศ์. (๒๕๕๗). สัมพันธ์สยามในนามภารต บทบาทของรพินทรนาภ ฐากูร สวามีสัตยานันทบุรี และสุภาส จันทร โบส ในสายสัมพันธ์ไทย-อินเดีย. กรุงเทพฯ: ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.